บทที่ 212: เปิดหูเปิดตาในโหลวเฉิง อิจฉาตาร้อน!
ทีมนักรบเชิ่งหลงนั้นฟรีสไตล์แตกต่างจากทหารเชิ่งหลงโดยสิ้นเชิง อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขามีการปรับแต่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเพื่อเล่นกับจุดแข็งของนักรบได้อย่างเต็มเหนี่ยว
การลงทุนโดยไม่สนความเปลืองของถังเจิ้นทำให้นักรบเฮยเหยี่ยนรู้สึกอิจฉายิ่งขึ้นจนตาเริ่มอุ่น ๆ ขึ้นมาแล้ว
ในโหลวเฉิงทุก ๆ แห่งทีมนักรบคือหน่วยงานที่ต้องใช้ทรัพยากรสูงมาก ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่แล้วจะหมดไปกับทีมนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการรับประกันว่านักรบแต่ละคนจะได้ทรัพยากรที่เพียงพอต่อความต้องการ
ในเรื่องนี้เมืองเฮยเหยี่ยนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เนื่องจากการขาดแคลนทรัพยากรในการฝึกฝนทำให้เมืองเฮยเหยี่ยนต้องใช้กลไกแบบการแข่งขันอยู่เสมอ ถึงขนาดส่งเสริมให้นักรบด้วยกันเองเอาชนะคู่แข่งทั้งหมดไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรในการฝึกฝนที่มีจำกัดนั้นแต่เพียงผู้เดียว
นอกจากนี้การตกแต่งภายในของเมืองเฮยเหยี่ยนนั้นทรุดโทรมลงอย่างมาก พวกเบื้องที่มีอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรก็แทบจะผูกขาดทรัพยากรการฝึกฝนไว้เพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจของตนเอง สิ่งนี้ยังนำไปสู่ความขาดแคลนทรัพยากรการฝึกฝนของนักรบเฮยเหยี่ยนคนอื่น
อาวุธที่เสียหายไม่สามารถเปลี่ยนหรือบำรุงรักษาได้ ชุดเกราะและอุปกรณ์ป้องกันที่เสียหายก็ต้องซ่อมหยาบ ๆ เอาเอง ส่วนอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ขาดแล้วก็ขาดอีก ตอนนี้พอมายืนเทียบกับเฉียนหลงและทีมนักรบของเขาแล้วเอาแค่ที่เห็นภายนอก ที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้ยังล้าหลังกว่าเมืองเชิ่งหลงที่พึ่งสร้างได้ไม่นานไกลโข!
ผู้คนพึ่งพาเสื้อผ้า ม้าพึ่งพาอาน ณ จุดนี้นักรบเฮยเหยี่ยนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!
เมื่อเห็นความลำบากใจในสายตาของเหล่าพี่น้องนักรบเฮยเหยี่ยนก็มีความรู้สึกผสมปนเปกันในหัวใจ นอกจากความอิจฉาอย่างนักรบเชิ่งหลงอย่างสุดขั้วหัวใจแล้วยังมีความไม่พอใจลึก ๆ ต่อพวกลูกหลานของผู้มีอำนาจของเมืองเฮยเหยี่ยนปะทุอยู่อีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่านักรบเฮยเหยี่ยนที่ถูกส่งมาเป็นทูตในครั้งนี้ต่างก็ไม่ชอบพวกเบื้องบนของเมืองเฮยเหยี่ยน และพวกเบื้องบนดังกล่าวเองก็รู้เรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายออกภารกิจส่งคนเหล่านี้แหวกฝ่ากองทัพซากศพเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเมืองเชิ่งหลง
ส่วนลูก ๆ หลาน ๆ ของตัวเองแม้จะเป็นนักรบเหมือนกันแต่ก็ให้ทังหมดอยู่ในเมืองอย่าปลอดภัยรอการมาถึงของกำลังเสริม!
