ตอนพิเศษ 1: หลางซัว
**หมายเหตุ: เนื้อหาภายในตอนมีการสปอยล์ถึงเนื้อเรื่องหลัก ดังนั้นหากใครที่ยังไม่ได้อ่านเนื้อเรื่องหลัก แนะนำว่าควรกลับไปอ่านให้จบก่อนนะคะ**
ภูเขาสูงตระหง่านที่ปกคลุมด้วยหิมะผสมผสานกับขอบฟ้าสีสดเป็นฉากหลังของทะเลสาบ ทุ่งหญ้า และป่าเขาลำเนาไพร
ภาพเบื้องหน้าเป็นเหมือนสรวงสวรรค์ที่อยู่บนดิน
ทันใดนั้นภูตตัวสีขาวเหมือนหิมะตัวเล็ก ๆ ก็วิ่งออกมาจากป่าพร้อมกับแบกร่างของคนที่เปื้อนเลือดเอาไว้บนหลัง
ที่น่าแปลกก็คือทันทีที่มันเหยียบพื้นหญ้า ป่าด้านหลังก็เปลี่ยนสภาพไปในทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างของภูตที่อยู่กันกระจัดกระจายก็ปรากฏขึ้นบนทุ่งหญ้าที่เคยว่างเปล่า
นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายกันอย่างหนาแน่น
“อาเหยียน ทำไมเจ้าถึงนำคนนอกกลับมาล่ะ?” ภูตมากมายที่ปรากฏตัวขึ้นแบบกะทันหันมารวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ภูตตัวสีขาว แล้วก็ได้เห็นหลางซัวที่กำลังจะหมดลมหายใจนอนอยู่บนหลังของภูตคนนั้น
“อุ๊ย! แถมเขายังเป็นผู้ชายด้วย”
“อาเหยียน ผู้ชายที่เจ้าพากลับมาหน้าตาดีทีเดียว”
ภูตหลายคนส่งเสียงอุทาน พร้อมกับสลับกันวิพากษ์วิจารณ์
“นี่คือคนที่ข้าเก็บมาได้จากข้างทาง เขาเป็นของข้า ไม่ว่าพวกท่านจะมีความคิดอะไรก็เก็บลงไปให้หมดเลยนะ!”
‘ฮ่วนเหยียน’ เบียดตัวออกจากวงล้อมของคนพวกนี้ไปให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนหลังของนาง
ภูตตัวสีขาวคนนั้นทำเหมือนกับว่ากลัวคนอื่นจะมาแย่งเขาไป
พอทุกคนเห็นท่าทางของอาเหยียน พวกนางก็รีบพูดเหน็บแนมคนตัวเล็ก
“เจ้านี่มันขี้เหนียวเสียจริง!”
“พวกเราแค่มองเฉย ๆ มันไม่ได้ทำให้เขาสึกหรอสักหน่อย”
“ถึงเจ้าจะไม่ยกให้เรา เราก็ไม่สนใจเขาหรอก!”
เหล่าฝูงชนพูดด้วยอารมณ์ฮึดฮัด แต่สุดท้ายพวกนางก็ยังมองตามแผ่นหลังของฮ่วนเหยียนไปจนสุดสายตาก่อนจะพากันพึมพำว่า
“แต่ข้าไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนหน้าตางดงามขนาดนี้มาก่อน เขาสวยกว่าผู้หญิงอีก...”
