ตอนที่ 599 สายเลือดของเซี่ยเฟย
ตอนที่ 599 สายเลือดของเซี่ยเฟย
“นายบอกว่าผู้สมัครที่ชื่อเซี่ยเฟยอาจจะมีสายเลือดของตระกูลสกายวิงใช่ไหม?” บรูซกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น คุณยังจำเซี่ยจงไห่ที่ตอนนี้เป็นคณะกรรมการผู้คุมกฎได้หรือเปล่า?” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“จำได้สิ เขาก็เป็นเพียงแค่พวกตาแก่หัวรั้นที่มีนิสัยเหมือนสกายวิงทั่ว ๆ ไป” บรูซกล่าวตอบ ซึ่งในความเป็นจริงสายเลือดสกายวิงในดินแดนผู้ใช้กฎก็มีชื่อเสียงในเรื่องที่ไม่ค่อยดีมากนัก
“วันนั้นผมเข้าไปแอบดูการประเมินและผมก็ได้พบว่าในตอนที่เซี่ยเฟยโกรธแรงกดดันของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งความเป็นจริงแรงกดดันของเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะคล้ายคลึงกับผู้อาวุโสเซี่ยจงไห่ ผมจึงเริ่มสงสัยว่าเซี่ยเฟยอาจจะเป็นคนของสกายวิงหรือเปล่า?”
“นอกจากพวกเขาจะมีนามสกุลเซี่ยเหมือนกันแล้ว แรงกดดันของพวกเขายังคล้ายกันมากอีก ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องบังเอิญ จนกระทั่งผมได้มาพบว่าแม้กระทั่งนิสัยของเขาก็คล้ายกับคนของสกายวิง” เฝิงซินเหนียนอธิบายข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมา
“ฉันเปิดอ่านประวัติของเซี่ยเฟยดูแล้ว เขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ ที่เรียกว่าโลกที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรมนุษย์ ถ้าเขามีสายเลือดสกายวิงจริง ๆ มันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มดาวม้าขาว แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการที่เขาได้ไปอยู่ร่วมกับตระกูลหยู” บรูซกล่าว
“อาบรูซ คุณก็น่าจะรู้ว่าพวกสกายวิงมีนิสัยยังไง? พวกเขาขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลที่ไร้เหตุผลที่สุดในดินแดนของเรา และพวกเขาก็พร้อมที่จะทำอะไรนอกเหนือจิตสำนึกของคนอื่นได้ทุกเวลา” เฝิงซินเหนียนกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“ที่นายพูดก็ไม่ผิด พวกสกายวิงไม่เคยทำอะไรตามสามัญสำนึกของคนอื่นจริง ๆ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ตระกูลชั้นยอด แต่พวกเขาก็เป็นตระกูลที่เราไม่อาจเพิกเฉยได้ ถ้าหากเซี่ยเฟยมีสายเลือดสกายวิงจริง ๆ สถานการณ์นี้มันก็น่าจะยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม” บรูซกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด
หลังจากสนทนามาจนถึงตรงนี้ทั้งคู่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าชื่อของตระกูลสกายวิงเริ่มทำให้บรูซรู้สึกลังเลใจ
“ซินเหนียน นายได้บอกพ่อนายเรื่องนี้แล้วหรือยัง?” บรูซถาม
“พ่อยุ่งจะตายผมจะเอาเรื่องที่ยังไม่แน่นอนไปบอกพ่อได้ยังไง” เฝิงซินเหนียนกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“แล้วนายวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง?” บรูซถาม
“ผู้อาวุโสเนอร่าละเมิดกฎของการประเมินอย่างโจ่งแจ้ง และเรื่องนี้ก็มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์อย่างมากมาย ในทางตรงกันข้ามเซี่ยเฟยใช้วิธีกระตุ้นสัตว์อสูรอย่างแยบยล จนทำให้นอกเหนือจากผู้อาวุโสเนอร่าแล้วก็ไม่มีใครสามารถจับสัมผัสพลังของเขาได้เลย”
“สมมุติว่าหากพวกเราตัดสินให้มีการลงโทษผู้อาวุโสเนอร่าแต่ปล่อยเซี่ยเฟยไป มันก็คงจะก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำภายในกลุ่มของพวกเรา แต่ถ้าหากพวกเราลงโทษเซี่ยเฟยและปล่อยผู้อาวุโสเนอร่าไป เรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้าหากเซี่ยเฟยเป็นสมาชิกของตระกูลสกายวิงจริง ๆ” เฝิงซินเหนียนกล่าวอย่างลำบากใจ
บรูซพยักหน้าซ้ำ ๆ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม
“ผมคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือการล้างหน้าไพ่ใหม่ซะ”
“ล้างหน้าไพ่?”
