1118 - ไก่ตัวที่อ้วนที่สุด
1118 - ไก่ตัวที่อ้วนที่สุด
“อาวุธของจักรพรรดิโบราณนั้นแข็งแกร่งมาก มันมีอำนาจที่จะกำจัดความลึกลับทั้งหมดในตัวของข้าออกไปได้ ทั้งยังทำให้จิตใจของข้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง”
“ท่านผู้เฒ่า เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านจึงพยายามแย่งชิงราชาโอสถของข้า?” เย่ฟ่านถาม
“ใช่ ทำไมข้าถึงทำเช่นนี้ วันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณโดยที่ข้าไม่รู้ตัว”
ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์กล่าวกับตัวเองจากนั้นเขาก็เริ่มทึ้งเส้นผมสีแดงบนศีรษะด้วยความบ้าคลั่ง
เขาแสดงสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็พึมพำ แล้วดึงเส้นผมสีแดงอันน่าสยดสยองออกมากระจุกใหญ่ เขาเดินไปรอบๆ และดวงตาของเขาก็แดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊าก...”
สุดท้ายเขาก็ส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้าย ร่างของเขาหายไปในเงามืดอย่างไรร่องรอย มีเพียงเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ดังก้องอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในมือของเขามีต้นกำเนิดขนาดใหญ่ และที่อยู่ในต้นกำเนิดนั้นก็คือร่างไร้ที่ติซึ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์นอนหลับไหลอยู่
“นั่นนางเอง!”
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเข้ามาในภูเขาสีม่วงเมื่อครั้งอดีต เขาเคยเห็นหญิงสาวคนหนึ่งถูกผนึกไว้ในต้นกำเนิดขนาดใหญ่ แน่นอนว่านางก็คือหญิงสาวคนนี้นี่เอง
“ช่วยนางด้วย!” เสียงแหบแห้งดังมาจากปากของปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์
เย่ฟ่านพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หญิงสาวคนนี้คือหยางอี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกเมื่อหมื่นปีก่อน เขาเคยได้ยินเรื่องราวของนางจากปู่ห้าจาง
หยางอี้เป็นคนรักของปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์รุ่นห้าหลังจากที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์รุ่นห้านางได้บุกเข้าสู่ภูเขาสีม่วงอย่างเด็ดเดี่ยวและไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
“ข้าเป็นหนี้นางมากเกินไป และแม้หลังจากที่ข้าตายไปแล้วข้าก็ยังทำให้นางผิดหวัง” เสียงของเขาสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
ต้นกำเนิดชิ้นนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ต้นกำเนิดสวรรค์แต่ก็มีมูลค่าสูงยิ่ง สีของมันเป็นสีทองแวววาวอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยม
หากเป็นช่วงเวลาที่เย่ฟ่านยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะของปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์เขาคงไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ตอนนี้เย่ฟ่านตระหนักได้ทันทีว่ามันคือหกผนึกต้องห้ามของปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์
หยางอี้เข้ามาในภูเขาสีม่วง หลังจากที่นางตระหนักได้ว่าปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์รุ่นห้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดผมแดงไปแล้ว นางก็หมดสติลงตรงนั้น
ในเวลาต่อมาภายใต้การโจมตีของเทพแห่งความตายพลังชีวิตของนางก็หมดลง แต่ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์รุ่นห้ายังมีสัญชาตญาณบางอย่างหลงเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงปิดผนึกนางไว้ในของเหลวต้นกำเนิดด้วยทักษะหกผนึกต้องห้าม
“แคร้ง...”
ระฆังอู่ซือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงของมันก้องกังวานทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน
หนึ่งวัน สองวัน... สิบวัน...
กว่าสิบวันผ่านไป เสียงระฆังยังคงดังขึ้นไม่หยุดหย่อนและทำให้บรรยากาศของทั้งห้าภูมิภาคเดือดพล่านอย่างไม่สิ้นสุด
นี่คือบารมีของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะยังสงสัยเรื่องความเป็นความตายของเขา แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าเข้ามาสำรวจยังภูเขาสีม่วง
คราวนี้เผ่าพันธุ์โบราณหวาดกลัวอย่างแท้จริง แม้แต่เรือรบจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนของพวกเขาก็ยังแล่นกลับที่ตั้งของตนโดยไม่กล้าบุกเข้าสู่หนานหลิงอีกแล้ว
คราวนี้หุบเขาเทพสงบอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ราชาบรรพชนโบราณของพวกเขายังเลือกที่จะซุกซ่อนกลิ่นอายของตัวเองโดยไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสียงระฆังของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
ผ่านไปสองเดือนแล้ว ระฆังอู่ซือยังคงดังอยู่ ทำให้ภาคเหนือทั้งหมดกลับคืนสู่ความสงบสุข ไม่มีสิ่งมีชีวิตโบราณตัวใดกล้าปรากฏออกมาจากที่ตั้งของตัวเองแม้แต่ก้าวเดียว
นี่เป็นคลื่นลูกใหญ่อย่างแท้จริง ระฆังของจักรพรรดิอู่ซือดังขึ้นอย่างยาวนานถึงสองเดือนเต็ม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีทางที่ระฆังจะดังขึ้นจากการกระตุ้นของผู้คนอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ระฆังนี้ดังขึ้นติดต่อกันถึงสองเดือนได้
ในภูเขาสีม่วง ใบหน้าของเย่ฟ่านซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาแห้งเหือด แม้ว่าจะหลบซ่อนตัวเองอยู่ในหม้ออสูรกลืนสวรรค์ แต่สภาพของเขายังเลวร้ายอย่างถึงที่สุด
หากไม่ใช่ว่าเขายังได้รับความช่วยเหลือจากทองเหลืองสองชิ้นของจักรพรรดิชิง ป่านนี้ร่างกายของเย่ฟ่านคงแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
