บทที่ 75: ข้าเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยและจะหาทางแก้แค้นทุกเมื่อ!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 75: ข้าเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยและจะหาทางแก้แค้นทุกเมื่อ!
ปัญหาระดับชาติทั้งหมดล้วนมีรากฐานมาจากปัญหาอาหาร! เพราะทั้งอาณาจักรประกอบด้วยผู้คน และผู้คนจำเป็นต้องกิน หากปัญหาปากท้องถูกแก้ไข ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล ถ้ากระทั่งท้องยังไม่สามารถเติมเต็มได้ ปัญหาอื่นคงไม่ต้องพูดถึง เช่นนั้นแล้วการแก้ไขปัญหาปากท้องจึงสำคัญยิ่ง!
หากหลินเป่ยฟานสามารถปรับปรุงผลผลิตธัญพืชได้จริง เช่นนั้น…
จักรพรรดินีถามด้วยความกระวนกระวายใจว่า “ท่านหลิน ท่านแน่ใจหรือไม่? ข้าวพันทางนี้สามารถเพิ่มผลผลิตได้งั้นเหรอ?”
“ข้ามิกล้าหลอกลวงฝ่าบาทหรอกขอรับ!” หลินเป่ยฟานปรบมือ ทันใดนั้นก็มีคนส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้เขาทันที ซึ่งเขาก็ส่งต่อให้จักรพรรดินี
ขณะที่จักรพรรดินีอ่าน หลินเป่ยฟานก็อธิบายว่า “นี่คือข้อมูลที่ข้าได้ให้บัณฑิตของข้ารวบรวมจากคนทั่วไป เยี่ยมเรือนของเกษตรกรรมมากมาย ศึกษาจากท้องทุ่งทั่วดินแดน!”
“ตามข้อมูล ข้าวพันทางจะสูงขึ้นและแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานภัยพิบัติทางธรรมชาติได้มากขึ้น และให้จำนวนพืชผลมากยิ่งขึ้น!”
“ยิ่งกว่านั้น ข้าวพันทางหนึ่งเมล็ดสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าสามส่วนเมื่อเทียบกับข้าวปกติ!”
“ฝ่าบาทและท่านขุนนางทั้งหลาย ลองคิดดูสิ…”
หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “หากเราวิจัยและส่งเสริมข้าวพันทางไปทั่วอาณาจักร ผลผลิตข้าวของอาณาจักรเราจะเพิ่มขึ้นกว่าสามส่วน! และนี่…จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารของคน 50-60 ล้านคนได้!”
ลมหายใจของทุกคนเร่งถี่ขึ้น
ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นกว่าสามส่วน!
แก้ปัญหาอาหารของคน 50-60 ล้านคน!
มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก!
ตามปกติแล้วอาณาจักรแต่ละแห่งจะมีประชากรเพียงสิบล้านเท่านั้น!
ทางด้านของอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่แม้จะมีทรัพยากรมากมายและสามารถรองรับผู้คนได้ถึงสองร้อยล้านคน แต่เก้าในสิบของประชากรต่างต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร
ดังนั้นสถานการณ์ในอาณาจักรตอนนี้จึงไม่มั่นคงอย่างมาก ราษฎรก็แทบจะไม่รอดกันอยู่แล้ว!
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พวกเขาไม่สามารถอิ่มท้องได้
หากสามารถส่งเสริมข้าวพันทางได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาอาหารของผู้คน 50-60 ล้านคนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรวบรวมอำนาจการปกครองได้อีกด้วย!
เพราะถ้าคนมีพอกินกันแล้ว ผู้ใดจะต้องการปฏิวัติกัน?
ถ้ากล้าต่อต้าน ข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าได้กิน!
อาหารจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดและเป็นหลักประกันสันติภาพในระยะยาวของอาณาจักร!