“ใช่ครับ พวกเราควรเปลี่ยนผลประเมินในรอบที่ 4 ให้กลายเป็นโมฆะ เมื่อเราทำแบบนี้มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมีใครออกมารับผิดชอบ และพวกเราก็แค่แสร้งทำเป็นว่ามันไม่มีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น”
“แบบนี้มัน... การใช้วิธีการแบบนี้มันจะเป็นทางออกที่ดีจริง ๆ เหรอ?” บรูซกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“พวกเรายังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเซี่ยเฟยมีสายเลือดของสกายวิงจริง ๆ หรือเปล่า ซึ่งถ้าหากว่าเราเคลียร์ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการล้างหน้าไพ่ไปแล้วเกิดเซี่ยเฟยเป็นสมาชิกของตระกูลสกายวิงจริง ๆ ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องที่ไม่ใหญ่โตมากนัก” เฝิงซินเหนียนกล่าว
“นายนี่มันเป็นพวกลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ เอาเป็นว่าพวกเรามาตัดสินตามวิธีการของนายกันเถอะ” บรูซลุกขึ้นพร้อมกับตบไหล่เฝิงซินเหนียนเบา ๆ
—
เช้าวันต่อมาเซี่ยเฟยก็รีบเก็บข้าวของและเดินทางออกจากตระกูลหยู
ท้ายที่สุดสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อคืนนี้ก็คือการฆ่าปิดปากสหายของหยูเจียงเพื่อปิดบังความลับเรื่องโอโร่เอาไว้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยปากพูดอะไรได้ เพราะอย่างน้อยความบาดหมางกับตระกูลหยูย่อมดีกว่าเรื่องที่เขาได้เก็บจอมมารเอาไว้ในพื้นที่ของเผ่าเทพหลุดรอดออกไปยังโลกภายนอก
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยเดินทางไปยังกลุ่มดาวม้าขาว มันก็มีผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังเดินทางมายังตระกูลหยู คดีฆาตกรรมเมื่อคืนนี้ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกมากเกินไปนัก และหยูเจียงก็ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างที่ชายหนุ่มเป็นกังวล ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับว่าการที่หยูฮัวตัดสินใจให้เซี่ยเฟยรีบเดินทางออกไปจากตระกูลจะเป็นการตัดสินใจที่ระมัดระวังตัวมากเกินไปหน่อย
เมื่อเซี่ยเฟยเดินทางมาจนถึงโรงแรมในกลุ่มดาวม้าขาว เขาก็หยิบบลัดบิวเทียสขึ้นมาสังเกตอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่มันได้ดูดซับเลือดของชายผู้ไว้หนวดเมื่อคืนไปแล้ว สีของใบดาบก็กลายเป็นสีแดงสดใสคล้ายกับคริสตัลที่สวยงามเมื่อต้องแสงของดวงอาทิตย์
“ฉันขออาบแดดหน่อยได้ไหม?” โอโร่กล่าว
“ผมขอแนะนำให้คุณนอนอยู่ในแหวนเฉย ๆ ไปดีกว่า เมื่อคืนที่คุณอยากดูพระจันทร์คุณก็น่าจะเห็นแล้วว่ามันได้สร้างปัญหาให้กับผมมากขนาดไหน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะได้คุณหยูฮัวเข้ามาช่วยเอาไว้ สถานการณ์คงร้ายแรงกว่าในตอนนี้มาก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกรอกสายตาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ทักษะการล่องหนของคนคนนั้นแยบยลมาก ตอนนั้นที่ฉันหาเขาไม่พบนั่นก็เพราะสมาธิของฉันกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น คราวหลังฉันจะระวังตัวมากกว่านี้” โอโร่กล่าว
“ไม่มีคราวหลังอะไรทั้งนั้นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างหงุดหงิด หลังจากนั้นเขาก็เก็บบลัดบิวเทียสเข้าไปภายในแหวนและเดินทางไปยังสำนักงานมังกรฟ้า
