บทที่ 78 ทักษะการเพาะปลูกพืช
ในหุบเขา ที่นอกซากปรักหักพัง
ทุกคนต่างก็รอคอยซืออวี๋ให้ปรากฎตัวออกมา
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดร่างหนึ่งก็ปรากฎออกมา
เมื่อร่างที่คุ้นเคยนี้ปรากฎตัวขึ้นมา หลายคนก็กลั้นหายใจ
“มีคนเยอะมาก”
คนผู้นี้คือซืออวี๋อย่างไม่ต้องสงสัย
เขาออกมาหลังจากศึกษาลูกปัดหินที่สามารถควบคุมซากปรักหักพังได้
เขาตระหนักว่าลูกปัดหินนี้เป็นร่างกายที่แท้จริงของซากปรักหักพัง
มันเป็นเช่นเดียวกับอุปกรณ์มิติ ข้างในเป็นมิติซากปรักหักพังขนาดใหญ่
ซากปรักหักพังนี้ค่อนข้างพิเศษ มีที่ราบน้ำแข็งและภูเขาหิมะอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสถานการณ์จริงภายในกลับว่างเปล่าและแห้งแล้งมาก
โดยพื้นฐานแล้ว มันไม่ใช่มิติธาตุน้ำแข็ง ทว่าเป็นมิติธรรมดาที่ดัดแปลงอย่างเรียบง่าย
ทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นเมื่อพวกเขาเข้าไปควรจะถูกสร้างโดยเปลือกหอย ‘จิตวิญญาณเทียม’ ด้วยภาพมายา
อย่างไรก็ตาม กองคริสตัลพลังงานธาตุน้ำแข็งและหินไร้ตัวตนนั้นเป็นของจริง ท้ายที่สุด หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ เปลือกหอย ‘จิตวิญญาณเทียม’ คงไม่สามารถรองรับคนหลายร้อยคนที่ผ่านซากปรักหักพังได้อย่างแน่นอน
“ซืออวี๋ เจ้าผ่านด่านที่หกงั้นเหรอ?”
หลังจากที่ซืออวี๋ออกมา ประธานเฟิงมองไปที่ค่ายกลเทเลพอร์ตที่หายไปใต้เท้าของเขาและเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจ
“ข้าไม่ได้ทำให้ผิดหวัง” ซืออวี๋พยักหน้า
ทันทีที่เขากล่าวจบ ผู้บัญชาการเหอก็ตะโกนอย่างกะทันหัน “พวกเจ้าทุกคนไปทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำได้แล้ว”
เสียงตะโกนของเขาทำให้นักฝึกสัตว์อสูรฝึกหัดโดยรอบต่างก็ตกใจ
การที่ผู้คนไม่เกี่ยวข้องจำนวนมากเกินไปเข้าร่วมการสนทนานี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด
…
ผ่านมาสักพัก ซืออวี๋ได้ถูกเชิญชวนอย่างอบอุ่นไปที่ศูนย์ต่อสู้โดยประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอ มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่เหลืออยู่
ประธานเฟิงมองไปที่ซืออวี๋ด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยคาดหวังว่าซืออวี๋จะสุดยอดมาก!
ในขณะนี้ สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเขตอื่นจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน!
พวกเขาถอดรหัสซากปรักหักพังได้แล้ว ไม่ปล่อยโอกาสให้คนเหล่านั้น!
“ซืออวี๋ หลังจากที่เจ้าผ่านด่านที่หก เจ้าได้รับบางสิ่งที่คล้ายกับแกนกลางของซากปรักหักพังที่สามารถควบคุมซากปรักหักพังได้ใช่ไหม?”
จากการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ พวกเขาทั้งสองคนได้ข้อสรุปนี้ ประธานเฟิงเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง
“ทรัพยากรอื่นในซากปรักหักพังเป็นของเจ้าทั้งหมด แต่ร่างกายแท้จริงของซากปรักหักพังนี้อาจไม่ใช่ของเจ้า”
สิ่งที่มีค่าที่สุดในซากปรักหักพังยังคงเป็นซากปรักหักพัง ท้ายที่สุด ต้นกำเนิดของมันคือมิติฝึกสัตว์อสูรตำนาน
หลังจากการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะสัตว์อสูรหรือปลูกพืชจิตวิญญาณต่างก็ทำได้ด้วยมัน
มูลค่าของซากปรักหักพังไม่ได้ด้อยไปกว่าน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เลย อันที่จริง มันอาจสูงยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
“ข้ารู้แล้ว”
ซืออวี๋พยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญาก่อนที่จะเข้าไปในซากปรักหักพัง
หลังจากถอดรหัสซากปรักหักพัง สิ่งของที่ได้รับในซากปรักหักพังเป็นของนักสำรวจ ทว่าซากปรักหักพังนั้นไม่ได้เป็นของพวกเขา
แม้กระทั่งความเป็นเจ้าของซากปรักหักพังนี้ก็ไม่ได้ตกเป็นของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเขตผิงเฉิง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศนี้คล้ายคลุงกับประเทศที่ซืออวี๋อยู่ใน ‘โลก’
ซากปรักหักพังทั้งหมดที่ถูกพบในประเทศจะเป็นของประเทศ
เฉพาะซากปรักหักพังเหล่านั้นที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาจึงจะสามารถอ้างสิทธิ์ครอบครองได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นของประเทศ เนื่องจากซากปรักหักพังที่เขตผิงเฉิงพบและถูกถอดรหัสดดยนักฝึกสัตว์อสูรเขตผิงเฉิง เขตผิงเฉิงจึงยังคงมีสิทธิ์แรกในการพัฒนา
หลังจากที่ประเทศได้ส่งบุคลากรของตัวเองไปตรฝจสอบซากปรักหักพังและยืนยันข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แสดงออกมาโดยซากปรักหักพัง ตราบใดที่ซากปรักหักพังนี้ไม่มีค่าก็ไม่มีความจำเป็นต้องส่งมอบมัน อันที่จริง นี่ไม่ต่างอะไรกับการมอบให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเขตผิงเฉิงเลย
นี่เป็นเหตุผลที่ประธานเฟิงหวังว่าคนในเขตผิงเฉิงจะสามารถถอดรหัสซากปรักหักพังได้ ด้วยสิทธิ์ในการพัฒนาซากปรักหักพัง หากเขาใช้เรื่องนี้เพื่อปลูกพืชจิตวิญญาณ เขตผิงเฉิงน่าจะสามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรระดับสูงได้เป็นจำนวนมาก
ผลของการใช้มันเพื่อบ่มเพาะมือใหม่และสัตว์อสูรนั้นยอดเยี่ยมมาก เขตผิงเฉิงกำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหมายถึงสิ่งนี้เหรอ?” ซืออวี๋หยิบลูกปัดหินขึ้นมา
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นลูกปัดหินนี้ ประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอก็ตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว เราอาจต้องมอบสิ่งนี้ให้แก่สมาคมโบราณคดีเพื่อการค้นคว้าก่อน” ผู้บัญชาการเหอกล่าวออกมา
“เฒ่าเฟิง เจ้าจะแจ้งข้อมูลให้แก่เบื้องบนไหม?”
“บางทีคนพวกนี้อาจหาเบาะแสบางอย่างได้”
ผู้บัญชาการเหอมองไปที่ประธานเฟิงและกล่าวว่า “เร็วเข้า ให้กลุ่มนักโบราณคดีค้นหว่าเรื่องนี้ให้เสร็จ ยิ่งพวกเขาค้นคว้าไว้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
การได้รู้บางสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก ทว่าการไม่มีผลลัพธ์การค้นคว้าออกมาก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
“ตกลง ข้าจะแจ้งให้เบื้องบนส่งคนมาค้นคว้ามัน” ประธานเฟิงพยักหน้า
“อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้พวกเขาเลย…” ซืออวี๋หัวเราะและเก็บลูกปัดหิน
“ฝากสิ่งนี้ไว้ในมือของข้า เมื่อข้าค้นคว้ามันเสร็จ (หากข้าไม่ได้ใช้มัน) ข้าจะมอบมันให้แก่เขตผิงเฉิง”
พวกเขาสองคน :???
เมื่อซืออวี๋กล่าวจบ ประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอก็มองไปที่ซืออวี๋
หืม?