“ท่านหลิน ข้าวพันทางนี้สามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึงสามในสิบจริงหรือ?” จักรพรรดินีเอ่ยถามอีกครั้ง
หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างบางเบา “นั่นเป็นเพียงการประมาณการของข้า มันอาจจะมากกว่านี้ก็ได้เช่นกัน! หากเราเลือกพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดสำหรับการผสมข้ามสายพันธุ์ได้ การจะเพิ่มผลผลิตห้าในสิบหรือกระทั่งแปดในสิบก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!”
ห้าในสิบหรือแปดในสิบ!
ทุกคนสดับฟัง ดวงตาของพวกเขาจ้องไป ลมหายใจของพวกเขาถี่ขึ้น
“ถ้าเราวิจัยและส่งเสริมข้าวพันทางนี้ได้จริง ราษฎรจะมีอาหารเพียงพอ และบ้านเมืองจะมั่นคงยิ่งขึ้น มีความสงบสุขทั่วอาณาจักรอย่างแน่นอน! การปกครองของฝ่าบาทจะไม่สั่นคลอน และอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ก็จะมีความมั่นคงตลอดกาล!”
จักรพรรดินีหอบหายใจเร็วขึ้น “ท่านหลิน ท่านต้องค้นคว้าศึกษาเรื่องนี้ให้ดี! บอกข้ามาว่าท่านต้องการอะไร แล้วข้าจะจัดหาสิ่งที่ท่านต้องการมาให้!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา
จากนั้นหลินเป่ยฟานก็ได้นำจักรพรรดินีและขุนนางคนอื่นๆ ไปดูสิ่งประดิษฐ์และงานทดลองมากมาย
แม้ว่าพวกมันจะไม่น่าทึ่งเท่ากับสิ่งประดิษฐ์สามชิ้นแรก แต่ก็ยังมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
จักรพรรดินีและเหล่าขุนนางต่างรู้สึกตื่นตาประทับใจมาก มันราวกับว่าพวกสิ่งของที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่มาจากอนาคตอันไกลโพ้น
“ฝ่าบาท นี่เป็นวิถีแปลกประหลาดและหลักแหลมที่ข้าพระองค์ได้ให้เหล่าบัณฑิตได้ค้นคว้า ท่านคิดว่าเช่นไรหรือ?” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
จักรพรรดินีหัวเราะตอบ “ถ้านี่คือวิถีแปลกประหลาดและหลักแหลม เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรที่ประหลาดและปราดเปรื่องเท่านี้แล้ว! เจ้าควรนำคนมาค้นคว้าเพิ่มมากกว่านี้! ตราบใดที่เจ้าสามารถทำได้สำเร็จ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อราษฎรและสร้างบุญญาธิการนับไม่ถ้วน!”
“แต่ความตั้งใจทั้งหมดของข้าพเจ้ามีไว้เพื่อฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่และเพื่อราษฎร! ทว่าถึงข้าจะภักดีต่อท่านมากเพียงใด ผู้อื่นก็ไม่เข้าใจข้า จนถึงขั้นกล่าวหาและใส่ร้ายข้าอีก ข้าทุกข์ทรมานยิ่ง!”
หลินเป่ยฟานกุมหน้าอกของเขาและบีบน้ำตาออกมาสองหยดด้วยกำลังภายในของเขา
เมื่อแสดงมาถึงจุดนี้ หลินเป่ยฟานก็รู้สึกได้เลยว่าเขาควรได้รับรางวัลตุ๊กตาทองแล้ว!
เหล่าขุนนางถึงกับเบะปากเมื่อได้ยินคำกล่าวของเขา นี่เจ้ายังกล้าแสดงหน้าด้านๆ เช่นนี้อีกหรือ?
จักรพรรดินีกล่าวออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ท่านเสนาบดีหลิน ท่านได้รับความอยุติธรรมมากเลยทีเดียว!”
