ตอนที่ 595 พ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี
ตอนที่ 595 พ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี
ณ ฐานที่มั่นของตระกูลหยู
หลังจากที่เมืองอีกาดำถูกเซี่ยเฟยทำลาย ผู้จัดการเมืองอย่างหยูเผิงจึงถูกโยกตำแหน่งไปเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันเมืองหลักของตระกูลหยู
ในเมืองหลักของตระกูลหยูมีประชากรอาศัยอยู่หลายแสนคน และมันก็เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มา กส่วนหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันของเมืองนี้ก็มีทหารอยู่ภายใต้คำสั่งถึง 500 คน ยิ่งไปกว่านั้นเงินเดือนของหยูเผิงยังเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า
หลังจากพระอาทิตย์ตกดินหัวหน้าฝ่ายป้องกันคนใหม่ของเมืองหลักตระกูลหยูก็เดินทางออกจากเมืองไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังสวนผลไม้ที่ห่างไปทางใต้ของเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งสวนแห่งนี้คือสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของตระกูล โดยมีต้นผลไม้ชนิดต่าง ๆ ปลูกอยู่ภายในสวนมากกว่า 600,000 ต้น
ปัจจุบันมันได้มีชายคนหนึ่งยืนรอเขาอยู่ใต้ต้นท้อเป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่คนคนนี้ไม่ได้เปิดเผยรูปร่างหน้าตาของเขาออกมา แต่เมื่อพิจารณาจากเสียงแล้วเขาก็คือคนคนเดียวกันกับที่เคยพูดคุยกับหยูเผิงที่ริมหนองน้ำของเมืองอีกาดำนั่นเอง
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือเปล่าถึงได้รีบติดต่อฉันมาแบบนี้? ฉันเพิ่งเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายป้องกันเมืองได้เพียงแค่ไม่นาน การเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้คงไม่สะดวกสำหรับฉันมากนัก” หยูเผิงกล่าวพร้อมกับมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
“สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว” ชายลึกลับกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าพวกเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว?” หยูเผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึง
“ใช่ พวกเขาไม่คิดจะรอแล้วจริง ๆ พวกเขาต้องการให้พวกเราให้คำตอบภายใน 1 เดือน และถ้าหากว่าพวกเราชักช้าพวกเราก็ต้องรับผลที่ตามมากันเอาเอง”
“พูดเฉย ๆ มันก็ง่ายน่ะสิ แต่ถ้าหากว่าพวกเราเร่งแผนการมันก็อาจจะทำให้แผนทั้งหมดที่พวกเราทำเอาไว้ในก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไปจนหมดเลย” หยูเผิงกล่าวพร้อมกับกัดฟันอย่างไม่พอใจ
“ถ้าหากเราทำให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองพวกเราก็คงจะได้รับบทลงโทษที่ร้ายแรง แต่ถ้าหากเราทำให้คนพวกนั้นรู้สึกขุ่นเคือง บทลงโทษที่พวกเราจะได้รับคงจะร้ายแรงมากยิ่งกว่า” ชายปริศนากล่าวพร้อมกับยักไหล่ด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ได้
หยูเผิงทำได้เพียงแต่พยักหน้าอย่างเข้าใจเท่านั้น
“เอาลาะวันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อถามความเห็น แต่ฉันมาเพื่อแจ้งให้ทราบว่าจะมีใครบางคนเดินทางเข้ามาในเร็ว ๆ นี้และคุณก็จะต้องเป็นคนพาพวกเขาเข้าไปภายในเมือง”
“ฉันเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเองนะ ฉันยังไม่ได้ซื้อใจลูกน้องได้มากขนาดนั้น” หยูเผิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“เรื่องนั้นมันก็เรื่องของคุณ ฉันแค่มีหน้าที่แจ้งให้คุณทราบและคนจากเกาะอสรพิษพิทักษ์ก็กำลังจะกลับมาแล้ว” ชายปริศนากล่าวอย่างเย็นชา
