ตอนที่ 596 การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของบลัดบิวเทียส
ตอนที่ 596 การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของบลัดบิวเทียส
แม้ว่าการประเมินในวันที่ 4 จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความวุ่นวายของงานประเมินครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะทุกคนต่างก็กำลังมารอดูผลลัพธ์จากการให้คะแนน
ผู้สมัครเป็นจำนวนมากได้ไปรวมตัวกันอยู่ตรงบริเวณหน้าประตู เพราะผลคะแนนจะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะสามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้หรือไม่ คนส่วนใหญ่จึงยังคงอยู่ที่นี่เพื่อรอดูการจัดอันดับหลังจากจบการประเมินอันวุ่นวายในวันที่ 4 โดยหวังว่าอันดับของตัวเองจะเพิ่มขึ้นสูงมากขึ้นกว่าเดิม
ปัจจุบันเซี่ยเฟยกับรูดี้กำลังเดินผ่านฝูงชนออกไปยังด้านนอก และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่ใช่ผู้สมัครที่แข็งแกร่งที่สุด แต่สิ่งที่เขาได้ทำเอาไว้ในก่อนหน้านี้ยังคงตราตรึงใจทุกคนไม่รู้ลืม โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องของปีศาจสายลมยังคงดังก้องกังวานภายในหูของพวกเขาอยู่เลย
“วันนี้ฉันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงนายเอง นายอยากกินอะไรบอกฉันมาได้เลย!” รูดี้กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ท้ายที่สุดในวันนี้เขาก็คือผู้ได้รับคะแนนอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน และในฐานะคุณชายเจ้าสำราญโอกาสแบบนี้ก็เป็นโอกาสที่สมควรสำหรับการเฉลิมฉลอง
ยิ่งไปกว่านั้นรูดี้ยังคิดว่าเซี่ยเฟยคือคนที่นำพาความโชคดีมาให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะพาสหายไปเฉลิมฉลองต้อนรับความสำเร็จ นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย ร้านอาหารที่เขาต้องการจะไปเฉลิมฉลองจึงสมควรเป็นร้านอาหารที่หรูหรามากที่สุด
“เอ่อ… ฉันขอเว้นหอเก้าหงส์อมตะเอาไว้สักที่หนึ่งก็แล้วกัน” รูดี้กล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
หอเก้าหงส์อมตะเป็นสถานที่ที่แม้แต่ทายาทเศรษฐีส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ ว่ากันว่าภายในหอเก้าหงส์อมตะมีหญิงสาวคอยให้บริการอยู่ 9 คน ซึ่งหญิงสาวแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความงดงามเปรียบดังสาวงามล่มเมือง
แม้ว่ารูดี้จะมีเงินให้ใช้อย่างเหลือเฟือแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าหอเก้าหงส์อมตะจะต้อนรับทายาทจากตระกูลเล็ก ๆ แบบเขาเข้าไปเป็นแขกหรือไม่ เพราะในดินแดนของผู้ใช้กฎหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างก็ไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนได้ด้วยเงิน รูดี้เลยกังวลเมื่อคิดว่าเซี่ยเฟยอาจจะขอให้พวกเขาไปเฉลิมฉลองยังสถานที่แห่งนั้น
“เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน ตอนนี้ฉันยังมีธุระอื่นที่ต้องไปจัดการ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับโบกมือลา
เมื่อเซี่ยเฟยเดินจากไปมันก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมาจากมุมกำแพง และผู้ที่กำลังแอบซุ่มดูชายหนุ่มอยู่นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากคุณหนูมู่ฟู่ผิงจากตระกูลวิทเทอร์
“โอเคฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” มู่ฟู่ผิงกล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เธอ
สิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งเล่าให้เธอฟังคือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในงานประเมิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เซี่ยเฟยลงมือสังหารปีศาจสายลม หรือจะเป็นเรื่องที่เนอร่ากระอักเลือดออกมาหลังจบงานประเมิน ซึ่งหลังจากที่หญิงสาวได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความหนักใจ
“เป็นเกียรติมากครับที่ผมได้มีโอกาสรับใช้คุณหนู” ชายหนุ่มกล่าวก่อนที่เขาจะจากไปหลังจากที่ได้รับรางวัล
แม้ว่ามู่ฟู่ผิงจะถูกเซี่ยเฟยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยในครั้งที่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้มู่ฟู่ผิงรู้สึกยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของชายหนุ่มยังไปกระตุ้นความสนใจของเธอมากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้เธอยังคงแอบสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้
“ฉันควรจะทำยังไงดี? แบบนี้เซี่ยเฟยไม่ผ่านการทดสอบของกลุ่มมังกรฟ้าแน่ ๆ” มู่ฟู่ผิงกล่าวขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“นั่นเป็นผลกรรมที่เขาสมควรจะต้องได้รับมันแล้ว เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าแหกกฎของงานชุมนุมมังกรฟ้าอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ บางทีเขาอาจจะถูกไล่ออกจากงานชุมนุมไปเลยก็ได้ เพราะมันไม่มีใครเคยทำอะไรหยาบคายแบบเขามาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว” มู่ฉิงปิงกล่าวอย่างสมน้ำหน้า
ยิ่งมู่ฟู่ผิงได้ยินคำพูดของน้องสาว มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม
“ความจริงแล้วคุณหนูก็สามารถไปขอให้นายท่านช่วยเซี่ยเฟยผ่านการทดสอบรอบแรกด้วยเส้นสายของตระกูลวิทเทอร์ได้นะครับ แต่หลังจากเหตุการณ์พบปะกันในครั้งสุดท้ายผมก็เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะยากไปสักหน่อย” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพยายามออกความคิดเห็น
“เขาคือคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะต้องพยายามช่วยเหลือเขาอย่างดีที่สุด” มู่ฟู่ผิงกัดฟันก่อนจะรีบเดินออกไปในทันที
—
หลังจากที่เซี่ยเฟยออกมาจากสำนักงานมังกรฟ้า เขาก็ไม่ได้มุ่งหน้าตรงกลับไปที่โรงแรมแต่ใช้ความเร็วของตัวเองในการเดินทางไปยังหุบเขารกร้างที่อยู่ด้านนอกเมือง
หลังจากมองไปรอบ ๆ และไม่พบใคร เซี่ยเฟยก็ใช้นิ้วแตะแหวนมิติเบา ๆ ก่อนที่เขาจะดึงดาบสีแดงเข้มออกมาถือไว้ในมือ
ปัจจุบันบลัดบิวเทียสได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปจากเดิม โดยมันมีลักษณะคล้ายดาบสั้นที่ใบดาบมีความคมจำนวน 3 ด้าน และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจากจ้องมองมันไปเป็นเวลานาน แต่อาวุธชิ้นนี้ก็ยังคงดูแตกต่างจากอาวุธใด ๆ ที่เขารู้จัก
“นั่นมันบลัดบิวเทียสงั้นเหรอ?” อันธถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ตอนที่ฉันเก็บมันเอาไว้ฉันสัมผัสได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง แต่ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เหตุการณ์นี้ทำให้อันธรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะท้ายที่สุดหัวหน้าคนเก่าของบลัดบิวเทียสอย่างเงาอำมหิตก็เคยบอกเอาไว้ว่าบลัดบิวเทียสคืออาวุธที่ดุร้ายมาก แล้วมันจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาหลังจากที่ได้ดื่มเลือดเข้าไปอย่างเพียงพอแล้วเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเงาอำมหิตจะฆ่าคนมาทั้งชีวิตเขาก็ยังไม่สามารถที่จะฟื้นคืนชีพให้กับบลัดบิวเทียสได้ แต่ในวันนี้จู่ ๆ บลัดบิวเทียสก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง อันธจึงแอบคิดว่าหรือบางทีอาวุธชิ้นนี้จะได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว?
การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของบลัดบิวเทียสเกิดจากการที่เซี่ยเฟยใช้กฎแห่งความโกลาหลพยายามเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของมัน จากที่สามารถดูดซับได้เพียงแค่เลือดของมนุษย์ให้มันกลายเป็นอาวุธที่สามารถดูดเลือดของชีวิตได้ทุกสรรพสิ่ง
ครั้งที่ 2 บลัดบิวเทียสได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่มันได้ถูกหลอมรวมผ่านทางค้อนรวมศูนย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ใบดาบจะยาวขึ้น, มีความแหลมคมมากขึ้นและดูดเลือดได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมเท่านั้น แต่พลังงานบางส่วนของเป้าหมายที่ถูกดูดเลือดไปยังถูกส่งเข้าไปภายในร่างของผู้ใช้อย่างเซี่ยเฟยอีกด้วย
ส่วนครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงของบลัดบิวเทียสในรอบที่ 3 อันธจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นอาวุธที่พึ่งวิวัฒนาการออกจากรังไหม และแสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันออกมาเหมือนกับหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ หรือมันก็อาจจะสามารถบอกได้ว่าในที่สุดความหวังอันไม่เป็นจริงของเงาอำมหิตก็ได้กลายเป็นความจริงภายในมือของเซี่ยเฟย
ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีใครเคยเห็นว่ารูปลักษณ์สุดท้ายของบลัดบิวเทียสมีหน้าตาเป็นยังไง แต่ด้วยแรงกดดันของอาวุธชิ้นนี้ที่เปลี่ยนไป อันธจึงคิดว่ามันมีโอกาสสูงมากที่บลัดบิวเทียสจะได้พัฒนาขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วอย่างแน่นอน
“ดาบของนายมันให้ความรู้สึกแปลก ๆ นะ?” โอโร่ที่อยู่ในแหวนพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซึ่งมันก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าเขาได้เก็บโลงศพของจอมมารเอาไว้ในแหวนมิติของตัวเองด้วย
“ทำไมคุณถึงบอกแบบนั้นล่ะ?”
“อาจจะเพราะว่าแรงอาฆาตของมันหายไปแล้วละมั้ง” โอโร่กล่าว
“ปกติเมื่อผมถืออาวุธชิ้นนี้ผมก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความอำมหิตของมันเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์คล้ายกับทารกแรกเกิด หรือว่าบลัดบิวเทียสจะพัฒนาถอยหลังงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก มันเคยมีคนพูดเอาไว้ว่าเมื่อฆาตกรเปลี่ยนเป็นเทพแห่งการสังหาร กลิ่นอายบนร่างกายของพวกเขาจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ซึ่งสภาวะนี้คือสภาวะของการกลมกลืนไปกับธรรมชาติ มันคือการเปลี่ยนแปลงการสังหารให้ดูไม่ต่างไปจากการหายใจเข้าออกตามปกติ”
“ถึงฉันจะไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ฉันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าดาบเล่มนี้คืออาวุธที่มีชีวิต สีแดงเข้มที่อยู่บนใบดาบเปรียบเสมือนกับชีวิตของมัน ถ้าหากว่านายไม่ฆ่าใครสีของใบดาบก็จะค่อย ๆ จางลง และเมื่อไหร่ก็ตามที่สีแดงหายไปจนหมดดาบเล่มนี้ก็จะกลายเป็นเพียงอาวุธที่ตายไปแล้ว”
“อาวุธที่มีชีวิต!!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากกว่านั้นคือการต่อชีวิตบลัดบิวเทียสคือการที่เขาจำเป็นจะต้องลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างต่อเนื่อง
นี่มันจะชั่วร้ายจนเกินไปแล้ว! มันคืออาวุธที่บังคับให้เซี่ยเฟยจะต้องเลือกว่าเขาจะลงมือสังหารเพื่อรักษาอาวุธชิ้นนี้ต่อไป หรือจะปล่อยให้มันค่อย ๆ ตายและกลายเป็นเพียงแค่เศษซากอาวุธชิ้นหนึ่ง