จากนั้นนางก็มองไปที่เหล่าขุนนางที่มีอำนาจ กดดันพวกเขาด้วยดวงตาคล้ายดั่งฟีนิกซ์ของนาง “ข้าจะให้ท่านหลินค้นคว้าสิ่งนี้ของเขาต่อไป มีผู้ใดจะคัดค้านไหม? แต่ถึงพวกเจ้าจะคัดค้าน ข้าก็ไม่คิดจะฟังอยู่แล้ว!”
เหล่าขุนนางได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พูดไปก็ไม่มีประโยชน์หากองค์จักรพรรดินีไม่คิดรับฟัง
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีเอนเอียงไปทางหลินเป่ยฟานมาก!
ถ้าพวกเขาเป็นจักรพรรดิ พวกเขาก็คงทำแบบเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันน่าทึ่งเกินไป ตราบใดที่สามารถค้นคว้าสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของอาณาจักรก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว! นี่คือสมบัติของชาติ ต้องห้ามแตะต้องโดยเด็ดขาด
“เราไม่มีข้อโต้แย้งขอรับ!” เหล่าขุนนางทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
จักรพรรดินีกล่าวสนับสนุนหลินเป่ยฟานต่อ “ท่านหลิน จงค้นคว้าสิ่งเหล่านี้ให้ดี ตราบใดที่ท่านทำสำเร็จหนึ่งอย่าง ข้าก็จะมอบรับรางวัลให้มากมาย!”
“ขอรับฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานโค้งคำนับ
ในเมื่อข้อสงสัยได้เลือนหายไปแล้ว ก็ถึงเวลาแก้แค้น!
หลินเป่ยฟานเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยที่ไม่ยอมถูกเอาเปรียบเด็ดขาด หากเขามีความแค้น เขาจะแก้แค้นในทันที!
เช่นนั้นคงต้องเชือดไก่สักสองตัวเรียกขวัญกำลังใจเสียก่อน!
เมื่อได้เช่นนี้ หลินเป่ยฟานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“ท่านถอนหายใจทำไมหรือท่านหลิน?” จักรพรรดินีกล่าวถาม
“ฝ่าบาท นับตั้งแต่รับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันจักรพรรดิ ข้าพระองค์ก็ได้ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จอย่างที่พระองค์หวัง เป็นผลให้สถาบันจักรพรรดิได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ เหล่าบัณฑิตปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับ จนผลการเรียนดีขึ้น ทุกสิ่งต่างประจักษ์อยู่เบื้องหน้า!”
“แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านขุนนางทุกคนถึงเข้ามากล่าวหาข้า! ความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด ข้าเข้าใจได้! แต่ในฐานะสหายร่วมงานของข้า อาจารย์ใหญ่หลิวและผู้อำนวยการซุน พวกเขาต่างเห็นกับตา แต่พวกเขาก็ยังกล่าวหาข้าต่อไป! ดังนั้นข้าจึงสับสนอย่างมาก ทั้งเป็นทุกข์และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย!”
ใบหน้าของจักรพรรดินีพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “หลิวฮัวเย่และซุนเทียนเทา สิ่งที่เขากล่าวเป็นความจริงหรือเปล่า?”
อาจารย์ใหญ่หลิวและผู้อำนวยการซุนต่างเริ่มสับสนและพูดตะกุกตะกัก "คือว่า..."
“ฝ่าบาท ท่านสามารถถามคณาจารย์และบัณฑิตคนอื่นๆ พวกเขาสามารถเป็นพยานให้ข้าได้!” หลินเป่ยฟานกล่าว
ในยามนี้เอง มีบุคคลที่คุ้นเคยผู้หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดินีและเหล่าขุนนาง
“คำนับฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”
คนผู้นี้คือเหยาเจิ้งเจ้าหน้าที่ผู้สอนที่สถาบันจักรพรรดิ เขามาคำนับจักรพรรดินีเพราะได้ยินมาว่านางอยู่ที่นี่ เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขายังอยู่ในเมืองหลวง และพร้อมถูกเรียกกลับไปทำหน้าีท่เสมอ
เมื่อจักรพรรดินีเห็นเหยาเจิ้ง นางก็ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านเหยา ไม่ได้พบเจอกันนานเลย! ข้าได้ยินมาว่าท่านในตอนนี้สอนที่สถาบันจักรพรรดิ ข้ารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง! ข้าหวังว่าท่านจะสามารถบ่มเพาะความสามารถให้มากขึ้นและกลับมารับใช้อาณาจักรได้!”