ทองเหลืองสองชิ้นของจักรพรรดิชิงนั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติที่มีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในระหว่างนี้หลังจากที่ได้กระตุ้นให้ระฆังปลดปล่อยเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งเย่ฟ่านก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามีความรู้สึกว่าฐานการบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของระดับเซียนเทียมขั้นสองแล้ว
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางทะลุทะลวงผ่านขอบเขตเซียนเทียมขั้นสามได้ นั่นก็เพราะตัวเขาเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณที่ได้ชื่อว่าเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
ยิ่งครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากเท่าใดโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในการทะลุทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียมขั้นสามยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
เมื่อฟังเสียงระฆังอู่ซือดังขึ้นอย่างต่อเนื่องความรู้แจ้งในเต๋าเย่ฟ่านก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าร่างกายของเขาจะมีบาดแผลอย่างไม่สิ้นสุด แต่มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
ตรงกลางหลังคิ้วของร่างเซียนที่เย่ฟ่านครอบครองมีวิญญาณสีทองนั่งสมาธิอยู่ วิญญาณสีทองนั้นคือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่ฟ่านเอง
การบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในขอบเขตเซียนเทียมขั้นสามนั้นยากลำบากอย่างยิ่ง บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำลายรากเหง้าในอดีตของตัวเองก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้
แน่นอนว่าวิธีการนี้จำเป็นต้องสะสมความรู้แจ้งในเต๋าอย่างไม่สิ้นสุด หากมันทำได้ง่ายๆ ราชาผู้ยิ่งใหญ่หลายคนคงไม่ใช้เวลานานหลายพันปีในการติดอยู่ในขอบเขตเซียนเทียมขั้นสองแล้ว
หลังจากที่นั่งฟังเสียงระฆังดังขึ้นถึงสองเดือนติดต่อกัน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ศรีทองเย่ฟ่านก็มีความแข็งแกร่งไม่แตกต่างอะไรจากครึ่งก้าวอาวุธเต๋าสุดขั้ว
เขาก้าวไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทียมขั้นสองได้สำเร็จ หากไม่ใช่ว่าเขานั่งฟังเสียงของระฆังในระยะใกล้แบบนี้ ต่อให้ใช้เวลานานนับพันปีเย่ฟ่านก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้
เย่ฟ่านเชื่อว่าหลังจากที่เขากลับสู่ร่างกายที่แท้จริงแล้ว ขอเพียงเขาตระหนักรู้ในความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ามากขึ้นอีกเล็กน้อย เขาจะประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนเทียมขั้นสามอย่างแน่นอน
หลังจากผ่านไปสามเดือน ในที่สุดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่ฟ่านก็แข็งแกร่งอย่างที่ไม่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของผู้ใดเปรียบเทียบได้
ในตอนนี้เย่ฟ่านกล้าที่จะใช้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับเซียนเทียมขั้นสองด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่ร่างเซียนซึ่งเขาครอบครองอยู่นั้นเป็นเพียงร่างที่ตายไปแล้ว แม้ว่ามันจะมีความแข็งแกร่งอย่างที่ร่างของสิ่งมีชีวิตอมตะตัวใดก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้ แต่มันยังคงต้องขับเคลื่อนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเย่ฟ่าน
เย่ฟ่านไม่มีทักษะเต๋าในระดับผู้อมตะ ดังนั้นแม้การอาศัยร่างกายนี้เขาจะมีความมั่นใจในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตอมตะเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็ไม่มีทางที่เขาจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ โลกทั้งใบถูกปราบปราม ไม่มีสิ่งมีชีวิตโบราณตัวใดกล้าปรากฏออกมาเพ่นพ่านในโลกภายนอก ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามีเพียงผู้บ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่แวะเวียนมายังภูเขาสีม่วงด้วยความเคารพ
…
“เมื่อเรากระตุ้นระฆังของจักรพรรดิให้ตื่นขึ้นแล้ว เราจะไม่ลงมืออย่างต่อเนื่องได้อย่างไร”
เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเองจากนั้นเขาก็กล่าวกับปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์ว่า “ปรมาจารย์ผู้เฒ่า ถึงเวลาที่เราต้องลงมือแล้ว”
“ในเมื่อเราต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูเราก็ต้องเชือดไก่ตัวที่อ้วนที่สุด”
ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์กล่าวอย่างสงบ แต่ร่างของเขาปะทุขึ้นด้วยกลิ่นอายสังขารอันเข้มข้น
ระฆังอู่ซือดังขึ้นเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกันและทุกเผ่าในดินแดนทางเหนือต่างก็เงียบสงบ แม้แต่ราชาบรรพชนโบราณก็ยังตื่นตระหนกจนต้องหลบซ่อนตัวอีกครั้ง!
มหาอำนาจของเผ่าพันธุ์โบราณประกอบด้วยหุบเขาเทพ รังหมื่นมังกร สันเขาเสิ่นคาน ภูเขาหงส์เพลิงร่วงหล่น
ในตอนนี้เย่ฟ่านและปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์จึงเริ่มคัดเลือกว่าการโจมตีมหาอำนาจกลุ่มใดจึงจะสร้างความหวาดกลัวให้กับสิ่งมีชีวิตโบราณได้มากที่สุด
ผลการโจมตีของพวกเขาจะทำให้สิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นทำตัวเงียบสงบไปอีกหลายปีจนกระทั่งเย่ฟ่านประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนเทียมขั้นสามได้