—
หากใครมีทักษะในการสังเกตที่ดีพวกเขาก็จะพบว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของตระกูลหยูในช่วงนี้มีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แล้วมันก็มีคนแปลกหน้าเป็นจำนวนมากได้เดินทางเข้ามาภายในเมืองหลักของตระกูลหยู
เซี่ยเฟยเดินทางกลับมาที่บ้านในตระกูลหยูผ่านทางประตูมิติ ก่อนที่เขาจะได้พบกับชายชราคนหนึ่งที่สวมหมวกไม้ไผ่ โดยชายชราคนนี้มีดวงตาอันแหลมคมเหมือนกับนกอินทรี และเพียงแค่ชายชราคนนี้ได้เหลือบสายตามองมามันก็ทำให้เขารู้สึกขนลุกโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เซี่ยเฟย! ทำไมจู่ ๆ นายถึงกลับมาล่ะ?” หยูฮัวเริ่มถามด้วยความประหลาดใจ
การปรากฏตัวของพ่อค้าคนนี้คล้ายกับว่าเขารู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน เพราะทันทีที่เซี่ยเฟยได้กลับมาหยูฮัวกับชายชราผู้ลึกลับก็มาปรากฏตัวตรงหน้าของเขาทันที
“พอดีมีเรื่องขัดข้องในระหว่างงานชุมนุม การประเมินเลยถูกเลื่อนไปเป็นเวลา 3 วัน ผมเลยอยากกลับมาพักผ่อนที่บ้านเพราะมันสะดวกใจกว่าตอนที่ผมได้พักอยู่ในโรงแรมของกลุ่มดาวม้าขาว” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
อย่างไรก็ตามหยูฮัวกลับขมวดคิ้วราวกับว่าเขาไม่พอใจที่เซี่ยเฟยกลับมา
“อีก 3 วันนายจะกลับไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหม่ใช่ไหม?”
“มันก็อาจจะล่ะมั้งครับ ถึงยังไงทางงานชุมนุมก็ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ”
ท้ายที่สุดความวุ่นวายของการประเมินในครั้งก่อนก็เกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง เซี่ยเฟยจึงรู้สึกว่ามันมีโอกาสมากกว่า 90% ที่เขาจะถูกตัดสิทธิ์ในการประเมินรอบต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นที่พักในกลุ่มดาวม้าขาวก็มีราคาสูงมาก และรูดี้ยังมักจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเขาเสมอ ชายหนุ่มจึงไม่มีเวลาฝึกฝนในระหว่างที่เขาอยู่ในกลุ่มดาวม้าขาวเลย
การอยู่เฉย ๆ ในกลุ่มดาวม้าขาวจึงทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกเบื่อ เขาจึงเลือกที่จะเดินทางกลับมายังตระกูลหยู เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็มีบ้านอยู่ที่นี่และมันยังมีผัดหมี่ที่แสนอร่อยของกระป๋องรอเขาอยู่ด้วย
“ว่าแต่ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เขาคือกัวเยว่ ราชากฎผู้ใช้กฎแห่งสสาร” หยูฮัวกล่าวตอบ
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงรู้สึกถึงแรงกดดันได้อย่างมหาศาลแบบนี้ ที่แท้เขาก็เป็นราชากฎเหมือนกับคุณนี่เอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะมีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างตระกูลต่าง ๆ ชายหนุ่มจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดอะไร
หลังจากกล่าวอำลาหยูฮัว เซี่ยเฟยก็เดินทางกลับไปยังบ้านของเขาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย
“ทำไมจู่ ๆ นายถึงกลับมาในเวลานี้กันแน่?” หยูฮัวพึมพำกับตัวเองขณะมองไปยังแผ่นหลังของเซี่ยเฟย
***************
พอสงครามจะมาพี่เฟยก็กลับมาเหมือนกันสินะ แต่หยูฮัวเหมือนไม่ได้อยากให้พี่เฟยกลับมาเลยว่าไหม? ลุงแกเป็นห่วงพี่เฟยจริงเหรอ? ก่อนหน้านี้เราระแวงแกมากเกินไปหรือเปล่านะ?