บทที่ 78: เขาไม่เพียงแต่เป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ทรยศต่ออาณาจักรอีกด้วย!
บทที่ 78: เขาไม่เพียงแต่เป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ทรยศต่ออาณาจักรอีกด้วย!
“ใช่ เขาเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ข้าไม่เคยเห็นใครที่ไม่รู้จักพอขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต!” เถ้าแก่ถอนหายใจออกมา
โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยมองหน้ากัน ทางด้านกัวเส้าส้วยก็ถามว่า “เขากลายเป็นคนทุจริตเช่นนั้นได้อย่างไรหรือ?”
"ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง!" เถ้าแก่นั่งลง มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังแล้วก้มหน้าลงกระซิบ “ท่านรู้ไหมว่าเขาเริ่มทุจริตตั้งแต่ในวันที่เขากลายเป็นขุนนางระดับสูงเลย?”
“ในวันนั้น จักรพรรดินีได้สั่งให้เขายึดทรัพย์สินของอดีตเสนาบดี เขาไปบุกค้นเรือนและถือโอกาสนำกล่องไปใส่ทอง เงิน เครื่องประดับและของมีค่าอื่นๆ ในเรือน โดยให้คนรับใช้ของเขาแบกมันกลับไป! ในยามนั้นผู้คนบนท้องถนนต่างเห็นมัน ว่ากันว่าในกล่องข้างในมีเกือบ 2 ล้านตำลึง!”
"2 ล้านตำลึง!" โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถึงกับอ้าปากค้าง
“เขากินสินบนไป 2 ล้านตำลึงตั้งแต่ที่เขากลายเป็นขุนนางระดับสูงทันที ท่านยังไม่คิดว่าเขาเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงอีกหรือ?” ทั้งสองพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “อืม เขาเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแท้จริงเลย!”
“ต่อมาเขาก็ได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นเรือนของผู้ตรวจการมากมาย จนได้รับเงินหลายแสนจากพวกเขา!” กัวเส้าส้วยถึงกับตกใจ “เขากล้าหาญมาก ถึงขั้นรีดไถเงินจากผู้ตรวจการของจักรพรรดิเลยหรือ เขากล้าหาญมากเกินไปหรือเปล่า?”
“ใช่ไหมเล่า?” เถ้าแก่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่ท่านคิดว่าเขาจะหยุดอยู่ตรงนั้นเหรอ? ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ความโลภของเขาอยู่เหนือจินตนาการของท่านไปอีก!”
กัวเส้าส้วยเอ่ยถามว่า “เขายิ่งโกงกินมากยิ่งขึ้นงั้นหรือ?”
“หลังจากนั้นเขาได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีและได้เป็นผู้อำนวยการสถาบันจักรพรรดิ มันผู้นี้ยิ่งทุจริตมากขึ้นและถึงขั้นรับเงินจากบัณฑิต! ว่ากันว่าเขารีดไถเงินได้เกือบ 3 ล้านตำลึงในเวลาเพียงเดือนเดียว!”
"3 ล้าน!" โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถึงกับอ้าปากค้างอีกครั้ง
กัวเส้าส้วยอดไม่ได้ที่จะกระแทกโต๊ะด้วยความโกรธและพูดว่า “เขาชั่วช้าเกินไปแล้ว! ถึงขั้นรีดไถเงินจากบัณฑิต เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
“ชู่ว…เงียบๆ และอย่าให้คนของเขาได้ยินเข้าเชียว!” เถ้าแก่ตื่นตระหนกและดึงกัวเส้าส้วยให้เงียบลงทันที
หลังจากมองไปรอบๆ อีกครั้งและไม่เห็นใครมองมา เขาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ท่านทั้งสองได้โปรดอย่าหุนหันพลันแล่นไปเชียว ถ้าคนของหลินเป่ยฟานได้ยินเรื่องนี้เข้า เราจะมีปัญหาแน่!”
“เจ้าจะกลัวอะไรกัน? คนอย่างเขาจะทำอะไรข้าได้?” กัวเส้าส้วยหัวเราะเยาะ
"แต่ข้ากลัว! ข้าและครอบครัวของข้าอยู่ที่นี่ เราไปจากที่นี่ไม่ได้เช่นท่าน!“ใบหน้าของเถ้าแก่ขมขื่นราวกับกลืนมะระลงไป”ท่านเป็นคนที่ท่องไปตามยุทธ์ภพ สามารถจากไปได้หากทำให้เขาโกรธ แต่ข้าและครอบครัวไม่สามารถจากไปได้!”
“ศิษย์น้อง อย่าหุนหันพลันแล่นไป!” โม่หรูซวงให้คำแนะนำและยิ้มให้เถ้าแก่ “ศิษย์น้องของข้ายังเด็กและไม่มีประสบการณ์ คงทำให้ท่านรู้สึกกังวลมาก แต่ถึงกระนั้นได้โปรดท่านช่วยเล่าต่อที”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของโม่หรูซวง เถ้าแก่พยักหน้าและก็กล่าวต่อ “ได้!”