“อะไรนะ?! หยูกู่ติงสามารถเลื่อนระดับได้แล้วงั้นเหรอ? แบบนี้ตระกูลหยูของเราก็จะมีราชากฎเพิ่มขึ้นมาเป็นสามคน” หยูเผิงอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสช่างเป็นคนที่ใจร้ายจริง ๆ ถึงขนาดขังหลานชายของตัวเองเอาไว้ที่เกาะอสรพิษพิทักษ์เป็นเวลากว่า 20 ปี นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเขาจะส่งทหารเข้าไปในเกาะอสรพิษพิทักษ์เป็นจำนวนมากเพื่ออ้างเรื่องรักษาความปลอดภัย แต่ความจริงแล้วทหารพวกนั้นก็แค่มีหน้าที่ช่วยกักขังหลานของเขาเอาไว้ภายในเกาะเท่านั้น”
“ถ้าหากหยูกู่ติงได้ออกจากเกาะอสรพิษพิทักษ์แล้ว เรื่องการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็จะเป็นไปอย่างที่พวกเราคาดไว้ ฉันหวังว่าผู้อาวุโสคงจะได้ประกาศพิธีแต่งตั้งในเร็ววันนี้” หยูเผิงกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ในดินแดนของผู้ใช้กฎมนุษย์แต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีอายุขัยยืนยาวหลายร้อยปี ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำตระกูลทุกครั้งจึงมีความสำคัญมาก เพราะมันจะหมายความว่าผู้ที่ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งจะเป็นคนที่คอยนำตระกูลไปเป็นเวลาอีกหลายร้อยปี
นอกจากนี้ตระกูลหยูยังเคยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก่อน การเปลี่ยนแปลงผู้นำตระกูลหยูจึงมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลอื่น ๆ ด้วย เพราะถึงยังไงมันก็มักจะมีความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเกิดขึ้นอยู่เสมอ
“ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสก็ทำให้ดูบาร์ไม่พอใจ เพราะเขาต้องการที่จะเอาอกเอาใจเซี่ยเฟย แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ได้สูญเสียความไว้วางใจในตัวของเซี่ยเฟยไปด้วยเช่นเดียวกัน เลยทำให้ข้างกายของเขาเหลือเพียงแค่หยูจินที่เป็นผู้ซื่อสัตย์แค่คนเดียวเท่านั้น”
“แต่ถ้าหยูกู่ติงออกมาจากเกาะ มันก็จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะท้ายที่สุดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ถูกเก็บเอาไว้ให้กับหยูกู่ติงอยู่แล้ว” หยูเผิงวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ทำไมเราจะต้องรักษาขนบธรรมเนียมเดิมเอาไว้ด้วย ในช่วงหลายปีมานี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราเก็บของสิ่งนั้นไว้ แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่าทำไมมันยังไม่มีใครเข้ามาขโมยสิ่งนั้นออกไปจากตระกูลของเรา?” ชายปริศนากล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“มันก็เพราะว่าเราได้รับการปกป้องจากตระกูลมูนวอร์ดและแอจจิเทท” หยูเผิงกล่าว
“ถูกต้อง เหตุผลที่ตระกูลมูนวอร์ดและตระกูลแอจจิเททปกป้องตระกูลหยู นั่นก็เป็นเพราะพวกเขากลัวคนอื่นมายึดครองของสิ่งนั้นไป เรื่องนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่พัวพันด้วยผลประโยชน์จนยุ่งเหยิงไปหมด”
“หากตระกูลหยูต้องการที่จะพัฒนาไปไกลกว่านี้ ไม่เพียงแต่เราจะต้องกระโดดออกมาจากความยุ่งเหยิงนั่นเท่านั้น แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเราในปัจจุบันพวกเรายังไม่สมควรจะถือครองของสิ่งนั้นต่อไปด้วย ทุกคนต่างก็เข้าใจความเสี่ยงในเรื่องนี้เป็นอย่างดี มีแต่ผู้อาวุโสคนเดียวที่ไม่ยอมเข้าใจ เขายังคงแอบหวังว่าสักวันหนึ่งตระกูลหยูจะได้รับเกียรติยศกลับคืนมา”
“หากการคาดเดาของฉันไม่ผิด ผู้อาวุโสไม่เพียงแต่จะให้หยูกู่ติงสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเท่านั้น แต่เขายังจะให้หยูกู่ติงพยายามปราบของสิ่งนั้นด้วย” ชายปริศนากล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“เราจะปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากว่าของสิ่งนั้นยอมรับใครเป็นเจ้าของแล้ว เราจะไม่สามารถเอามันมาใช้แลกเปลี่ยนได้อีกต่อไป” หยูเผิงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถึงแม้ภายนอกผู้อาวุโสจะดูเป็นคนที่เห็นแก่ตระกูลแต่ความจริงแล้วเขาคือคนที่เห็นแก่ตัวมาก ฉันเชื่อว่าถึงแม้หยูกู่ติงจะทำให้ของสิ่งนั้นยอมรับเขาเป็นเจ้าของไม่ได้ แต่ผู้อาวุโสก็คงจะเก็บของสิ่งนั้นเอาไว้ให้กับลูกชายหรือหลานชายของหยูกู่ติงในอนาคต”