เหยาเจิ้งยินดีมากจึงกล่าวไปว่า “ขอรับฝ่าบาท! ข้าจะไม่ทำให้ความคาดหวังของท่านผิดเพี้ยนไป!”
“เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดี! เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ข้าจึงมีอะไรจะถามเจ้า!”
“ฝ่าบาทโปรดกล่าวถามมาได้เลย ข้าพร้อมจะบอกท่านทุกอย่าง!”
“ข้าขอถามท่านว่า ท่านหลินเป็นยังไงบ้างตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งที่สถาบันจักรพรรดิ?”
เหยาเจิ้งชำเลืองมองหลินเป่ยฟานแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านหลินมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องวินัย ศีลธรรมและผลการเรียนของบัณฑิตในสถาบันจักรพรรดิ ในแง่ของวินัย ท่านหลินบังคับใช้กฎระเบียบของสถาบันจักรพรรดิอย่างเคร่งครัด การมาสาย ขาดเรียนและโดดเรียนจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศที่นี่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก!”
หลินเป่ยฟานแอบยิ้ม เพราะการกระทำของเขา สามารถลดบัณฑิตที่มาสายและไม่เข้าเรียนได้อย่างเห็นผล
“ส่วนด้านความประพฤติทางศีลธรรม ท่านหลินได้เสนอกฎหลักขึ้นมา ผู้ใดไม่กราบอาจารย์ พูดจาหยาบคายหรือทะเลาะวิวาทย่อมต้องถูกลงโทษ! นอกจากนี้ เขายังเชิญข้าเป็นอาจารย์สอนศีลธรรมด้วย พฤติกรรมทางศีลธรรมของเหล่าบัณฑิตจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!”
หลินเป่ยฟานยิ้มเยาะออกมา เขาได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อถอนขนแกะจากเด็กนิสัยเสียเหล่านี้ ใครก็ตามที่ไม่กล้ากราบครู พูดจาหยาบคายหรือทะเลาะวิวาทจะต้องถูกลงโทษ ด้วยกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมน่าทึ่งเป็นธรรมดา!
“แล้วผลการเรียนของบัณฑิตเล่า?” จักรพรรดินีเอ่ยถามอีกครั้ง
“ฝ่าบาท เมื่อท่านหลินเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ ในการสอบสองเดือนที่ผ่านมา ผลการเรียนโดยเฉลี่ยของเหล่าบัณฑิตก็ดีขึ้นอย่างมาก!” เหยาเจิ้งได้ตอบกลับไป
หลินเป่ยฟานยิ้มกว้างเลยทีเดียว เพราะจับมัดเหล่าบัณฑิตไว้ในห้อง ถึงแม้พวกเขาไม่ต้องการจะเรียนรู้ อย่างน้อยก็คงต้องมีอะไรเข้าหัวบ้าง ส่วนหนึ่งก็คงกลัว ถ้าพวกเขาทำผลงานได้ไม่ดี พวกเขาอาจถูกทุบตีหรือถูกปรับเงินอีก ทำให้คะแนนของพวกเขารุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้ มีหรือที่คะแนนเฉลี่ยของเหล่าบัณฑิตในสถาบันจักรพรรดิจะไม่เพิ่มขึ้น?