ซืออวี๋บ้าไปแล้วเหรอ? แม้แต่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเขตผิงเฉิงก็ไม่กล้าที่จะครอบครองซากปรักหักพังดังกล่าว พวกเขาต้องรอให้ประเทศมอบมันให้แก่พวกเขา
ซืออวี๋คิดว่าเขาสามารถเป็นเจ้าของซากปรักหักพังได้เพียงเพราะแค่ถอดรหัสซากปรักหักพังงั้นเหรอ?
“นี่…”
ประธานเฟิงกำลังจะอธิบายถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ในตอนที่ซืออวี๋หยิบบัตรประจำตัวของเขาออกมา
เขาถอนหายใจ ใบรับรองที่ไร้ประโยชน์นี้อาจมีประโยชน์แล้ว
เขาพลิกไปที่หน้าแรกและพวกเขาก็เห็นภาพอันหล่อเหลาของซืออวี๋และใบรับรองตัวตนของเขา
สมาชิกสำรองของสำนักความมั่นคงและการสืบสวนเชิงกลยุทธ์ซากปรักหักพัง ซืออวี๋
ที่ด่านล่างของใบรับรอง ผู้รับผิดชอบสำนักงานใหญ่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแห่งตงหวงได้ประทับตราของเขา
“ตามกฎแล้ว ข้ามีสิทธิ์ในการตรวจสอบซากปรักหักพังมากยิ่งกว่าสมาคมโบราณคดี”
“ตอนนี้ข้ายังมีภารกิจอื่น ดังนั้นข้าอาจจะใช้ลูกปัดซากปรักหักพังนี้ได้ ดังนั้นข้าจะเก็บสิ่งนี้ไว้ก่อน”
เพื่อที่จะเริ่มสำรวจซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็ง เขายังต้องการสิ่งนี้ ซืออวี๋วางแผนที่จะค้นคว้ามันสักระยะหนึ่ง
เขาได้ถามหลู่ชิงอี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะพิชิตซากปรักหักพัง พลังของสำนักงานที่สิบเอ็ดนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ซืออวี๋จินตนาการไว้
หลู่ชิงอี้กล่าวว่าหากซืออวี๋สามารถพิชิตซากปรักหักพังได้ เขาสามารถแสดงใบรับรองของสำนักที่สิบเอ็ดให้แก่ประธานเฟิงโดยตรง
ประธานเฟิงผงาดขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์ในช่วงคลื่นสัตว์อสูรเมื่อสิบปีก่อนและช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน เขาต่อสู้ร่วมกับผู้บัญชาการเหอและคนอื่นที่แนวหน้าของคลื่นสัตว์อสูรเพื่อคุ้มกันการอพยพของผู้คน แม้ว่าเขาจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่นิสัยของเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลย
ในอนาคต หากซืออวี๋ต้องการตรวจสอบซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็ง เขาก็สามารถมองหาประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอมาเป็นคนคุ้มกันของเขาได้ พวกเขาสองคนมีตัวตนที่ขาวสะอาด ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา พวกขาคิดหาวิธีแก้ไขคลื่นสัตว์อสูรจากต้นเหตุและฟื้นฟูความจริงทางประวัติศาสตร์ของเมืองทุ่งน้ำแข็ง
กล่าวโดยย่อแล้ว เมื่อถึงเวลา หลังจากแสดงใบรับรองสำนักที่สิบเอ็ด ซากปรักหักพังนี้จะเป็นของซืออวี๋ เขาสามารถใช้มันได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ ซืออวี๋สามารถทำอะไรกับมันก็ได้
หลังจากถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เสร็จ ซืออวี๋ก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้เข้าร่วมสำนักที่สิบเอ็ดดดยเปล่าประโยชน์ การมีตัวตนถูกต้องตามกฎหมายนั้นยอดเยี่ยมมาก
หากเขาสามารถครอบครองมิติซากปรักหักพังที่ระดับฝึกหัด ประโยชน์ก็ชัดเจนมาก มันสามารถช่วยให้เขาเติบโตอย่างรวดเร็ว หลู่ชิงอี้ยังมีความตั้งใจที่จะให้ซืออวี๋ใช้ซากปรักหักพังนี้อย่างเหมาะสมก่อน
“บัดซ*”
ในเวลานี้ ประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอยังคงตกตะลึงเล็กน้อย
พวกเขามองไปที่ใบรับรองที่ซืออวี๋วางไว้บนโต๊ะและรู้สึกมึนงง
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ไม่มากนักเกี่ยวกับสำนักความมั่นคงและการสืบสวนเชิงกลยุทธ์ซากปรักหักพัง แต่พวกเขาก็ตกตะลึงเมื่อพวกเขาเห็นตราประทับและชื่อรหัสของสำนักที่สิบเอ็ดด้านล่าง
ในตงหวง มีสิบสามองค์กรพิเศษที่เป็นตัวแทนของด้านต่างๆ พวกเขารวบรวมกลุ่มคนชั้นนำไว้และเรียกตัวเองว่าสำนักที่หนึ่งถึงสิบสามตามลำดับ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบสูงสุดในสำนักงานใหญ่สมาคมนักฝึกสัตว์อสุรและมีอำนาจมหาศาล
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักชื่อที่น่ารำคาญที่ยาวเหยียด แต่เมื่อพวกเขาเห็นสัญลักษณ์ของสำนักที่สิบเอ็ดและตราประทับ ประธานเฟิงและผู้บัญชาการเหอก็อ้าปากกว้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานเฟิงผู้ที่มองไปที่ซืออวี๋ด้วยความไม่เชื่อ
ดังนั้นซืออวี๋ก็มาจากสำนักที่สิบเอ็ดงั้นเหรอ?