แต่ฮ่วนเหยียนก็ได้เข้าไปในบ้านไม้ก่อนจะปิดประตูโดยที่มันปิดกั้นสายตาจากคนภายนอกไปแล้ว
ข้างในบ้านไม้นั้นมีเครื่องเรือนอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ซึ่งประกอบไปด้วยเตียงนอน โต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้
นอกจากนี้ยังมีช่อดอกไม้เหี่ยว ๆ วางอยู่บนโต๊ะ
แถมบ้านไม้แห่งนี้มีกลิ่นฝุ่นค่อนข้างแรงเพราะว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ทว่าฮ่วนเหยียนก็ไม่ได้สนใจมัน ก่อนที่นางจะวางชายหนุ่มที่ตนแบกมาตลอดทางไว้บนเตียงไม้
บาดแผลของอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต นางจะมัวมารอช้าหรือสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเหยียนได้รักษาบาดแผลของเขาบางส่วนในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่บ้างแล้ว แต่สาเหตุที่สภาพของเขายังคงดูน่ากลัวเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดเท่านั้น
เนื่องจากภายนอกมีอันตรายมากมาย หญิงสาวจึงไม่กล้าที่จะรั้งอยู่นาน นางคิดเพียงว่าจะต้องพาชายหนุ่มกลับมายังเผ่าที่คุ้นเคยและปลอดภัยก่อนถึงจะรู้สึกมั่นใจเต็มร้อย
“ถ้าเจ้าได้ดื่มเลือดอีกครั้งหนึ่ง เจ้าก็น่าจะฟื้นแล้วใช่ไหม?”
ฮ่วนเหยียนพึมพำกับตัวเอง ถัดมาก็มีมีดกระดูกคม ๆ ปรากฏขึ้นในมือของนาง
จากนั้นภูตสาวก็นำมันกรีดลงไปที่แขนของตัวเองจนทำให้มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาทันที
หญิงสาวรีบเปิดปากหลางซัว แล้วปล่อยให้เลือดหยดเข้าไปในปากของเขา
เลือดของนางไม่เพียงแค่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภูตเท่านั้น
แต่มันยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาโรคได้อีกด้วย
หลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไประยะหนึ่ง เปลือกตาของหลางซัวก็เริ่มขยับ
ฮ่วนเหยียนจึงหดแขนตัวเองกลับมา ก่อนจะหันไปหยิบหนังสัตว์สะอาดมาพันแผลตัวเองเอาไว้
ขณะนี้ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าของหลางซัวกลับเปลี่ยนเป็นสีดอกกุหลาบ
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง
ดวงตาสดใสของผู้หญิงคนนี้เป็นประกายเหมือนมีดวงดาวนับพันอยู่ข้างใน มันใสบริสุทธิ์มากเสียจนสะท้อนภาพของหมาป่าหนุ่มได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลางซัวรู้สึกแปลก ๆ ในใจ เขาสัมผัสได้ว่าบาดแผลทั่วร่างกำลังตกสะเก็ดและใกล้จะหายดี
“เจ้าฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง รู้สึกค่อยยังชั่วหรือยัง?”
ฮ่วนเหยียนเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา
“ข้า... เกิดอะไรขึ้นกับข้า? แล้ว… ที่นี่ที่ไหน? เจ้าเป็นใคร?” ยามนี้ดวงตาของสีเขียวของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
ความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจรวมถึงอดีตอันมืดมนนั้นได้หายไปจนหมดสิ้น
ในเวลาเดียวกัน ฮ่วนเหยียนเลิกคิ้วด้วยความฉงน 2 คำถามหลังที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะถามกันเมื่อตื่นมาเจอคนแปลกหน้าและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ไอ้คำถามแรกนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บมาได้ยังไง?”
“ข้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
หลางซัวก้มหน้าสำรวจตัวเองแล้วพบว่าเสื้อผ้าของตนมีแต่รอยเลือดและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว
แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเลยล่ะ?
“เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?” ฮ่วนเหยียนสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว “เจ้ายังจำได้ไหมว่าตัวเจ้านั้นเป็นใคร?”
หมาป่าหนุ่มส่ายหัว “ข้าคือใคร...”
นั่นสิ ข้าคือใครกัน?
หญิงสาวยิ้มทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย
นั่นหมายความว่าชายผู้นี้สูญเสียความทรงจำไปอย่างนั้นหรือ?
ไม่ผิดแน่!
“อะแฮ่ม… ข้าเสียใจมาก เจ้าลืมข้าไปแล้วงั้นหรือ ฮือ ๆๆๆ...”