“ต่อมาเขาก็ขายอาณาจักรเพื่อเงินและทรยศอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ของเรา !”
ทั้งสองตกใจอีกครั้ง “อะไรนะ? เขาขายอาณาจักรงั้นหรือ?”
“สถานการณ์มันเป็นเช่นนี้! ก่อนหน้านี้อาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ของเราได้ต่อสู้กับอาณาจักรดาร์โรที่กำลังมาเจรจาสงบศึก หารือเกี่ยวเรื่องยอดของสินทดแทน! ทว่าหลินเป่ยฟานก็ไปรับคำสั่งพวกเขา!”
“ในระหว่างการต้อนรับ เขาได้ยอมรับสินบนจากทูตของอาณาจักรดาร์โรอย่างเปิดเผย! อะไรก็ตามที่เขาต้องการ เหล่าคณะทูตจะซื้อให้เขา ในเวลานั้น ผู้คนบนท้องถนนต่างประจักษ์ด้วยตาของตนเอง!”
“หลังจากนั้น หลินเป่ยฟานที่ได้รับผลประโยชน์มากมายก็ได้เป็นตัวแทนพูดให้ดาร์โร ต่อมาได้มีการประกาศเรื่องสินทดแทนระหว่างทั้งสองอาณาจักร พวกท่านพอจะเดาได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถามพร้อมกันว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ถึงแม้จะเป็นฝ่ายอาณาจักรที่พ่ายแพ้ แต่ดาร์โรกลับไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ตำลึงเดียว!”
“ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินให้ ยังอนุญาตให้พ่อค้าระหว่างทั้งสองอาณาจักรค้าขายกันได้อีก! นอกจากนี้ทางราชสำนักยังจะส่งอาจารย์ไปยังอีกอาณาจักร เพื่อจัดตั้งสถาบันและให้ความรู้แก่ราษฎร…”
“ไม่ว่าจะดูเช่นไร การทำเช่นนี้ก็มีแต่จะดีกับอาณาจักรดาร์โร ไม่เห็นมีประโยชน์แก่อาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ของเราเลย!”
“ช่างน่าสงสารทหารหนุ่มของอาณาจักรอู๋เหลือเกิน พวกเขาตายตั้งแต่ยังเด็กในแนวหน้า แต่พวกเขากลับต้องพานพบกับผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังเช่นนี้!”
เถ้าแก่กัดฟันและกล่าวต่อ “หากสิ่งนี้ไม่เรียกว่าเป็นการขายอาณาจักร แล้วมันจะเป็นอะไรได้อีก?”
“นี่มันคือการขายดินแดนของตนเองชัดๆ!” โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยรู้สึกเสียใจยิ่ง พวกเขาได้แต่หลับตาลง
เส้นเลือดบนใบหน้าของพวกเขานูนขึ้นขณะที่พวกเขากำหมัดทุบไปบนโต๊ะ
“ไอ้เจ้าคนทรยศผู้นี้! น่าโมโหนักที่เขาขายผลประโยชน์ของอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ได้เพียงเพื่อเอาเงินเล็กน้อยเท่านั้น! คนแบบนี้ไม่มีค่าพอที่จะไว้ชีวิต แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าไป 100 ครั้งก็ตาม!”
กัวเส้าส้วยทั้งดีใจและโกรธ เขาโกรธเพราะเขาเกลียดขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยเฉพาะคนที่ทรยศแก่อาณาจักรของตนเช่นนี้ เขามีความสุขเพราะเขาสามารถทำลายภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของอีกฝ่ายได้แล้ว
แม้ว่าเจ้าจะดูดีกว่าข้าและมีความสามารถมากกว่า แล้วมันไงกันเล่า? แม้ว่าเจ้าจะเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ทั้งหมด แล้วมันยังไงกันล่ะ? เจ้ามันก็แค่ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง! คนไร้ยางอายที่ทั้งโลภและทรยศ นี่คือรอยด่างพร้อยที่จะติดอยู่กับเจ้าตลอดไป! คนแบบเจ้าก็เหมือนแมลงสาบในท่อระบายน้ำ พวกเจ้าไม่สมควรได้รับความอิจฉาจากข้าสักนิดเดียว!
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้ …” ดวงตาของโม่หรูซวงซับซ้อนยิ่ง
เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ท่าทีที่อ่อนโยนของอีกฝ่ายก็ได้สร้างความประทับใจให้กับนาง
นางตั้งใจจะแนะนำให้เขารู้จักกับท่านอ๋อง เพื่อช่วยยุติยุคที่วุ่นวายเช่นนี้ลง นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นนี้! ไม่เพียงแต่เขาฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่เขายังเป็นคนทรยศอีกด้วย!