เขานึกถึงการประเมินตัวเองของซืออวี๋ก่อนหน้านี้ ซืออวี๋บอกว่าตัวเองเป็น ‘แค่นักฝึกสัตว์อสูรที่สนใจในนักโบราณคดี’
บัดซ* นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึงงั้นเหรอ? เขาเป็นนักโบราณคดีเหรอ?
ในขณะนี้ ในที่สุดประธานเฟิงก็เข้าใจว่าทำไมซืออวี๋ถึงสามารถถอดรหัสซากปรักหักพังได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมซืออวี๋ที่ไม่เป็นที่รู้จักในก่อนหน้านี้จึงผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หากซืออวี๋ได้รับการคัดเลือกจากองค์กรดังกล่าว จุดเริ่มต้นของเขาย่อมเทียบกันไม่ได้กับนักฝึกสัตว์อสูรกลุ่มเดียวกันในเขตผิงเฉิงและแม้กระทั่งเมืองทุ่งน้ำแข็ง
“ข้ารู้แล้วว่าภูมิหลังของเจ้าไม่เรียบง่าย…” ประธานเฟิงมองไปที่ใบรับรองและกล่าวด้วยความงุนงง
“ซากปรักหักพังนี้อาจเกี่ยวข้องกับซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็งบนภูเขาหิมะ มันเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขคลื่นสัตว์อสูร ดังนั้นข้าจึงต้องค้นคว้ามันสักพัก…”
“แน่นอน” ประธานเฟิงพยักหน้าอย่างหนัก
หลังจากตกตะลึง ผู้บัญชาการเหอยังกล่าวอีกว่า “หากเราสามารถแก้ไขปัญหาคลื่นสัตว์อสูรได้คงจะดีมาก การกลายพันธุ์ที่ภูเขาหิมนั้นรุนแรงมาก หลินฮงเหนียนและคนอื่นๆ ได้สำรวจหลายครั้งแล้ว ทว่าสิ่งที่พวกเขาส่งกลับมานั้นไม่ใช่ข่าวดีเลย”
“เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าได้ตรวจสอบบางอย่างแล้ว?” เมื่อเห็นว่าซืออวี๋แน่ใจว่าซากปรักหักพังนี้เกี่ยวข้องกับคลื่นสัตว์อสูรอย่างแน่นอนและแม้กระทั่งซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็ง ประธานเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ซืออวี๋หยิบบัตรประจำตัวของเขากลับและพยักหน้า “ด่านที่หกของซากปรักหักพังมีมังกรน้ำแข็ง”
“อะไรนะ???”
เมื่อซืออวี๋กล่าวจบ พวกเขาทั้งสองคนก็เบิกตากว้างและมองไปที่ซืออวี๋ด้วยความไม่เชื่อ สงสัยว่าพวกเขาได้ยินอะไรผิดไปไหม
“มันเป็นเพียงมังกรน้ำแข็งมายาระดับปลุกตื่นขั้นสิบ มันไม่ได้น่ากลัวเช่นนั้น”
พวกเขาทั้งสองคนอ้าปากกว้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อเด็กบ้าผู้นี้
หากมันเป็นมังกรน้ำแข็ง ระดับเผ่าพันธุ์ของมันอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับราชันย์หรือแม้กระทั่งระดับผู้ปกครอง!