ฮ่วนเหยียนกระแอมในลำคอก่อนจะเริ่มทำการแสดง
“เจ้าเป็นคู่ของข้า เจ้าได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ออกไปล่าสัตว์ ข้าจึงพาเจ้ากลับมาและในที่สุดก็รักษาเจ้าจนหาย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าสมองของเจ้าจะได้รับความกระทบกระเทือน ในเมื่อเจ้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แล้วในอนาคตข้าจะทำยังไง โฮ ๆๆๆ...”
หญิงสาวยกมือเช็ดน้ำตาที่เหือดแห้งของตัวเองพร้อมกับรำพึงรำพันไม่หยุด
หลางซัวที่ได้ยินเรื่องที่ไม่คุ้นเคยก็ตะลึงงันอยู่กับที่
นี่มัน… โกหกกันซึ่ง ๆ หน้าเลยไม่ใช่หรือ?
เขาอยากจะบอกอีกฝ่ายจริง ๆ ว่าตนแค่สูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ได้โง่สักหน่อย
อย่างไรก็ตาม ดวงตาสีเขียวก็เหลือบไปเห็นแขนของฮ่วนเหยียนที่ถูกมัดด้วยหนังสัตว์แล้วมีเลือดไหลซึมออกมา ภาพนั้นทำให้เขากลืนคำพูดของตัวเองลงคอไป
แม้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่สิ่งที่เป็นความจริงก็คือผู้หญิงคนนี้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
รวมถึงนางยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
“ไม่ต้องกลัว ในอนาคตข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” หมาป่าหนุ่มกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่อพลางพูดปลอบประโลมหญิงสาว
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากยิ้ม แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเข้ากับสีหน้ายิ้มแย้มมากกว่า
เพื่อไม่ให้ผู้หญิงตรงหน้าหวาดกลัว ชายหนุ่มจึงเหยียดยิ้มแบบไม่เป็นธรรมชาติอยู่พักหนึ่ง
ทางด้านฮ่วนเหยียนหยุดร้องไห้ทันทีเพราะนางไม่คาดคิดว่าหลางซัวจะเชื่อคำพูดของตน
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าห้ามทิ้งข้าไปไหนเด็ดขาด” ฮ่วนเหยียนแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายเสียงเข้ม
หมาป่าหนุ่มกลับกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ถูกเสียแทน แล้วเขาก็พยักหน้ารับอย่างจำใจ “ตกลง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
สาเหตุที่เขากล้าพูดแบบนั้นออกไปเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องพาตัวเองไปที่ไหน
ทันใดนั้นฮ่วนเหยียนก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ
หลังจากครุ่นคิดกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็มอบหนังสัตว์สะอาดอีกชุดให้คนตรงหน้า
“เจ้าไปล้างตัวที่ทะเลสาบก่อนเถอะ”
หลางซัวที่เป็นเจ้าของร่างกายก็ยังรู้สึกเหม็นตัวเอง ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายตนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เขาจึงพยักหน้าทำตามที่นางพูดแบบไม่อิดออด
น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ไหลลงมาจากภูเขาหิมะ ดังนั้นมันจึงเย็นมาก
แต่สำหรับภูตแล้ว น้ำเย็นแค่นี้ไม่สะเทือนผิวกายของพวกเขาสักเท่าไหร่
ตอนนี้ฮ่วนเหยียนกำลังยืนรออยู่หลังต้นไม้ใหญ่ หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของหลางซัวดังมาจากด้านหลัง
“ข้าเสร็จแล้ว”
หญิงสาวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ก่อนจะต้องยืนตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า
หลางซัวที่อาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดดูหล่อเหลาราวกับเทพอสูรลงมาจุติบนโลก ใบหน้าของชายผู้นี้งดงามมากกว่าภูตหญิงที่สวยที่สุดในเผ่าเสียอีก
โอ้โห! นี่หรือคือผู้ชายที่ข้าเก็บมาจากข้างทาง เขาหน้าตาดีมากกกก!