“ว่าไงเซี่ยเฟย สองวันนี้นายหายไปไหนมา? นายรู้ไหมว่าในระหว่างที่นายไม่อยู่การประเมินรอบที่ 4 ถูกประกาศเป็นโมฆะและนายก็ไม่ถูกลงโทษอะไรด้วย” รูดี้กล่าวทักทายด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ ซึ่งผลการตัดสินในครั้งนี้ค่อนข้างที่จะเกินความคาดหมายของเขาไปไกลพอสมควร แต่การมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมการประเมินของกลุ่มมังกรฟ้าต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเขาอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดหนึ่งในเป้าหมายหลักของเขาในช่วงเวลานี้ก็คือการเดินทางไปยังประตูจักรวาล และการเดินทางเข้าไปในเผ่าเทพย่อมเป็นทางลัดสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงแม้ว่าสำหรับนายผลลัพธ์นี้มันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี แต่สำหรับฉันมันทำให้คะแนนที่น่าอัศจรรย์ของฉันถูกริบหายไปในพริบตา ก่อนหน้านี้ฉันยังเอาเรื่องคะแนนไปอวดพ่ออยู่เลย ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าหลังจากนี้ฉันจะต้องบอกพ่อว่ายังไง” รูดี้ยังคงบ่นอย่างต่อเนื่องเมื่อคะแนนของทุกคนถูกรีเซ็ตกลับไปเป็นศูนย์
เมื่อการประเมินรอบที่ 4 ถูกยกเลิกคะแนนการประเมินก็กลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้คะแนนของเซี่ยเฟยถูกเพิ่มขึ้นมาเป็น 20 คะแนน หลังจากที่คะแนนพิเศษได้ถูกนำมารวมกับคะแนนติดลบของเขาแล้ว
แม้ว่าการมีคะแนน 20 คะแนนจะไม่ได้ช่วยให้เขามีอันดับที่สูงมาก แต่อย่างน้อยการมีคะแนน 20 คะแนนนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาอยู่ในลำดับสุดท้าย
หลังจากอ่านรายชื่อจนจบเซี่ยเฟยก็เตรียมพร้อมที่จะจากไป เพราะท้ายที่สุดช่วงเวลานี้เขาก็ไม่ต้องการจะทำตัวให้โดดเด่นมากนัก เพราะเขาเพิ่งจะไปก่อเรื่องภายในตระกูลหยูเอาไว้
ทันใดนั้นเองกลุ่มคนอายุประมาณ 20 ปีจำนวน 8 คนก็เดินมาขวางหน้าเซี่ยเฟยเอาไว้อย่างกะทันหัน โดยกลุ่มวัยรุ่นพวกนี้มีตราสัญลักษณ์ติดอยู่ตรงบริเวณหน้าอกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าพวกเขาคือคนจากตระกูลไบร์ทซีซึ่งเป็น 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอด
เซี่ยเฟยพยายามเดินเลี่ยงออกไปด้านข้าง แต่ปฏิกิริยาของวัยรุ่นกลุ่มนั้นดูเหมือนกับจะพยายามเข้ามาหาเรื่องเขาโดยเฉพาะ
ปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ทำให้เซี่ยเฟยกวาดตามองใบหน้าของทุกคนอย่างเย็นชา ก่อนที่มันจะมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากกลุ่มคนเพื่อมาเผชิญหน้ากับเซี่ยเฟย
ชายหนุ่มคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนายน้อยเจ้าสำราญที่สวมใส่ชุดผ้าไหมราคาแพง, มีงูทองคำคาดเอวทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเข็มขัด, บริเวณข้อมือของเขามีสร้อยข้อมือขนาดใหญ่เอาไว้ดึงดูดความสนใจของสาว ๆ บนท้องถนน
เมื่อเทียบกับชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า รูดี้ก็ดูเป็นนายน้อยเจ้าสำราญตัวน้อยไปเลย และเมื่อเทียบกับเซี่ยเฟยที่แต่งตัวอย่างเรียบง่ายอยู่เสมอแล้ว ความโดดเด่นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนยิ่งดูห่างชั้นกันเข้าไปใหญ่
“นายคือเซี่ยเฟยใช่ไหม?” ชายหนุ่มผู้มีกระบนใบหน้ากล่าวถามอย่างเย่อหยิ่ง
เซี่ยเฟยพยักหน้าเล็กน้อยและถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ต่อหน้านายน้อยของตระกูลใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเลยแม้แต่นิดเดียว
ความสงบของเซี่ยเฟยสร้างความรำคาญให้กับนายน้อยคนนี้มาก เพราะโดยปกติคนจนที่เผชิญหน้ากับเขามักที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่เซี่ยเฟยกลับมีท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับเขาเลย
“มู่ฟู่ผิงไม่ใช่คนในระดับเดียวกันกับนาย หลังจากนี้อยู่ห่าง ๆ จากเธอซะ!” นายน้อยหน้ามีกระกล่าวขึ้นมาพร้อมกับแสดงท่าทางอย่างรังเกียจ
“มู่ฟู่ผิง?” เซี่ยเฟยอุทานอย่างสงสัย
“นี่นายกล้าเรียกชื่อของเธอตรง ๆ เลยงั้นเหรอ?” นายน้อยหน้ามีกระกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ก็นั่นมันชื่อของเธอ แล้วทำไมฉันจะเรียกชื่อของเธอไม่ได้”
“นี่แก!!” นายน้อยหน้ามีกระคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่เขาก็พยายามหยุดพฤติกรรมของตัวเองเอาไว้ เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลชั้นยอดและเขาก็ไม่ควรลงมือทำอะไรในที่สาธารณะอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“จำเอาไว้ว่าหลังจากนี้แกอย่ามายุ่งกับมู่ฟู่ผิงอีกอย่างเด็ดขาด คนจากตระกูลหยูตัวเล็ก ๆ อย่างแกควรหดหัวอยู่แต่ในรูซะ ฉันบอกเลยว่าถ้าฉันเข้าไปในตระกูลหยู แม้แต่หัวหน้าตระกูลของแกก็ยังต้องออกมาก้มหัวให้ฉัน ดูตราสัญลักษณ์ที่หน้าอกฉันเอาไว้ให้ดี ๆ ว่าฉันคือคนจากตระกูลไหน!” หลังจากพูดจบนายน้อยหน้ามีกระก็สะบัดหัวจากไปอย่างไม่พอใจ
“ฉันขี้เกียจจำ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ เรียกให้นายน้อยหน้ามีกระหันกลับมามองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“แกว่าอะไรนะ?”
“ฉันขี้เกียจจำเรื่องที่แกเพิ่งพูดออกมา” เซี่ยเฟยกล่าวเน้นย้ำทีละคำโดยไม่สนใจภูมิหลังของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
เหล่าบรรดาฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ล้วนแล้วแต่หัวเราะให้กับพฤติกรรมของเซี่ยเฟย เพราะท้ายที่สุดโดยปกตินักรบจากตระกูลเล็ก ๆ ไม่มีทางต้านทานอำนาจของตระกูลชั้นยอดภายในกลุ่มดาวม้าขาวได้ พวกเขาจึงตั้งใจจะรอดูเรื่องสนุกว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดเซี่ยเฟยจะถูกลงโทษยังไง
ขณะเดียวกันเหล่าบรรดานักรบจากตระกูลเล็ก ๆ เช่นเดียวกับเซี่ยเฟยก็ทำได้เพียงแต่จ้องมองไปทางชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่หดหู่ เพราะคนตัวน้อย ๆ อย่างพวกเขาที่กล้าไปยั่วยุเก้าตระกูลชั้นยอดมักจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก
อันธยกมือข้างหนึ่งมาปิดหน้าพร้อมกับถอนหายใจอย่างหนัก ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเซี่ยเฟยมีอารมณ์เหมือนสปริงที่ยิ่งถูกกดลงไปลึกเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งเด้งกลับออกไปอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ห่างออกไปไม่ไกลนักชายหนุ่มชุดขาวก็กำลังจ้องมองมาทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาอันเป็นประกาย แน่นอนว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเฝิงซินเหนียน ผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องของผู้นำกลุ่มมังกรฟ้า
“ไม่ว่าจะมองยังไงนิสัยของเขาก็คล้ายคนจากสกายวิงจริง ๆ …”
ชิ้ง!
“ไหนแกลองพูดอีกครั้งหนึ่งสิ!” นายน้อยหน้ามีกระพูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ขณะที่เขาได้ชักมีดสีเงินยกขึ้นมาจ่อลำคอของเซี่ยเฟย
ทันใดนั้นมุมปากของเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ ถูกยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม ขณะที่มือซ้ายของเขาได้แอบเปิดใช้งานแหวนมิติภายในมือ
“ไม่นะ! เขาคือคนจากตระกูลชั้นยอด!!” อันธพยายามตะโกนเตือน เพราะท้ายที่สุดมันก็ไม่มีใครรู้จักเซี่ยเฟยดีไปกว่าเขาแล้ว ว่ารอยยิ้มแบบนี้มันหมายถึงเซี่ยเฟยกำลังต้องการจะสังหารศัตรู
***************
นายน้อยหน้ามีกระ? แม้แต่ชื่อยังไม่มีเลยพ่อตัวประกอบ 5555