ตอนที่ 162 บ้านใต้ดิน(อ่านฟรี)
ตอนที่ 162 บ้านใต้ดิน
เดนพาลุคไปยังสถานที่หลบซ่อนของเขาก่อน มันอยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราว ๆ 10 กิโลเมตร
ลุคไม่ได้บินไป เพราะเดนได้เตือนว่ามีซอมบี้ปีกอยู่ มันเป็นซอมบี้ที่มีปีกบินได้เป็นเจ้าแห่งท้องฟ้าที่น่ากลัวอยู่ ลุคจดจำไว้และเลือกเส้นทางตามที่เดนแนะนำ
เดนมีเส้นทางในการหลบพวกซอมบี้อยู่หลายจุด ซึ่งเขาสร้างมันขึ้นมาเอง
เช่นทางที่เชื่อมต่อระหว่างตึกสองแห่ง โดยมีสะพานไม้วางพาดไว้กับดาดฟ้า ถ้ามีพวกซอมบี้มาก็แค่เตะไม้ทิ้งไป ซอมบี้ก็ตกลงไปตายด้านล่างแล้วแล้วก็มีเส้นทางที่สามารถ
ไม่ก็เส้นทางสลิงที่สามารถโหนข้ามไปได้ ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งพวกเขาการปีนสลิงนั้นง่ายดายมาก
พวกเขาค่อนข้างเร่งรีบ ก่อนฤทธิ์ยาจะหมดไม่อย่างนั้นเดนก็จะอ่อนแรงจากแผล และก็ไม่รู้ว่าหลังยาหมดฤทธิ์แล้วเชื้อจะกลับมาอีกไหม
พวกเขาเดินทาง 10 กิโลเมตรด้วยความเร็วจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่บนตึกที่พังเหลืออยู่ครึ่งหลัง
“ตรงนั้นเป็นบ้านของข้า” เดนชี้ไปยังบริเวณสุสานรถที่นั่นมีซากเหล็กจำนวนมากถูกทิ้งไว้กว้างหลายพันไร่
“ตรงนั้นเหรอ?” ลุคหันไปถามเพื่อความแน่ใจ เนื่องจากไม่เห็นมีอาคารที่พออาศัยได้ ‘หรือว่าเขาจะอยู่ในรถกัน’
เดนพักหน้าพาไปยังที่นั่น ไปถึงก็มาหยุดอยู่ที่รถบัสที่ส่วนอื่น ๆ จมอยู่ในดินเกือบทั้งคัน เดนเปิดประตูออกก่อนจะเห็นว่าภายในตัวรถบัสเป็นเหมือนกับบันไดที่เดินลงไปด้านล่างได้
ที่แท้ที่อยู่ของเดนก็คือบ้านใต้ดินที่เกิดจากโพรงซากรถที่ทับถมกัน
“นายอยู่คนเดียวเหรอ” ลุคถาม
เดนก้าวเข้าไปด้านในก่อนจะพูดว่า “เปล่า มีคนอีก 5 คน”
หลังตามลงไปก็พบว่ามีอยู่อีก 5 คนจริง แต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นแค่เด็กเท่านั้น มีมนุษย์วานรเด็กผู้หญิง 2 คนและเด็กผู้ชายสามคน แต่ละคนรูปร่างผอมแห้งเส้นขนสีดำเลอะฝุ่นและพันกัน เรียกว่ามอมแมมราวกับขอทาน
เด็ก ๆ เห็นเดนกลับมาก็เผยสีหน้าด้วยความยินดี ต่างเข้ามากอดด้วยความเป็นห่วงและสอบถามว่าได้อะไรกลับมาหรือไม่ พวกเขาดูหิวกันอย่างมาก
เดนทำสีหน้าอธิบายไม่ถูก เนื่องจากเขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย ตอนแรกคิดว่าจะเอาเหล็กกล้าไปแลกกับอาหารมา แต่ตอนหนีตายก็ทิ้งไปหมดแล้ว แถมยังต้องพาท่านเทพลุคกลับมาที่นี่ด้วย เลยไม่มีเวลาไปเอาอาหารเลย
“เอาไว้เดียวค่อยหา”
เด็กคนอื่น ๆ พยักหน้า แต่พอเห็นว่าด้านหลังยังมีคนตามมาอีกก็เผยสีหน้าตกใจกลัวรีบถอยหลบกันในทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่างลุคอยู่ด้วย
“ลิงไม่มีขน!”