“ตราบใดก็ตามที่มันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งของสิ่งนั้นและตำแหน่งผู้นำตระกูลจะต้องตกอยู่ในสายเลือดของผู้อาวุโสเสมอ ดังนั้นพวกเราจึงต้องออกมาเปลี่ยนแปลงตระกูลหยู และการเปลี่ยนแปลงมันก็คงจะหลีกเลี่ยงเรื่องความสูญเสียไม่ได้” ชายปริศนากล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
หยูเผิงยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาดูค่อนข้างที่จะกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย
“อัศวินกฎขั้นสูงสุดฮันกู่, ชีคัง, เวสตัน, รีส, แลนด์, ราชากฎกัวเยว่, ราชากฎซานย์”
“จำชื่อทั้งเจ็ดคนนี้เอาไว้ให้ดี พวกเขาจะเดินทางมาที่เมืองในเวลาไม่เกินครึ่งเดือน สิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องทำคือจับตาดูพวกเขาไว้ อย่าปล่อยให้พวกเขาคลาดสายตาจากพวกเราไปเป็นอันขาด”
“อัศวินกฎขั้นสูงสุด 5 คนกับราชากฎอีกสองคนเลยงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าใครบางคนคงจะไม่อยากรออีกต่อไปแล้วสินะ” หยูเผิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ คนพวกนั้นคือบอดี้การ์ดที่ผู้อาวุโสจ้างมาคุ้มกันหยูกู่ติงต่างหาก” ชายปริศนากล่าวพร้อมกับส่ายหัว
คำอธิบายนี้ถึงกับทำให้หยูเผิงหน้าซีดด้วยความตกใจ
“ผู้อาวุโสถึงขั้นจ้างคนพวกนี้เลยงั้นเหรอ หรือว่า…”
“ผู้อาวุโสรู้แค่มันกำลังมีการเคลื่อนไหวแต่เขายังไม่รู้ว่าใครกำลังซุ่มดูเขาอยู่จากเงามืด ถึงยังไงคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวมากเกินไป แม้ว่าคนที่ผู้อาวุโสจ้างมาจะทรงพลังแต่ฝั่งของเราก็มีคนที่ทรงพลังกว่าพวกเขา”
หลังจากพูดคุยธุระกันจนเสร็จชายปริศนาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หยูเผิงจึงทำได้เพียงแต่ถอนหายใจก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังเมืองหลักที่เขาเดินจากมา
เมืองหลักของตระกูลหยูยามค่ำคืนยังคงเต็มไปด้วยเสียงร้องรำทำเพลงอย่างรื่นเริงอยู่ทุกที่ แต่คนพวกนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานสงครามกำลังคืบคลานเข้ามาในตระกูลของพวกเขาแล้ว
“มีอัศวินกฎขั้นสูงสุดอยู่ในเมือง 4 คนแล้วงั้นเหรอ? ดูเหมือนเรื่องทุกอย่างจะค่อย ๆ น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ” หยูเผิงบ่นพึมพำกับตัวเอง
—
ในระหว่างที่หยูเผิงกำลังเดินกลับเมืองหลักของตระกูลหยูอยู่นั้น มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เซี่ยเฟยได้ลงมือสังหารปีศาจสายลมพอดิบพอดี
“ช่างหัวกฎมันสิ! ในเมื่อกฎนั่นตั้งมาเพื่อเอาเปรียบพวกเรามากนัก ฉันก็จะเป็นทำลายกฎนั่นลงด้วยตัวฉันเอง” เซี่ยเฟยกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
ขนอุยยังคงกินคริสตัลต้นกำเนิดอย่างมีความสุข และคอยเลียคอชายหนุ่มอย่างประจบประแจงเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเซี่ยเฟยคิดได้เร็วกว่านี้มันก็คงจะไม่ต้องยอมลดศักดิ์ศรีและตกอยู่ภายใต้ความหดหู่อยู่เป็นเวลานานแบบนั้น
โชคดีที่เมื่อเซี่ยเฟยตัดสินใจสังหารปีศาจสายลม มันก็ทำให้ความหดหู่ภายในใจของขนอุยหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นภายในพริบตาที่มันได้รับคริสตัลต้นกำเนิดมาเจ้าตัวเล็กก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเคย
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้ยกภูเขาออกไปจากอก และเขาก็ได้ตระหนักว่าการแหกกฎเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเขาที่สุดแล้ว