โม่หรูซวงถอนหายใจลึกๆ รู้สึกทั้งเจ็บปวดและเสียใจ
“เขาเป็นคนทรยศที่ขายผลประโยชน์ของอาณาจักรอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เจ้าทุกคนสังเกตเห็น ไฉนราชสำนักถึงไม่สังเกตเห็นกัน?”
“พวกเขาจะสังเกตเห็นได้ยังไง?” เถ้าแก่เยาะเย้ยออกมาด้วยความผิดหวัง
“พวกเสนาบดีพลเรือนและทหารทุกคนในราชสำนักต่างก็ทุจริต กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังเป็นผู้ปกครองที่โง่เขลาเลย! แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็น แต่ก็พวกเขาก็ปกป้องและมอบที่คุ้มภัยให้กัน มันจะเกิดอะไรขึ้นกันได้เล่า?”
“ข้าจะเล่าอะไรให้พวกท่านฟัง เมื่อวันก่อนนี้…” เถ้าแก่กล่าวเสียงเบา
“เมื่อขุนนางทั้งหมดของราชสำนักและจักรพรรดินีไปตรวจสอบสถาบันจักรพรรดิ พวกเขาแนะนำให้เลื่อนตำแหน่งให้กับหลินเป่ยฟาน! เขาเพิ่งอยู่ที่สถาบันจักรพรรดิได้ไม่ถึงเดือนและเขาไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเลย แต่พวกเขากลับขอให้มีการเลื่อนตำแหน่งแก่เขา! หากไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าไม่มีทางจะเชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไม่เอื้อผลประโยชน์ต่อกัน!”
“ขุนนางทุจริตปกป้องขุนนางทุจริต ราชสำนักน่ากลัวกว่าที่เราคิดเสียอีก!” เถ้าแก่ถอนหายใจออกมา
“พวกข้าน่ะยอมแพ้ต่อราชสำนักกันแล้ว! พวกเรามีแต่ต้องใช้ชีวิตกันต่อไปเท่านั้น!” หลังจากพูดจบ เถ้าแก่ก็ออกไป โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยยังคงอยู่ที่เดิม หัวใจของพวกเขาไม่อาจอยู่เฉยได้อีกแล้ว
“ศิษย์พี่หญิง เราควรไปตามหาเขาหรือไม่?”
โม่หรูซวงส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เส้นทางของเราแตกต่างกัน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำงานร่วมกัน! จะไปหาเขาเพื่ออะไร? รังแต่จะสร้างปัญหา การไม่ไปพบเจอเขาคงเป็นการดีที่สุด! ไปค้นหาวีรบุรุษแห่งรัตติกาลต่อเถิด เขาเป็นคนเดินตามเส้นทางเดียวกับเรา!”
“ศิษย์พี่หญิง พอพูดเรื่องการตามหาวีรบุรุษแห่งรัตติกาลแล้ว ข้าก็มีความคิดดีๆ ขึ้นมาพอดีเลย!”
"ความคิดดีๆ?" โม่หรูซวงหันไปถาม
กัวเส้าส้วยยิ้มตอบ “เราสามารถแสร้งทำเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาล ปล้นและแจกเงินในยามราตรีเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเขาได้! เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาก็จะออกมาอย่างแน่นอน! พอเป็นเช่นนี้ เราได้พบกับเขาแน่!”
โม่หรูซวงพยักหน้าและยิ้มออกมา “เป็นความคิดที่ดี! แต่เราจะเอาเงินมาจากไหนกัน? เราไม่มีเงินมากขนาดนั้นสักหน่อย!”
“แน่นอนว่าเราจะต้องเอามันมาจากเรือนของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง หลินเป่ยฟาน! เขายักยอกเงินจำนวนมากและเหล่าราษฎรต่างก็โกรธแค้น เราต้องไปเอาเงินจากมันสักหน่อย ถือว่าเป็นการปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน! หากข้าได้แทงเข้าสักที มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อราษฎรอย่างใหญ่หลวง!”
เจตนาฆ่าได้ปรากฏบนสายตาของกัวเส้าส้วย
ทันใดนั้น ใบหน้าที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาก็ปรากฏขึ้นในใจของโม่หรูซวง นางที่ทนไม่ได้ก็กล่าวว่า “' ไปหาคนอื่นเถอะ เขาชี้ทางให้เราและแบ่งปันเครื่องดื่มแก่เรา แม้ว่าเขาจะสมควรตายเป็นพันๆ ครั้ง แต่เราก็ต้องรักษาหลักการทางศีลธรรมของโลกวรยุทธ์ไว้ หากเขาทำให้เราขุ่นเคืองอีกครั้ง ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะลงมือ!”