ด้วยระดับเผ่าพันธุ์ดังกล่าว แม้ว่าระดับการเติบโตของมันจะค่อนข้างต่ำและเป็นเพียงระดับปลุกตื่นขั้นสิบ การที่มันจะเอาชนะสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาตินั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
อสูรกินเหล็กของซืออวี๋สามารถเอาชนะมังกรในระดับเดียวกันได้งั้นเหรอ?
นั่นไม่ได้หมายความว่าอสูรกินเหล็กของซืออวี๋มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดเหรอ?
แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรู้เกี่ยวกับผลลัพธ์การต่อสู้ของซืออวี๋เมื่อเขาแข่งขันเพื่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์วิวัฒนาการ แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองซืออวี๋ราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด
การเอาชนะมังกรในระดับเดียวกัน… นี่คือสิ่งที่นักฝึกสัตว์อสูรธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ
นักฝึกมังกรหรือที่รู้จักกันในชื่อสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดของนักฝึกสัตว์อสูรได้บ่มเพาะมังกรเป็นส่วนใหญ่
ภาพลักษณ์ของมังกรคือการอยู่ยงคงกระพัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขานึกถึงตัวตนของซืออวี๋ในฐานะสำนักที่สิบเอ็ด พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับความแข็งแกร่งของซืออวี๋เท่านั้น
ท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่รู้ว่าองค์กรนี้ได้เลี้ยงดูซืออวี๋ม่ได้ยังไงกัน
“ถ้าเช่นนี้ ข้าจะฝากลูกปัดซากปรักหักพังนี้ไว้กับเจ้า อย่างไรก็ตาม เราอาจต้องปรับข้อมูลที่เราเผยแพร่สู่สาธารณะ” ประธานเฟิงกล่าวหลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง
แม้ว่าตัวตนของซืออวี๋จะทรงพลัง แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อ่อนแอเกินไป หากมีคนรู้ว่าสมบัติดังกล่าวอยู่ในมือของซืออวี๋นั้นคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าลูกปัดซากปรักหักพังอยู่ในมือของซืออวี๋
“ข้าจะฝากเรื่องนี้ไว้กับเจ้า ประธานเฟิง”
“ตกลง…” ประธานเฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ซืออวี๋ได้มอบปัญหาใหญ่ให้แก่เขาอย่างแท้จริง
ทว่าจากลักษณะแล้ว ซืออวี๋อาจมีศักยภาพมากยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้
การลงทุนครั้งก่อนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาค่อนข้างฉลาดอย่างแท้จริง
เมื่อซืออวี๋กลายเป็นบุคคลสำคัญเหนือเขตผิงเฉิง ซากปรักพักหังนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไป ซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็งที่ไม่เคยถูกถอดรหัสมาเป็นเวลาหลายพันปีในเมืองทุ่งน้ำแข็งก็อาจถูกซืออวี๋ถอดรหัสได้ในอนาคต!