เด็ก ๆ ต่างชี้มาที่ลุคและตะโกนเรียกด้วยความกลัว แต่ก็รู้สึกสนใจเช่นกัน
มุมปากของลุคกระตุก
เดนรีบหันมากล่าวขอโทษ ก่อนจะอธิบายให้ฟังว่าลุคคือเทพที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนแรกเด็ก ๆ ก็ทำหน้างง แต่พอรู้ว่าเป็นคนที่ช่วยชีวิตเดนก็เข้ามาขอบคุณกันโดยไม่ได้ติดมากว่าจะเป็นเทพหรืออะไร
หลังจากขอบคุณลุคแล้ว พวกเด็กก็สนใจไอรินมากกว่า เพราะเธอมีเส้นขนสีขาวที่สวยงามต่างจากพวกเขา แต่ทุกคนเคยได้ยินว่ามีเผ่ามนุษย์วานรที่สูงศักดิ์ สามารถใช้พลังที่ทวยเทพประทานมาให้ได้
เด็กมนุษย์วานรถือว่าพวกขนสีขาวเป็นเหมือนกับวีรบุรุษในตำนานและทุกคนก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นแบบนั้นตามประสาของเด็กทั่ว ๆ ไปที่มักเต็มไปด้วยจินตนาการ แต่ว่าที่ผ่านมาพวกเขาทำได้เพียงจินตนาการในหัว ตอนนี้มีตัวเป็นยืนอยู่ตรงหน้าจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูด้วยตาตัวเองแล้ว
ลุคปล่อยให้ไอรินรับมือเด็ก ๆ ไปก่อนจะหันไปถามเดน
“พวกเขาเป็นเด็กที่เกิดในโลกใบนี้ทั้งหมดเลยเหรอ”
“ใช่ ทุกคนไม่มีใคร”
กำพร้า...ลุคเสริมในใจ
“โลกล่มสลายนี่อันตรายจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าชีวิตคือความหวัง ถึงอย่างนั้นโลกนี้ก็ไม่เหมาะกับพวกเขา” เดนกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้า
“แล้วพ่อแม่นายละ หมายถึงคนที่ให้กำเนิดนาย”
“เป็นซอมบี้ไปแล้ว ข้าจึงฆ่าพวกเขา” เดนตอบด้วยใบหน้าอึมครึม
ลุคได้ยินก็อึ้งไป เขาเงียบลงไปไม่ถามอีก แต่ในใจคิดว่า มนุษย์วานรหนุ่มน้อยคนนี้ผ่านอะไรมามากมายจริง ๆ
เขาเข้าใจความรู้สึกที่ต้องเลือกที่อยู่ ๆ คนใกล้ตัวก็กลายเป็นศัตรูที่สามารถหันมาทำร้ายตัวเองได้ ในกรณีของลุคเขายังพอช่วยมาได้ แต่ของเดนมัน...
“ท่านเทพข้าไม่เป็นอะไร แม้ท่านจะมาช้า แต่ว่าท่านก็ช่วยข้าให้รอดมาได้” เดนหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทรุดตัวลงไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด เพราะฤทธิ์ของไอเทมยาสภาวะไม่ยอมตายหมดพอดี
ลุคไม่สนใจเรื่องที่เดนบอกเขามาช้า ที่น่าจะหมายถึงเทพไม่โผล่มาช่วยพ่อแม่เขา เพราะเขาไม่ใช่เทพจริง ๆ แต่หลังจากนี้เขาจะช่วยมนุษย์วานรที่เป็นคนของเขาแน่นอน
เวลามาถึงแล้ว ลุครีบเปิดผ้าที่พันแผลไว้ออกเพื่อดูว่าเชื้อนั้นกลับมาอีกหรือไม่และหลังจากรออยู่สักพัก แผลก็ไม่มีเส้นดำ ๆ โผล่มาอีก นั้นหมายความว่าได้ผล
‘เยี่ยม’
ลุคยิ้มด้วยความพอใจ
เด็ก ๆ ที่เห็นว่าอยู่ ๆ เดนก็ล้มลงไปก็รีบเข้ามาพุ่งตัวเขาด้วยความรีบร้อน และหันไปมองลุคด้วยแววตาดุร้าย เพราะคิดว่าลุคทำอะไรพี่ชายของตัวเอง
“เขาอ่อนแอจากแผล เธอช่วยพาเขาไปพักหน่อย” ลุคหันไปสั่งไอริน
ไอรินพยักหน้ารับจากนั้นก็ถามที่นอนของเดนกับเด็กสาวที่โตที่สุด ก่อนจะอุ้มเข้าไปนอนพัก ด้านของเด็กคนอื่น ๆ ก็หันมาจ้องลุคอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องห่วงพี่พวกเธอจะหายดี” ลุคกล่าวและหยิบอาหารออกมาเป็นเนื้อย่างใหม่ ๆ ชิ้นนี้มาจากชิ้นที่ไอรินเคยให้เขาไว้ เนื้อมอนสเตอร์พอทำให้สุกก็ไม่น่าเสียง่าย แถมโดยย่างจนเกรียมคล้ายเนื้ออบแห้งยิ่งอยู่ได้ยาวกว่า
พอขูดด้านนอกที่ไหม้ออก ด้านในก็มีเนื้อแห้งแข็งลุคยื่นไปให้พวกนี้กิน ที่จริงเขาอยากเอาเนื้อสด ๆ ที่เก็บไว้มาย่าง แต่ใต้ดินแบบนี้ไม่เหมาะนัก ช่องระบายอากาศคงระบายควันจากไฟไม่พอ
การใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์วานรมาหลายวันทำให้ลุครู้อยู่อย่างหนึ่ง ใช้อาหารตีสนิทกับพวกเขาง่ายมากยิ่งกว่าใช้คำพูดซะอีก
เป็นอย่างที่คิดพอเด็ก ๆ เห็นเนื้อก็รีบเข้าไปคว้ามาแบ่งกันกินในทันที ทุกคนหิวกันเป็นอย่างมาก แต่ว่าเด็กสาวที่อายุเยอะสุดก็แบ่งเนื้อให้ทุกคน เด็กเล็ก ๆ ดูได้เยอะกว่า แถมยังเอาส่วนหนึ่งไปให้เดนด้วย
“พวกเขารู้จักการแบ่งปันและเสียสละ” ลุคพยักหน้าชื่นชม
“เธอชื่ออะไร” ลุคถามเด็กสาวมนุษย์วานรคนนั้นที่ทำหน้าที่แบ่งอาหารให้คนอื่น ๆ
“ข้าเหรอ เดียร์” เธอตอบกลับมา ก่อนจะลอบถามลุคว่า “ท่านเป็นเทพจริง ๆ เหรอ”
“ในความหมายเธอเทพต้องเป็นยังไง” ลุคถามกลับไป
“พี่เดนเล่าว่าเทพคือผู้ที่สามารถลบล้างผู้ตายไม่ยอมตายได้ พวกเขามีพลังทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นได้ แล้วก็เทพคือผู้ที่สร้างพวกเราขึ้นมา” เดียร์กล่าวอย่างระมัดระวัง เธอพยายามนึกถึงนิทานที่เดนชอบเล่า
“ฉันช่วยรักษาแผลที่โดนกัดไม่ให้กลายเป็นผู้ตายไม่ยอมตายได้และมอบความแข็งแกร่งให้พวกเธอได้” ลุคกล่าวออกมา แต่ส่วนหลังเขาไม่ได้พูดถึง แค่นึกสงสัยเรื่องที่เทพสร้างพวกเขา จึงคิดว่ารอเดนฟื้นขึ้นมาแล้วจะลองไปถามดูว่าเรื่องที่เล่ารู้มาจากไหน
ทุกเรื่องเล่าและตำนานมักมาจากเรื่องจริงที่อาจจะเสริมเติมแต่งขึ้นตามกาลเวลา แต่สำหรับเผ่ามนุษย์วานรลุคคิดว่าเรื่องเล่าพวกเขาบริสุทธิ์กว่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริงและไม่ได้เสริมเติมแต่งมากนัก
เช่นเรื่องหลุมนรกและผู้ตายไม่ยอมตายมันเป็นจริงทั้งหมด แต่เรื่องเทพอันนี้ไม่แน่ใจ ค่อยไปดูอีกที
กลับมาที่เดียร์ พอเด็กสาวได้ยินก็เบิกตากว้างอึ้งไป ราวกับสมองทำงานไม่ทันและมึนงง สุดท้ายก็เธอก็พยักหน้าเบา ๆ กล่าวเสียงที่เกรงกลัวว่า
“ข้า...ข้าเชื่อว่าท่านเป็นเทพ ท่านประทานพลังให้ข้าได้ไหมข้าอยากจะปกป้องทุกคน”
“ไว้รอพี่ชายเธอฟื้นก่อน” ลุคกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่เห็นได้ถึงความคาดหวังในแววตาใส่ซื่อคู่นั้น
เธอคิดแต่เพียงท่านเทพไม่ได้ปฏิเสธ เท่ากับมีโอกาส
...
