ตอนที่ 1345 เฉินข่าย, เหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ
เกาะฮ่องกง…
ในป่าเขารกร้างที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เฉินข่าย ชายหนุ่มที่หลงทาง ได้เห็นรถหรูคันหนึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา ทั้งรถหรูคันนี้เขาเองเคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้าน ตอนนั้นเขาเองได้กำลังถ่ายรูปกลุ่มเด็กๆ ที่เล่นกันอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน แต่แล้วเขาก็ได้เห็นรถคันนี้ขับผ่านหน้าไป
เฉินข่าย มีความสุขมากเพราะเขาหลงทางมาสักพักหนึ่งแล้ว เขาหาทางออกไม่ได้ ยิ่งเมื่อเห็นว่าท้องฟ้ากําลังจะมืดแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อยากค้างคืนบนภูเขา ใครจะไปรู้ว่าจะมีแมลงมีพิษ หรือพวกสัตว์ร้ายหรือไม่ สิ่งสำคัญเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดจากในสถานแบบนี้ไปได้
เช่นนั้นเขาขอแค่ได้พบเจอใครสักคนก็ดีจะไม่น้อย มาในเวลานี้เขาเกิดชอบผู้คนมากจนไม่เคยรู้สึกชอบผู้คนมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
เขาได้มาถึงรถหรู และตั้งใจจะถามทาง ถ้าเป็นไปได้ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะพาเขาไปส่ง หากเป็นเช่นนั้นจริง อีกฝ่ายก็คงจะถือเป็นคนดีมากๆ และแม้ว่าคนรวยที่ขับรถหรู อาจจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่อย่างน้อยๆ การชี้บอกทางให้ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกมั้ง
เมื่อพอเขาได้เข้าไปใกล้จึงพบว่า ไม่มีใครอยู่ในรถ
เฉินข่าย มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร และเขาไม่รู้ว่าคนในรถหายไปไหน
เฉินข่าย จึงได้ตัดสินใจรอเจ้าของรถกลับมาที่นี่ เขาเดาว่าเจ้าของรถน่าจะเป็นคนรักการถ่ายภาพเหมือนกันกับเขา จึงได้วิ่งมาถ่ายที่นี่ และในฐานะผู้ที่ชื่นชอบอะไรๆ เหมือนกัน งั้นพวกเราก็น่าจะพูดคุยกันได้ง่าย
แต่หลังจากรอไปสักพักก็ไม่เห็นเจ้าของรถกลับมา ทั้งในตอนนี้.. อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบมาก เฉินข่าย เหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากในบริเวณใกล้ๆ
และด้วยความอยากรู้อยากเห็น เฉินข่าย จึงได้เลือกเดินตามเสียงนั้นไป
ที่บริเวณเชิงเขา ซึ่งเป็นป่าหญ้าสูงเท่าตัวคน ในจุดนี้เขาได้พบเห็นชายสามคน
ชายผิวขาวที่แต่งตัวดีคนหนึ่ง อายุประมาณสามสิบกว่าปีได้ ไว้หนวดเครา ดูหล่อมาก รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว มองดูแล้วก็คงเป็นประเภทที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี
ถัดจากชายผิวขาว มีชายในชุดสูทคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เป็นคนผิวเหลือง สวมแว่นตากันแดด แต่สีหน้าของเขานั้นกลับดูเย็นชามาก
และชายทั้งสองคนนี้กำลังมองไปที่ ชายคนที่สาม
ชายคนที่สามนี้ เป็นชายวัยกลางคนผิวเหลือง รูปร่างท้วม สวมชุดสูทราคาแพง ที่คาดไม่ถึงคือ เขา.. กําลังใช้พลั่วขุดดินบนพื้น ทั้งพื้นดินข้างหน้าเขาก็ได้ถูกขุดจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ ไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้า หรือเพราะอะไร เขาถึงได้มีเหงื่อไหลท่วมตัว ร่างกาย และมือของเขาดูสั่นไปหมด
เมื่อดูจากสีหน้าเขาแล้ว คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า มันมีอะไรที่มากไปกว่าความเหนื่อยล้าแน่ๆ
“เฮ้ย.. จะมืดแล้ว รีบๆ หน่อยสิวะ!”
ชายผิวขาวเร่งเร้า น้ำเสียงของเขาดูจะใจร้อนเล็กน้อย เขาพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ และเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสําเนียงลอนดอน
ชายวัยกลางคนร่างท้วมได้รีบเช็ดเหงื่อเย็นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่กล้าพูดอะไรมาก ก้มหน้าก้มตาทํางานต่อไป
ชายผิวขาวมองดูอย่างละเอียดแล้วก็พูดว่า : “พอได้แล้ว อืมม.. ฉันคิดว่ามันโอเค เฮ้.. นายว่าไง?”