พอหมาป่าหนุ่มเห็นหญิงสาวเบิกตากว้างมองมาที่ตน รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ซึ่งรอยยิ้มในครั้งนี้มันดูมีเสน่ห์กว่ารอยยิ้มทื่อ ๆ เมื่อกี้มาก
ทันทีที่ฮ่วนเหยียนได้เห็นหลางซัวยิ้มแบบกระชากใจ นางก็แทบอยากจะเป็นลมล้มไปกองอยู่กับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น
ไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวก็รู้สึกตัวและรีบปิดปากของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ!”
ฮ่วนเหยียนก้าวเดินนำไปข้างหน้า 2 ก้าว จากนั้นนางก็หันกลับมาคว้ามือใหญ่ของหมาป่าหนุ่มไปจับแบบไร้ยางอาย
หลางซัวที่จู่ ๆ ก็ถูกผู้หญิงแปลกหน้าแตะเนื้อต้องตัวก็ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ทว่าเขาก็ไม่กล้าสะบัดมือที่อ่อนนุ่มของอีกฝ่ายออกไป
ต่อมาชายหญิงทั้ง 2 ก็จูงมือกันเดินกลับเข้าไปในเผ่า
คราวนี้เกิดเหตุการณ์แตกตื่นขึ้นในเผ่าอีกครั้ง
เมื่อพวกภูตเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์ของหลางซัว พวกนางก็รู้สึกอิจฉา
ในไม่ช้า ภูตคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า
“อาเหยียน การเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนต่างเผ่ามันจะทำให้เจ้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความตาย เจ้าไม่ควรปล่อยให้เขามาอาศัยอยู่ในเผ่านี้”
ทันทีที่ภูตคนนั้นพูดเช่นนี้ ภูตคนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดอย่างเป็นกังวล
“ใช่ อาเหยียน ผู้ชายหน้าตาดีทุกคนเป็นตัวหายนะทั้งสิ้น”
“เจ้าลืมเรื่องพี่สาวของเจ้าไปแล้วงั้นหรือ นางแค่ได้พบผู้ชายคนหนึ่งก็ยอมออกจากเผ่าไปอาศัยอยู่กับชายผู้นั้น แล้วสุดท้ายเป็นยังไง นางก็ไปตายอนาถอยู่ข้างนอก”
ภูตในเผ่าแห่งนี้มีแผ่นศิลาประจำตัวของตัวเอง หากแผ่นศิลายังคงเปล่งแสงนั่นหมายความว่าเจ้าของมันยังมีชีวิตอยู่ แต่หากเมื่อใดที่แสงของแผ่นศิลาดับลง มันก็หมายความว่าภูตคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว
เมื่อ 10 ปีก่อน แสงบนแผ่นศิลาของพี่สาวของฮ่วนเหยียนก็ดับลงไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
นางได้สูญเสียญาติทางสายเลือดเพียงคนเดียวของนางไป
หลังจากหญิงสาวได้ยินคำพูดของชาวเผ่า ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ต่อมา ฮ่วนเหยียนดึงมือของตัวเองออกจากมือของหลางซัว ก่อนจะขมวดคิ้วพูดตอบโต้คนอื่น
“ปัญหาแบบเดียวกับพี่สาวของข้าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อข้าออกจากเผ่าไปอาศัยอยู่ข้างนอก งั้นข้าจะไม่ออกไปจากเผ่าแห่งนี้เด็ดขาด ข้าจะไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับนาง”
นอกจากนี้หญิงสาวไม่เคยรู้สึกเลยว่าสิ่งที่พี่สาวของตนกระทำนั้นเป็นความผิด
ถ้าจะหาคนผิดสักคนหนึ่งก็ควรจะเป็นภูตที่มีความคิดละโมบโลภมากข้างนอกนั่น
นอกจากนี้ ทำไมนางจะต้องสนใจคำพูดของคนอื่นด้วย นางอยากจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของนาง รวมถึงนางอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับใครมันก็เป็นเรื่องของนางเหมือนกัน
ขณะนั้นหลางซัวก้มลงมองมือที่ว่างเปล่าของตนอย่างครุ่นคิด
ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนก็เหลือบมองไปที่ชายหนุ่ม “แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ได้ต้องการออกไปจากเผ่าของเรา?”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาออกจากเผ่าไปแล้วเอาเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของเผ่าเราไปบอกคนนอก?”