นักรบเหล่านี้ต่างก็เต็มไปด้วยข้อตำหนิในวิธีบริหารจัดการของพวกเบื้องบนแต่กระนั้นก็ไม่กล้าลุกขึ้นต่อต้าน
สาเหตุเป็นเพราะแต่ละคนไม่ได้ตัวคนเดียว สมาชิกในครอบครัวของพวกตนก็เป็นชาวเมืองเฮยเหยี่ยนด้วยเหมือนกัน หากพวกตนไปหาเรื่องเบื้องบนเหล่านั้นเข้าล่ะก็มีหวังได้โดยเฉดหัวออกจากโหลวเฉิงกันยกครัว แปรสภาพจากพลเมืองแห่งโหลวเฉิงกลายเป็นผู้พเนจรร่อนเร่ที่ต้องต่อสู้ปากกัดตีนถีบไม่มีวันได้โงหัวอีกเลยในแดนทุรกันดารอันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้
เมื่อเห็นฉากที่ประสานกลมกลืนกันของเมืองเชิ่งหลงที่มีทหารที่แข็งแกร่ง มีม้าที่แข็งแกร่ง และมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ทำไมจะไม่อิจฉาล่ะ
ส่วนถังเจิ้นนั้นไม่ได้รู้หรอกว่านักรบเฮยเหยี่ยนพวกนี้จะคิดอะไรอยู่ เพียงแต่อารมณ์ที่สัมผัสได้จากสายตาที่มองมานั้นเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความปรารถนาและอิจฉาตาร้อน
เห็นแบบนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องยิ้มมุมปากหน่อย ๆ จากนั้นก็หันไปขยิบตาส่งซิกให้ไอ้หนุ่มเสี่ยวรุ่ยแล้วเดินนำทางให้พวกนักรบวัยกลางคนและคณะ
หลังจากที่เสี่ยวรุ่ยเห็นสัญญาณที่ถังเจิ้นส่งมาเขาก็ดิ้นรนในใจอยู่เล็กน้อย มันอดที่จะลังเลไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กำหมัดแน่นแววตาเองก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่
เนื่องจากนักรบเฮยเหยี่ยนไม่ได้เป็นพลเมืองหรือผู้อาศัยของที่นี่ ดังนั้นถังเจิ้นจึงได้จัดให้พวกเขาอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวและปล่อยให้ไทสันรับผิดชอบในการต้อนรับขับสู้ ส่วนตัวเองก็หันกลับไปศึกษาวิจัยสิ่งสำคัญสำหรับแผนการอันยิ่งใหญ่ต่อไป
ในไม่ช้าก็ถึงเวลากินข้าว ชาวเมืองเชิ่งหลงที่กลับจากทำงานก็เริ่มต่อคิวไปยังโรงอาหาร
นักรบเฮยเหยี่ยนก็ไปด้วยตามคำเชิญของไทสัน
เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยของโหลวเฉิงค่อนข้างคับแคบจึงได้มาสร้างโรงอาหารเชิ่งหลงอยู่ที่ขอบจัตุรัสซึ่งลักษณะเป็นโรงเหล็กทาสีขนาดใหญ่โต
เมื่อมาถึงโรงอาหารก็ได้เห็นชาวเมืองเชิ่งหลงถือจานอาหารไปเข้าคิวรอรับอาหารกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นักรบเฮยเหยี่ยนเองก็ลอกตามโดยไปหยิบจานอาหารและไปต่อท้ายแถว
ผ่านไปกว่า 10 นาทีก็ถึงคิวของนักรบวัยกลางคน หลังจากที่เขายื่นจานให้พ่อครัวก็เหลือบมองแล้วก็จัดอาหารใส่ให้อย่างเรียบร้อยไม่ได้มีอะไร
แต่... เมื่อนักรบวัยกลางคนมองลงมายังอาหารชั้นยอดในจานแล้วก็ถึงกับเอ่ยปากถามชาวเมืองข้าง ๆ อย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “พี่ ๆ ปกติกินแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
ชาวเมืองเชิ่งหลงก็มองลงไปยังจานข้าวของนักรบวัยกลางคนแล้วส่ายหัว “กินแบบนี้ทุกวันก็เบื่อตายเลยสิน้อง พวกเราเปลี่ยนเมนูกันทุกสามวันแหละ มีไก่ ปลา เนื้อ ไข่ อะไรอีกเยอะแยะ เด๋วอีกสามวันก็เห็นเอง เออใช่ตรงโน้นตรงที่มีชามหลายใบวางเรียง ๆ กันอยู่อะเห็นปะ ตรงนั้นมีเครื่องดื่มนะถ้าอยากกินก็ตักเอาเลย ทั้งน้ำหวานทั้งน้ำชาได้หมดตามสบาย!”
ชาวเมืองเชิ่งหลงคนนั้นคิดว่านักรบวัยกลางคนเป็นชาวเมืองที่พึ่งมาใหม่เลยให้คำแนะนำอย่างกระตือรือร้น
“ขะ... ขอบคุณครับพี่!”
นักรบวัยกลางคนพยักหน้าแล้วเดินไปที่ถังสแตนเลสแล้วตักชิมแต่ละอย่างจากนั้นก็จัดน้ำชาชามใหญ่
เมื่อเอาทั้งข้าวทั้งน้ำไปนั่งที่โต๊ะนักรบวัยกลางคนก็จ้องจานข้าวเย็นของตนเขม็งแต่ยังไม่ได้เปิดปากกิน
ไม่ใช่ว่านักรบวัยกลางคนจะกลัวว่าอาหารจะมีปัญหา แต่กำลังถอนหายใจที่เมืองเชิ่งหลงมีอาหารมากมายปานนี้ให้ชาวเมืองทุก ๆ คนได้กิน
หมูตุ๋นหั่นเป็นชิ้นเต๋าใหญ่ ปลาแห้งทอดกรอบ ๆ ผักดองชิ้นเล็ก ๆ กินคู่กับข้าวสีขาวจั๊วะ กลิ่นหอมฉุยน่าเอาทั้งหมดยัดเข้าไปในปากอย่างยิ่ง
ขนาดตัวเองที่เป็นถึงหัวหน้าครูฝึกแห่งเมืองเฮยเหยี่ยนยังไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อด้วยอาหารดี ๆ แบบนี้เลยซักครั้ง อาหารส่วนใหญ่เป็นเมล็ดหญ้ากร้าน ๆ จับคู่กับเนื้อหนอนและซุปเห็ดรสชาติจืดชืดหนึ่งชาม!