หลังจากจัดการสัตว์อสูรคู่ประลองของตัวเอง ชายหนุ่มก็เดินกลับไปพร้อมกับเตะเศษกรงที่ขวางทางของเขาออกไป ซึ่งภาพเหตุการณ์นี้ตกอยู่ภายใต้สายตาของหญิงสาวหลาย ๆ คน และทันใดนั้นพวกเธอก็รู้สึกว่าหัวใจของพวกเธอกำลังเต้นโครมครามขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ท่าทางของเซี่ยเฟยในตอนนี้ดูเป็นวายร้ายในตำนานแบบที่สาว ๆ ชื่นชอบ และการที่เขากล้าแหกกฎโดยไม่สนใจคะแนนติดลบ มันกลับยิ่งดึงดูดสาว ๆ ได้มากกว่าเดิม
“ทำไมเธอถึงต้องไปมองมันแบบนั้น?! ไม่ว่าเซี่ยเฟยจะทำให้พวกเรารู้สึกสะใจแค่ไหนแต่ความจริงก็คือเขาจะต้องถูกหัก 1,000 คะแนน ไม่สิด้วยความจองหองที่เขาแสดงออกมาเขาควรจะต้องถูกหักคะแนน 10,000 คะแนนด้วยซ้ำ!” เพื่อนชายคนหนึ่งพยายามส่งเสียงเรียกสติเพื่อนสาวที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งในตอนนี้หญิงสาวกำลังมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอาย
“ถึงเขาจะแพ้แต่นายรู้ไหมว่าตอนนี้เขาเท่มากแค่ไหน หรือจะให้ฉันอธิบายว่านายพยายามหลบหนีสัตว์อสูรพวกนั้นยังไงในระหว่างที่นายถูกส่งเข้าไปภายในกรง?” เพื่อนสาวกล่าวอย่างเย็นชา
“ใช่เลย ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะแหกกฎการประเมินแต่เขาก็ยังคงพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี” ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นายพูดแบบนั้นได้ยังไง?” เพื่อนชายถาม
“ลองถามตัวเองดูสิว่ามีพวกนายคนไหนไม่อยากฆ่าพวกสัตว์อสูรในระหว่างการประเมินบ้าง” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวพร้อมกับมองไปยังคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเริ่มกล่าวต่อขึ้นมาว่า
“ถึงแม้ว่าพวกนายจะอยากลงมือมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำเหมือนเซี่ยเฟยเลยแม้แต่คนเดียว ฉันเชื่อเลยว่าถ้าหากวันหนึ่งพวกนายเจอศัตรูที่ทรงพลัง พวกนายก็คงจะยอมแพ้ให้กับศัตรูพวกนั้นก่อนที่จะทันได้พยายามทำอะไรดูก่อนด้วยซ้ำ”
“อย่างที่ฉันบอกไปว่าถึงแม้เซี่ยเฟยจะพ่ายแพ้แต่เขาก็พ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี แล้วพวกนายล่ะเอาศักดิ์ศรีของตัวเองไปทิ้งขว้างเอาไว้ตรงไหน?”
เหล่าบรรดาผู้สมัครที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็นิ่งเงียบไปโดยฉับพลัน เพราะในบรรดาพวกเขาทุกคนมีเพียงเซี่ยเฟยแค่คนเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง
“นายเป็นใคร? ทำไมถึงมากล้าด่าว่าพวกเราแบบนี้?”
“ใช่! พ่อแม่นายเป็นใคร? กล้าดียังไงมาสั่งสอนพวกเรา”
คำพูดของชายหนุ่มชุดขาวเหมือนกับตะปูที่ตอกลึกลงไปกลางใจของทุกคน และมันก็ทำให้ผู้สมัครเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำใจยอมรับความจริงอันเจ็บปวดได้
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มชุดขาวก็ไม่คิดที่จะตอบคำถาม ก่อนที่เขาจะเดินจากไปพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
“ทำไมเขาถึงสามารถเข้าออกห้องประเมินได้อย่างอิสระ?”
“เขาคือเฝิงซินเหนียน ลูกชายคนสุดท้องของเฝิงคูชาน ผู้ดูแลกลุ่มมังกรฟ้าคนปัจจุบัน”
เมื่อมีคนตอบคำถามว่าชายหนุ่มชุดขาวคือใคร ทั่วทั้งสถานที่จัดงานประเมินกลับถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นจะมีเบื้องหลังที่ทรงพลังขนาดนี้
อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงมีเสียง ๆ หนึ่งของเฝิงซินเหนียนที่ยังคงดังกึกก้องภายในใจของทุกคน นั่นก็คือประโยคที่เขาได้บอกออกมาว่า
“ถึงแม้เซี่ยเฟยจะพ่ายแพ้แต่เขาก็พ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี แล้วพวกนายล่ะเอาศักดิ์ศรีของตัวเองไปทิ้งขว้างเอาไว้ตรงไหน?”
***************
เท่สุด ๆ ไปเลยพี่เฟย!!