เพียงควบคุมบัณฑิตเหล่านี้ได้ ปัญหาต่างๆ มากมายก็จะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย! ในยามนั้นเอง พอยิ่งจักรพรรดินีฟัง ใบหน้าของนางก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น
ส่วนใบหน้าของท่านหลิวและซุนซีดเผือดกันไปแล้ว
ท้ายที่สุด จักรพรรดินีก็เอ่ยถามออกมาว่า “ท่านเหยา สิ่งที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยหรือ?”
“ทุกคำที่ข้ากล่าวออกไปล้วนเป็นความจริง! แม้ว่าข้าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากท่านหลินเป่ยฟาน แต่ข้าก็จะไม่พูดเท็จเพราะอคติ! ข้าเป็นคนชอบธรรมและหากคำพูดของข้ามีความเท็จ ฝ่าบาทสามารถลงโทษข้ากระหม่อมได้เลยขอรับ!” ใบหน้าของเหยาเจิ้งจริงจังเป็นอย่างมาก
จักรพรรดินีหันศีรษะและชี้ไปทางอาจารย์ใหญ่หลิวและผู้อำนวยการซุน พร้อมกับพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า หลิวฮัวเย่! และเจ้าซุนเทียนเทา! ในฐานะขุนนางของสถาบันจักรพรรดิ เจ้ากล่าวหาผู้คนที่ภักดีและซื่อสัตย์ ทั้งยังทำร้ายสหายร่วมงานของเจ้า! ด้วยพฤติกรรมที่ไร้ยางอายเช่นนี้ มีสิทธิ์อะไรมาเป็นผู้นำของเหล่าบัณฑิตอีก? ไม่คำนึงถึงกฎข้อบังคับ เช่นนั้นข้าควรลงโทษพวกเจ้าด้วยอะไรดี?”
“ฝ่าบาท ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย! เราไม่รู้เลยว่า…” ทั้งสองคุกเข่าลงด้วยความกลัวและแอบส่งสัญญาณไปยังขุนนางที่เหลือ โดยหวังว่าพวกเขาจะช่วยพวกเขาบ้าง
ที่พวกเขาทำเช่นนี้ ก็เพราะถูกเหล่าขุนนางส่วนหนึ่งยุยง ทว่ากลับไม่มีขุนนางคนใดช่วยเหลือเลย พวกเขาเพียงมองดูอย่างนิ่งเฉยและเอามือล้วงกระเป๋า
ในยามนั้นเอง จักรพรรดินีก็ตะโกนเสียงดัง “ถอดถอนตำแหน่งของขุนนางซุนเทียนเทาออกและลดตำแหน่งเขาให้เป็นคนธรรมดาสามัญ จะไม่มีการจ้างงานเขาอีกต่อไป!”
“ฝ่าบาท ได้โปรดยกโทษให้ข้ากระหม่อมด้วย ข้ารู้ถึงความผิดของข้าแล้ว…” ซุนเทียนเทายังคงก้มหัวต่อไป
"นำตัวมันไป ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว!" จักรพรรดินีโบกมือ
ซุนเทียนเทาก็ถูกพาตัวไปเช่นนี้ “ส่วนเจ้า หลิวฮัวเย่” จักรพรรดินีตะโกนเสียงดัง “ในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ของสถาบันจักรพรรดิ ไม่เพียงแต่ความประพฤติของเจ้าควรถูกตำหนิเท่านั้น แต่เจ้ายังทำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าด้วย! สายตาของเจ้าช่างแย่นัก! ทว่าจากความพยายามอย่างหนักของเจ้าในการจัดหาบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมากให้กับราชสำนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตำแหน่งของเจ้าจะถูกคงไว้ชั่วคราว แต่เงินเดือนของเจ้าจะถูกระงับไว้เป็นเวลาสองปี! ข้าหวังว่าเจ้าจะจำบทเรียนนี้ไว้ได้ และถ้าเจ้าทำผิดพลาดแบบเดิมอีกครั้ง ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่กรุณา!” หลิวฮัวเย่ก้มศีรษะและถอนหายใจด้วยความโล่งอก