เด็ก ๆ มนุษย์วานรยังวนเวียนอยู่รอบ ๆ ไอริน แต่ในบางครั้งก็จะแอบมองลุคด้วยความยำเกรงเป็นบางครั้ง เพราะเดียร์ไปเล่าเรื่องที่คุยกับลุคให้พวกเขาฟัง
ไอรินไม่ได้รังเกียจพวกเด็ก ๆ กลับกันเธอกับยินดีที่มีเด็กพวกนี้มาเข้าใกล้และพูดคุยด้วย เธอไม่ได้รู้สึกเป็นที่รักในเผ่าตัวเองมานานแล้ว เพราะในเผ่าน้ำไหลเธอถูกทุกคนกรีดกันจากการที่ไร้ที่พึ่ง สุดท้ายก็ถูกส่งมาเป็นผู้ติดต่อทวยเทพ แต่การเลือกให้ไปตายครั้งนี้กลับทำให้เธอได้พบโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตที่ยากจะเกิดขึ้นได้สักครั้ง
ขณะเดียวกันลุคก็กำลังเดินดูสถานที่แห่งนี้อยู่ เนื่องจากว่ามันมีหลายสิ่งที่เดนนั้นเก็บรวบรวมมาที่น่าสนใจ เช่นแผ่นโลหะที่มีตัวอักษรหลงเหลืออยู่
อักษรที่รอดอยู่ไม่ได้ถูกเขียนแต่สลักลงไปในเนื้อเหล็ก เขาอ่านมันไม่ออก แม้จะใช้แหวนสื่อสารมอนสเตอร์ก็ตาม แหวนทำให้เข้าใจเพียงการพูดคุยเท่านั้น ไม่ใช่การอ่าน
แต่ว่าลุคก็ใช้แหวนเครือข่ายไกอาสแกนเก็บตัวอักษรที่เห็นเอาไว้
“วิเคราะห์ภาษา” ลุคสั่งการแหวนเครือข่ายไกอา
“ข้อมูลมีน้อยเกินไปไม่สามารถวิเคราะห์ภาษาได้” แหวนไกอาตอบกลับมา
“เอาเถอะ สแกนเก็บไว้ในฐานข้อมูลก็พอ” ลุครู้อยู่แล้ว แต่ก็แค่อยากลองดูเท่านั้น แหวนเครือข่ายไกอาเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกับระบบไกอา ซึ่งเป็นสุดยอดปัญญาประดิษฐ์ แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกตัดขาดไปแล้ว อย่างมากก็ทำได้แค่ใช้ฟังก์ชันที่โหลดไว้ในแหวน
ซึ่งเขาโหลดทุกอย่างที่จำเป็นในการสำรวจโลกต่างมิติมาแล้วและต้องเสียเงินไปหลายล้านเครดิต
ถึงอย่างนั้นพอโดนตัดการเชื่อมต่อแบบนี้ก็ทำให้แหวนใช้งานได้อย่างจำกัด
“ต้องรวบรวมอักษรของโลกนี้มากกว่านี้” ลุคเชื่อว่าโลกนี้แม้จะล่มสลายไปหลายปี แต่ก็น่าจะเหลือบางสิ่งไว้บ้างแน่นอน
ถ้าสามารถเข้าใจภาษาและศึกษามันได้จะต้องมีประโยชน์แน่