อาหารชนิดนี้กินกันมานานหลายสิบปีแล้ว นักรบวัยกลางคนก็แทบจะลืมเลือนรสชาติอื่น ๆ ไปแล้วด้วย
แต่อาหารของเมืองเชิ่งหลงนี่มันน่าอร่อยโดยแท้ แม้ตนเองจะเคยออกเดินทางไปทั่วแดนทุรกันดารและลิ้มลองรสชาติอาหารมาแล้วมากมาย แต่เมื่อมาเทียบกับอาหารของเมืองเชิ่งหลงที่ยังไม่ทันได้กินแล้วแล้วยังรู้สึกว่าที่เคยกิน ๆ มาก่อนนั้นด้อยกว่า
นักรบวัยกลางคนไม่รู้ว่าอาหารเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยเครื่องปรุงและผงชูรสจากโลกเดิม ดังนั้นเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอาหารอันหยาบกร้านของโลกโหลวเฉิงแล้วของที่นี่ย่อมอร่อยกว่าโดยเทียบกันไม่ติดอยู่แล้ว!
เขาหยิบช้อนขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ตักข้าวขึ้นมาชิมซึ่ง... อร่อยโคตร! เมล็ดหญ้าขาวจั๊วะนี่อร่อยจนไม่อยากจะกลืน แต่กลับกลืนลงไปแล้วไม่เหมือนเมล็ดหญ้ากร้าน ๆ ที่กินอยู่ทุกวันซึ่งก็ไม่อยากจะกลืนเหมือนกันแต่ไม่ใช่เพราะอร่อยแต่เพราะมันกลืนยาก นี่มันอาหารหลักที่โคตรดี!
หลังจากชิมข้าวแล้วนักรบวัยกลางคนก็ตักหมูตุ๋นกินคำหนึ่ง ความรู้สึกที่ได้กลิ่นหอมอบอวลแตกเต็มปากได้กระตุ้นให้ความอยากโซ้ยระเบิดออกมาทันที!
ไม่นานนักนักรบเฮยเหยียนก็มาที่โต๊ะด้วยพร้อมกับอาหารมากมาย หลังจากมองหน้ากันแล้วพวกเขาก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วก็โซ้ยเอา ๆ
หลังจากกินข้าวไปเต็มอิ่มแล้วดื่มน้ำหวานหรือชาซักแก้วนี่ช่างสดชื่นเหลือหลาย
หลังจากมื้ออาหารนักรบเฮยเหยี่ยนเหล่านี้ก็ตกอยู่ในสภาพที่ปากมันแผลบพุงปลิ้น ในใจก็แอบอิจฉาชาวเมืองเชิ่งหลงที่สามารถกินของดี ๆ แบบนี้ได้ทุกวี่วัน
หลังอาหารไทสันก็รีบมาพานักรบเฮยเหยียนไปเดินเล่นในหุบเขา ระหว่างทางก็แนะนำให้พวกเขารู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของเมืองเชิ่งหลงไปด้วย
หลังจากพักการรบพุ่งและก่อสร้างมาระยะหนึ่ง หุบเขาเชิ่งหลงตอนี้ก็มีความสวยงามน่ารื่นรมย์มากขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งเสียงนกร้องและดอกไม้นานาพรรณทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่มีจุดไหนที่แสดงถึงความรกร้างหรือแห้งแล้งสมกับเป็นแดนทุรกันดารแบบข้างนอกกำแพงให้เห็นเลย
นักรบนักรบวัยกลางคนชี้ไปที่ต้นมารดรและถามไทสันว่า “ขอโทษนะหัวหน้าไทสัน ต้นไม้ยักษ์นี่ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาแน่ ๆ ไม่ทราบว่ามีที่มาที่ไปยังไงเหรอ”
ไทสันยิ้มตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ต้นไม้ยักษ์นี้เรียกว่า ‘ต้นมารดร’ และเป็นเมืองรองของเมืองเชิ่งหลงเราเอง ต้นมารดรนี่วิเศษมากเลยนะ มันมีคุณสมบัติและความสามารถที่เราคาดไม่ถึงอยู่มากมายเลย!
ยิ่งตอนกลางคืนนะมันจะเปล่งแสงเรือง ๆ หลากสีจากเรือนยอดดูสวยงามมาก ๆ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นหรอก รอดูด้วยตัวเองคืนนี้สิ!”
ขณะอธิบายไทสันมีสีหน้าภาคภูมิใจแบบไม่มีปกปิด