เขาได้เหลือบมองไปที่ชายที่สวมแว่นตากันแดดที่อยู่ข้างๆ เขาแวบหนึ่ง
ชายที่สวมแว่นตากันแดดพยักหน้า และเดินไปที่ชายวัยกลางคนร่างท้วม พร้อมกับเอามือไปลูบที่เอว พลางพูดอย่างเย็นชาไปว่า : “วางพลั่วลงได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนร่างท้วม ดูเหมือนจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาได้ร้องไห้ออกมาทันที พร้อมกับพูดว่า : “ได้โปรด.. อย่าฆ่าฉัน ได้โปรด ฉันรู้ว่าฉันผิด ให้โอกาสฉันเถอะ”
ชายที่สวมแว่นตากันแดด พูดอย่างเย็นชาไปว่า : “คุณนะ.. หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”
ชายวัยกลางคนร่างท้วม ได้ร้องไห้ออกไปว่า : “ได้โปรด ช่วยฉันขอความเมตตาจากคุณชายสมิธหน่อยเถอะ ฉันยินดีบริจาคเงินทั้งหมดของฉัน ฉันแค่อยากมีชีวิตรอด”
ชายที่สวมแว่นตากันแดดไม่ได้มีเจตนาจะพูดคุยกับเขาแม้แต่น้อย เขาได้หยิบปืนออกมาจากเอว ปากกระบอกได้เล็งไปที่ ชายวัยกลางคนร่างท้วม จากนั้นเขาเดินกดดันอีกฝ่ายให้ไปที่ปากหลุม เมื่อนั้นเขาก็พูดว่า : “ลงไปในหลุม”
ชายวัยกลางคนร่างท้วม ได้ตระหนักแล้วว่าตัวเองพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว และอีกฝ่ายมันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยเขาไป ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่กล้าจะพูดอะไรอีกแล้ว เขาได้เลือกเดินไปที่หลุมที่ตนเองขุดไว้ทั้งน้ำตา
“โยนพลั่วทิ้งไปด้านข้าง” ชายที่สวมแว่นกันแดด พูดออกมา
ชายวัยกลางคนร่างท้วม ก็โยนพลั่วทิ้งไป
เขายังคงอยากพยายามร้องขอชีวิตจากอีกฝ่าย จึงพูดออกไปว่า : “ได้โปรด ขอร้อง อย่า! ไม่ๆ…..”
ปัง!
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ.. เสียงปืนก็ได้ดังขึ้น กระสุนเจาะเข้ากลางศีรษะของเขา เขานิ่งชะงักไปทันที จากนั้นร่างกายของเขาก็ตกลงไปในหลุมที่ตัวเขาเองได้เป็นคนขุด
ชายที่สวมแว่นตากันแดดได้ฆ่าคนคนหนึ่งไปโดยที่ไม่แม้จะเปลี่ยนสีหน้า และนี่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขา ..ได้ทําเรื่องแบบนี้
ส่วนทาง ชายผิวขาว เขาขมวดคิ้ว และดูมีสีหน้าน่ารังเกียจเล็กน้อย
ซึ่งทั้งคู่ ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นว่า ในจังหวะที่ชายสวมแว่นตากันแดดกำลังยิง ชายวัยกลางคนร่างท้วม ในระยะกระชั้นชิดนั้น ไม่ไกลจากนั้นได้มีชายหนุ่มที่ชื่อ เฉินข่าย ได้บังเอิญเดินมาถึง และเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี
เฉินข่าย ได้รู้สึกตกใจสุดขีด เขาได้อ้าปากกว้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดออกไป ร่างกายของเขาเองก็แข็งทื่อด้วยความตกใจ ทั้งหวาดกลัวไปอยู่ครู่หนึ่ง
“รีบๆ จัดการให้เสร็จๆ ซะ ฉันอยากจะกลับไปกินโปหลัวเปา (菠萝包 บันสับปะรด) แล้ว” ชายผิวขาว กล่าว
โปหลัวเปา หรือบันสับปะรด เป็นหนึ่งในของอร่อยที่ขึ้นชื่อในเกาะฮ่องกง, ปรากฏว่าชายชาวต่างชาติคนนี้ก็ชอบกิน บอกตรงๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่เคยมีใครหลงลืมรสชาติของมัน… (มีแอบโฆษณา)
ชายที่สวมแว่นกันแดดได้พยักหน้า เขาได้ก้มตัวลงหยิบปลอกกระสุนบนพื้นก่อน แล้วใส่มันไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเดินมาที่ด้านข้าง หยิบพลั่วที่ชายวัยกลางคนร่างท้วมเพิ่งใช้ เริ่มตักดินขึ้นกลบฝังศพของชายวัยกลางคนร่างท้วมทันที
ในขณะนี้ เฉินข่าย ที่อยู่ไม่ไกล ทั้งมันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ตัวเขาเองรู้สึกผ่อนคลายลงจากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ในที่สุดร่างกายที่แข็งทื่อของเขาก็ดูเหมือนจะสามารถขยับได้แล้ว