“เช่นนั้นก็เอาตามที่ศิษย์พี่กล่าว!” กัวเส้าส้วยพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
คืนนั้นพวกเขาแอบเข้าไปในบ้านของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและพบเงินบางส่วน
จากนั้นพวกเขาก็แต่งตัวเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาล ออกไปกระจายเงินตราให้ผู้อื่นยามราตรี เช้าวันรุ่งขึ้น ตำนานของวีรบุรุษแห่งรัตติกาลก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถูกพูดถึงกันให้ทั่ว
หลี่ซือซือที่สับสนก็ได้เอ่ยถามเสียงเบาๆ ออกมา “ท่านสามี เมื่อคืนก่อนท่านไปทำอะไรหรือ…”
"ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย" หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างจริงจัง “ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้ากอดเจ้าไว้ทั้งคืนและไม่ได้ลุกออกจากเตียงสักนิดเดียว!”
"โอ้ จริงสินะ!" หลี่ซือซือถึงกับหน้าแดง “แต่วีรบุรุษรัตติกาลผู้นี้…”
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาตอบกลับไป “ข้าไม่รู้ ข้าก็แปลกใจเช่นกัน! บางทีอาจมีคนชื่นชมวีรบุรุษแห่งรัตติกาลมากจนกำลังทำสิ่งเดียวกัน! ดูเหมือนความดีของข้าจะแผ่ขจรไปไกลแล้วสินะ!”
“อาจเป็นตามที่ท่านกล่าวมา” หลี่ซือซือพยักหน้า
“แบบนี้ก็ดีไปอีก!” หลินเป่ยฟานหัวเราะ “ถ้ามีคนทำความดี ข้าซึ่งเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาลตัวจริงก็สามารถเกษียณได้! อีกทั้งช่วงนี้อากาศยังเริ่มหนาว การออกไปข้างนอกช่วงค่ำคืนคงไม่ปลอดภัยสักเท่าไร นอนอุ่นอยู่บนเตียงย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ!”
“วีรบุรุษหนึ่งคนร่วงโรย วีรบุรุษแห่งรัตติกาลนับพันปรากฏ!!”
หลี่ซือซือพยักหน้าซ้ำๆ “สิ่งที่ท่านสามีของข้าพูดนั้นถูกต้อง! มันอันตรายเกินไปที่จะออกไปข้างนอกยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีโอกาสที่ตัวตนของท่านจะถูกเปิดเผยอีก! จากนี้ไปข้าว่าเรามอบเงินให้แก่ท่านหญิงไป๋ฉิงเสวียนโดยตรงเถิด นางคงจะใช้มันอย่างถูกต้องแน่!”
หลินเป่ยฟานเห็นด้วยกับนางมาก ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ในช่วงกลางคืน เขาก็จะนอนอยู่กับหลี่ซือซือตลอด
ขณะเดียวกัน โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยก็ยังคงแสร้งทำเป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาล แจกจ่ายเงินทองเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน พวกเขาแจกจ่ายเงินไปกว่าสองแสนตำลึง แต่พวกเขากลับไม่พบคนที่พวกเขากำลังตามหาได้เลย ทำให้พวกเขาหงุดหงิดยิ่ง
“ศิษย์พี่หญิง ท่านคิดว่าวีรบุรุษรัตติกาลจากไปแล้วหรือ? ทำไมเราสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ขนาดนี้ เขาถึงไม่ปรากฏตัวออกมากัน?” กัวเส้าส้วยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“บางทีคงเป็นเช่นนั้น” โม่หรูซวงถอนหายใจ “เรามาทำกันอีกสองวันเถอะ หากเรายังไม่ได้อะไร คงมีแต่ต้องคิดหาวิธีอื่น!”
“ขอรับ นั่นคงเป็นทั้งหมดที่เราทำได้!” กัวเส้าส้วยพยักหน้าด้วยความอ่อนเพลีย จากนั้นพวกเขาก็ยังคงปลอมตัวทำเป็นวีรบุรุษรัตติกาลต่อไปอีกหนึ่งคืน
ทว่าในคืนนี้ ไป๋ฉิงเสวียนได้ปรากฏตัวต่อหน้าหลินเป่ยฟานและถามว่า “เจ้าออกไปแจกจ่ายเงินตราอีกแล้วหรือ?”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะ “ไม่เลย ข้าไม่ได้เป็นวีรบุรุษแห่งรัตติกาลมานานแล้ว!”
ไป๋ฉิงเสวียนถามอีกครั้ง “วีรบุรุษแห่งรัตติกาลที่ปรากฏตัวขึ้นในยามค่ำคืนเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่อย่างแน่นอน!”
ไป๋ฉิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “อืม เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องจัดการเจ้า!”
หลินเป่ยฟานจึงรีบถามในทันที “มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“คนที่แสร้งทำเป็นตัวเจ้าได้ก่ออาชญากรรมขึ้น!”