ไม่นานสายตากดดันของฝูงชนก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่หลางซัว
คงไม่มีใครอยากให้เกิดปัญหากับบ้านเกิดของตัวเองกันทั้งนั้น แล้วสำหรับเขาที่เป็นภูตเผ่าพันธุ์อื่นก็ถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง
“เขา—”
“ไม่ว่าอาเหยียนจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะออกไปไหน พวกท่านวางใจได้เลย ข้าจะอยู่ที่นี่”
ฮ่วนเหยียนกำลังจะอ้าปากตอบโต้ ทว่าหลางซัวดันออกหน้าขัดจังหวะนางเสียก่อน
ยามนี้หมาป่าหนุ่มไล่สายตามองฝูงชนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่แน่วแน่ ซึ่งมันไม่มีร่องรอยของความรู้สึกตื่นตระหนกเลยสักนิด
นั่นทำให้ภูตในเผ่าพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ในใจจริง ๆ ของพวกนางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ฮ่วนเหยียนลำบากใจ
ทันทีที่ทุกคนได้ยินชายหนุ่มพูดอย่างตรงไปตรงมา พวกนางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก
บางคนจึงพูดเพียงแค่ว่า
“เอาล่ะ เราจะขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าเจ้าทำอะไรที่ผิดต่ออาเหยียน พวกเราไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
“เราจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนเจ้าออกจากเผ่า!”
ภูตที่เป็นเหมือนหัวหน้าของทุกคนพูดข่มขู่ด้วยท่าทางจริงจัง
หลางซัวพยักหน้ารับแบบไม่หวาดหวั่น
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้านไม้ ฮ่วนเหยียนที่ล่องลอยไปไกลตั้งแต่หมาป่าหนุ่มตอบรับคำพูดของคนในเผ่าก็กลับมามีสติ
ในใจของหญิงสาวตอนนี้รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแปลก ๆ อยู่ตลอดเวลา
“เจ้า… เมื่อกี้ทำไมเจ้าถึงพูดออกไปแบบนั้น? เจ้าไม่อยากลองออกไปดูข้างนอกเผ่าบ้างหรือ?”
“ก็ข้าเป็นคู่ของเจ้าไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายกลับ
“...”
ทำไมข้ามักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าตัวข้าเองเป็นคนที่ตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้กันนะ
ความจริงแล้วหลางซัวก็ไม่ได้อยากออกไปไหนเหมือนกัน
เขาไม่สนใจโลกภายนอกที่โสมมและน่าขยะแขยงนั่น
เขาคิดว่าในเมื่อตนลืมเรื่องในอดีตไปทั้งหมดแล้ว นี่ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่เทพอสูรมอบให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง!
ในเมื่อโอกาสมากองไว้ตรงหน้าแล้ว ทำไมเขาถึงจะต้องละทิ้งชีวิตที่สงบสุขที่นี่ไปล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
เพราะยังมี… คู่(?)ของเขาอยู่ด้วย
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ชีวิตของหลางซัวเหมือนจมดิ่งลงขุมนรกแล้วโดนดึงขึ้นสวรรค์เลย ถือว่าโชคดีมากที่ภูตอสูรมาเจอตัวก่อนขิต ว่าแต่หลางเมี่ย ลูกน้องผู้แสนภักดีของเขาล่ะหายไปไหน ไม่มีพูดถึงเลยเหรอ? ; - ;