แต่สมองของเขาก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ ในเวลานี้มันกลับมีเพียงความคิดเดียว ก็คือ หนี เขาต้องรีบหนี รีบหนีออกไปจากสถานที่ที่เลวร้ายนี้ให้เร็วที่สุด
แต่เท้าของเขามันกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มันเอาแต่สั่นไม่หยุด นี่คือเขาขยับไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งลึกๆ ในใจเขามันได้ร้องเตือนเขาว่า อย่าขยับ และอย่าให้อีกฝ่ายค้นพบ ถ้าสองคนนั้นพบเขาเข้า จุดจบของเขาจะเป็นเหมือนกับ ชายวัยกลางคนร่างท้วม ..คนนั้น
เฉินข่าย เป็นแค่คนธรรมดา ใช่ เขาเป็นคนธรรมดามากๆ ในชีวิตนี้เขาไม่ค่อยได้โกรธใคร เขานั้นกลับดูเป็นคนที่อ่อนโยน ใจดีเสียมากกว่า พอได้มาเจออะไรที่รุนแรงๆ เข้าหน่อย เขาเองก็สามารถเครียดจนตัวสั่นได้ แถมยังจะปวดเอวขึ้นมาอีกจากการยืนเกร็งด้วย
ใช่ ตอนนี้ เฉินข่าย รู้สึกว่าเอวของเขาเจ็บราวกับจะหัก จนมันทำให้เขาไม่สามารถเดินได้ด้วยซ้ำ
แต่การมายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี สักพักอีกฝ่ายอาจจะเจอเขาก็ได้
เขาจึงอยู่เช่นนี้ไปพักหนึ่ง เขาไม่กล้าที่จะขยับไปไหน ทั้งการให้เลือกอยู่ตรงนี้เขาก็ไม่กล้า เหงื่อเย็นๆ มันก็ไหลตกลงมาท่วมหน้า เขาทรมานเหมือนกับกำลังตกอยู่ในนรก
เขาได้แต่ให้กำลังใจตัวเองอยู่ในใจว่า : “เฉินข่าย ไอ้น้องชายใจเย็นๆ ตั้งสติหน่อย แกต้องมีสติเอาไว้ จำไว้แกมีแค่ชีวิตเดียว ถ้าครั้งนี้แกหาวิธีรับมือไม่ดีล่ะก็ แกได้ไปคุยกับรากมะม่วงแน่! นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย! ตายจริง ใช่.. ไอ้น้องแกต้องมีชีวิตอยู่สิ ต้องมีชีวิตอยู่รอดไปให้ได้”
ความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาทันที และในที่สุดเขาก็ระงับความตึงเครียดที่มีอยู่ได้ แต่เขายังคงไม่กล้าที่จะขยับไปไหน แต่ร่างกายของเขาดูเหมือนจะสามารถขยับได้แล้ว เขาเลยเลือกที่จะนั่งยองๆ ลงไปอย่างเงียบๆ และซ่อนตัวของเขาไว้ในพื้นหญ้าที่สูงเท่าตัวคน ทั้งที่ปลายยอดของมันสูงเกือบจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว
สิ่งที่ เฉินข่าย ไม่รู้ก็คือ ตอนนี้.. ชายผิวขาว กําลังมองไปมารอบๆ และสายตาของเขามองไปที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่พอดี ถ้าเขานั่งลงยองๆ ช้าไปกว่านี้หนึ่งวินาที เขาอาจจะถูก ชายผิวขาว คนนี้ค้นพบเข้าให้แล้ว
บังเอิญมาก ที่ในเวลานี้ได้มีสายลมอ่อนๆ ยามเย็นพัดผ่านเข้ามา ทำให้หญิงพลิ้วไหวเหมือนคลื่นข้าวสาลี..
ทั้งมันยังได้ปกปิดเสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดจาก เฉินข่าย ไปได้
เฉินข่าย นั่งยองๆ อยู่ในพื้นป่าหญ้าเหมือนราวกับกระต่ายที่กำลังตกใจกลัว และเขาก็ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด
เพียงหลังจากนั้นไม่นาน เฉินข่าย ได้ยิน ชายผิวขาว และชายที่สวมแว่นตากันแดดพูดคุยกัน
“เข้าไปตรงนั้นไปหาหญ้าแห้งมาปกคลุมหน่อย เพื่อไม่ให้ใครมองออก ถึงจะบอกว่าที่นี่เข้าถึงไม่ได้ง่ายๆ แต่ยังไงก็ต้องระมัดระวังหน่อย” ชายผิวขาว ได้กล่าวออกมา
ภาษาอังกฤษของ เฉินข่าย ก็ดีเช่นกัน เขาเข้าใจคําพูดของ ชายผิวขาว และตัดสินจากสําเนียงของ ชายผิวขาว คนนี้ได้ว่า อีกฝ่าย.. เป็นคนอังกฤษ
ชายที่สวมแว่นตากันแดดพยักหน้า แล้วจากนั้นจึงเดินไปในทิศทางที่ เฉินข่าย หลบซ่อนตัวอยู่ เฉินข่าย ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาก็ได้ซีดขึ้นมา และเป็นอีกครั้งที่ความหวาดกลัวมันได้ถาโถมเข้ามาหาเขา….