ความจริงที่ซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังนั้นสำคัญที่สุดสำหรับเมืองทุ่งน้ำแข็ง
…
หลังจากนั้น ซืออวี๋ก็ถูกประธานเฟิงพากลับไปยังที่พักของเขา
ในระหว่างนี้ ซืออวี๋ยังได้แจ้งให้หลู่ชิงอี้รู้ถึงความก้าวหน้าของภารกิจด้วยเช่นกัน เขาไม่รู้ว่ามีรางวัลเสริมไหม
จากนั้นเขาก็เริ่มหยิบลูกปัดซากปรักหักพังขึ้นมาและสรุปผลประโยชน์ของเขา
ในขณะนี้ มีคริสตัลพลังงานธาตุน้ำแข็งระดับหนึ่งนับพันชิ้น และคริสตัลพลังงานธาตุน้ำแข็งระดับสองนับสามร้อยชิ้นในซากปรักหักพัง
นอกจากนี้ยังมีหินไร้ตัวตนอีก 45 ก้อน
หากทรัพยากรเหล่านี้ถูกแปลงเป็นเงิน คริสตัลพลังงานนั้นไม่มีค่ามากเท่าไหร่นัก ทว่าหากเป็นหินไร้ตัวตน อาจมีค่ามากกว่าร้อยล้านหยวน
นี่คือความหมายของการร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเขาได้รับยังคงเป็นทักษะภูติมายา หนวดมังกรน้ำแข็ง และซากปรักหักพัง
ทักษะภูติมายาได้ยืนยันเส้นทางการบ่มเพาะของหนอนไหมเขียว
บางทีหนวดมังกรอาจใช้เสริมพลังให้แก่หนอนไหมเขียวเพื่อเพิ่มศักยภาพของมันได้
หนวดมังกรเป็นไหมที่แข็งแกร่งและแหลมคมที่สุดในโลก มันแตกต่างจากไหมหนอนอย่างสิ้นเชิง
ซืออวี๋สงสัยว่ามีวิธีไหนที่จะดึงพลังแก่นแท้ในหนวดมังกรออกมาได้หรือไม่
ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่รองลงมาก็คือซากปรักหักพัง
นอกเหนือจากจะเป็นกุญแจสำคัญในการถอดรหัสซากปรักหักพังมังกรน้ำแข็งแล้ว มันก็เทียบเท่ากับอุปกรณ์มิติ ยิ่งกว่านั้น มันเป็นอุปกรณ์มิติที่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมในการเเติบโตข้างในจะหายไปตามกาลเวลาและลดลงอย่างมาก สำหรับสัตว์อสูรระดับต่ำและพืชจิตวิญญาณส่วนใหญ่ มันก็ยังคงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเขตผิงเฉิงอาจต้องการใช้ซากปรักหักพังเพื่อทำฟาร์ม ด้วยสภาพแวดล้อมของซากปรักหักพัง พืชจิตวิญญาณคุณภาพสูงจำนวนมากสามารถปลูกได้อย่างรวดเร็ว”
“ด้วยทรัพยากรที่เพียงพอ เราสามารถพัฒนาเศรษฐกิจและเขตฝึกสัตว์อสูรของเมืองได้”
“ความคิดนี้ไม่เลวเลยอย่างแท้จริง หลังจากค้นคว้ามัน ข้าอาจจะใช้ซากปรักหักพังนี้เพื่อทำฟาร์ม…”
“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะนำมิติฟาร์มไปกับข้าและปล่อยให้สัตว์อสูรพืชเป็นคนดูแลสวนข้างในเพื่อดูแลต้นไม้จิตวิญญาณ ในอนาคต ข้าจะสามารถหาทรัพยากร อาหาร และอาหารเสริมได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวเอง…”
“ดูเหมือนว่าข้ายังต้องทำสัญญากับสัตว์อสูรประเภทพืชเพื่อควบคุมพืช…”
วิธีการทำฟาร์มนั้นดีมาก!
ยิ่งกว่านั้น ที่ดินก็พร้อมแล้ว
ด้วยหินไร้ตัวตน มิติฝึกสัตว์อสูรของเขาควรจะสามารถไปถึงระดับสองหรือแม้กระทั่งระดับวามได้อย่างรวดเร็ว
การทำสัญญากับสัตว์อสูรตัวที่สองและสามอาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เขาอาจไปถึงจุดนั้นในหนึ่งปี
หรือบางที เขาอาจจำลองวิธีการบ่มเพาะหนอนไหมเขียวในปัจจุบัน?
เขาจะไม่ทำสัญญากับสัตว์อสูรตัวใหม่ในขณะนี้ เขาจะดูแลมันและสื่อสารกับมันทางกระแสจิต เมื่อระดับของเขาและความสัมพันธุ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเหมาะสม การทำสัญญาในตอนนั้นก็ไม่สายเกินไป
เรื่องนี้ทำให้ตัวเขาเองและสัตว์อสูรตัวใหม่ของเขาอยู่ในช่วงทดลอง
ซืออวี๋รีบส่งข้อความหาหลู่ชิงอี้ในทันที
“เจ้าจำสัตว์อสูรที่เจ้ากล่าวถึงครั้งก่อนได้ไหม?”
“มีลูกสัตว์อสูรประเภทพืชไหนที่มีระดับเผ่าพันธุ์สูง ระดับการเติบโตต่ำ นิสัยอ่อนโยนและเชื่อฟัง และสามารถทำฟาร์มในฐานะชาวสวนมืออาชีพได้ไหม?”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน