1116 - เจ้าของเส้นขนสีแดง
1116 - เจ้าของเส้นขนสีแดง
สถานการณ์ในปัจจุบันเลวร้ายอย่างยิ่ง แม้ว่าคนเถื่อนจะแข็งแกร่งแต่ก็ยากที่จะเปรียบเทียบกับหุบเขาเทพได้
เพราะนี่คือสงครามแห่งชีวิตและความตาย เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นหุบเขาเทพที่มีสิ่งมีชีวิตอมตะหลายคนย่อมไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาต่อคนเถื่อน
พวกเขาจะรุมล้อมสังหารเทพสงครามคนเถื่อนก่อน จากนั้นก็จะจัดการกับลูกหลานคนเถื่อนทั้งหมดอย่างง่ายดาย
“ปล่อยให้คนเถื่อนกลายเป็นประวัติศาสตร์ กำจัดพวกมันไปตลอดกาลในการต่อสู้ครั้งเดียว!”
นี่คือน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมของหุบเขาเทพบอกกับคนทั้งโลกว่าหลังจากกวาดล้างคนเถื่อนทั้งหมด เป้าหมายต่อไปจะเป็นคนแซ่เย่ทั่วโลกอำพรางสวรรค์
แต่ในขณะนั้นได้มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นในภาคเหนือของตงหวง
“ข้าคือร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ ข้ามาที่นี่เพื่อกวาดล้างสิ่งมีชีวิตในหุบเขาเทพทั้งหมด! ข้าเย่ฟ่านมาแล้ว และจะไม่มีผู้ใดจากหุบเขาเทพรอดชีวิตไปได้”
ทุกคนต่างตกตะลึงเพราะมีคนเห็นว่านี่คือร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณอย่างแน่นอน มีเพียงร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณเท่านั้นร่างกายของเขาจึงจะเปล่งประกายด้วยแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์
หุบเขาเทพโกรธจัด ยอดฝีมือนับร้อยคนถูกส่งออกมาไล่ล่าร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณและแทบจะพลิกคว่ำภาคเหนือ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ร่องรอยของเย่ฟ่าน
“ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้ากล่าวถึงอยู่ที่ไหน หากเขาไม่ปรากฏตัวออกมาวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” นี่คือเสียงของสิ่งมีชีวิตอมตะจากหุบเขาเทพที่ดังขึ้นอีกครั้ง
“แคร้ง...”
แต่ในวันนั้นเสียงระฆังก็ก้องกังวาลไปทั่วภาคเหนือ ไม่มีใครรู้ว่าเสียงของมันกระจายไปกี่หมื่นลี้ แต่ทันทีที่เสียงดังขึ้นจิตสังหารของสิ่งมีชีวิตอมตะจากหุบเขาเทพก็ถูกระงับลงทันที
เรือทุกลำของหุบเขาเทพที่มุ่งหน้าเข้าสู่หนานหลิงได้หยุดชะงักลง ในความเป็นจริงไม่มีเรือลำใดกล้าลอยอยู่บนท้องฟ้าอีกแล้ว!
เสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์นี้ดังมาจากภูเขาสีม่วง เสียงระฆังที่ยาวและเอ้อระเหยกลายเป็นระลอกขึ้นที่เจาะทะลุผ่านความว่างเปล่าและดังก้องอยู่ในหูของสิ่งมีชีวิตทุกคนในโลก!
ผู้บ่มเพาะทั้งหมดในโลกอำพรางสวรรค์ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งผู้คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเริ่มคุกเข่าไปในทิศทางของภูเขาสีม่วงและทำการสักการะอย่างนอบน้อม
หลังจากหลายปีแห่งความสงบสุขระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง ผู้คนมากมายคุกเข่าลงไปบนพื้น ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสหลายคนร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความปลื้มปิติ
“ความมืดและความโกลาหลกำลังมา แต่สุดท้ายจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!”
หลายคนบ่นพึมพำ เมื่อสิ่งมีชีวิตโบราณตื่นขึ้นทุกคนก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างมืดมนเหลือเกิน แต่ในความสิ้นหวังนั้นจู่ๆเสียงระฆังของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ดังขึ้น
ช่วงที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็คือยุคที่จักรพรรดิอู่ซือถือกำเนิดขึ้น เขาปราบปรามดินแดนรกร้างทั้งแปดกวาดล้างโลกภายนอกทำให้ทุ่งดวงดาวหมีใหญ่กลับสู่ความสงบ
ความโกลาหลใดๆ ที่เกิดขึ้นในโลกล้วนสงบนิ่ง เจ็ดดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิตไม่มีสิ่งมีชีวิตอมตะกล้าปรากฏตัวออกมา นี่คือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์ได้ปกครองโลกอำพรางสวรรค์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นสุดยุคของจักรพรรดิอู่ซือเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ แม้ว่าในยุคหลังจะมีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เหิงอวี้ของตระกูลเจียงปรากฏตัวขึ้น แต่ความรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เทียบกับยุคของจักรพรรดิอู่ซือไม่ได้
หลายหมื่นปีให้หลังก็ไม่มีจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์มนุษย์คนใดปรากฏตัวขึ้นอีก จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของโลกนี้คือจักรพรรดิชิงแห่งเผ่าพันธุ์อสูร
แม้ว่าจักรพรรดิชิงแห่งเผ่าพันธุ์อสูรจะมีความยุติธรรมและเต็มไปด้วยความเมตตา แต่เขาก็คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์อสูรที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น
“เคร้ง...”
เสียงระฆังดังก้องไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดิน เมื่อได้ยินเสียงระฆังอีกครั้งผู้บ่มเพาะทั้งหลายต่างก็ตื่นเต้น
จักรพรรดิอู่ซือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? นี่เป็นความคิดแรกของมนุษย์ผู้บ่มเพาะจำนวนมาก และเลือดของพวกเขาก็พุ่งพล่านอย่างรุนแรง
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อู่ซือปรากฏตัวอีกครั้ง ปราบปรามเผ่าพันธุ์โบราณทั้งหมด แค่คิดก็ทำให้เลือดของผู้คนเดือดพล่าน มนุษย์จำนวนมากหลั่งไหลไปในทิศทางของภูเขาสีม่วงด้วยความตื่นเต้น
เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังเดือดพล่าน แต่เผ่าพันธุ์โบราณทั้งหมดกลับเงียบงัน พวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งราชาบรรพชนโบราณก็ยังทยอยตื่นขึ้นจากการหลับไหล
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดเทียบได้ แม้กระทั่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าพันธุ์โบราณก็ยังมีความแข็งแกร่งเป็นรองจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกหลายขุม
ภูเขาจักรพรรดิในอดีตเคยเป็นหัวใจของสิ่งมีชีวิตโบราณทั้งหมด มันเป็นสถานที่แสวงบุญและเป็นสุสานของจักรพรรดิอมตะ เทพผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์โบราณ
แต่หลายปีให้หลังมันกลับถูกยึดครองโดยจักรพรรดิอู่ซือแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตโบราณทุกตัวโกรธแค้นอย่างถึงที่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ผ่านมาหลายแสนปีแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?” ราชาบรรพชนโบราณรำพึงกับตัวเอง
เสียงระฆังดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นลางร้ายอย่างแน่นอน เพราะมันไม่มีทางที่จู่ๆระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นจะดังขึ้นด้วยตัวเองได้?
คนที่กังวลมากที่สุดคือหุบเขาเทพ เสียงระฆังนี้เหมือนกับเสียงฝ่ามือที่ตบลงไปบนใบหน้าของพวกเขาโดยตรง
ไม่นานมานี้ พวกเขายังคงเย่อหยิ่งทั้งยังประกาศว่าไม่กลัวจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่เย่ฟ่านพูดถึง พวกเขาจะเหยียบย่ำคนเถื่อนหนานหลิงและสังหารทุกคนที่มีแซ่เย่ แต่หลังจากกล่าวสิ่งนี้ แล้วเสียงระฆังอู่ซือก็ดังขึ้น
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นคำเตือน? เลือดในกายของสิ่งมีชีวิตภายในหุบเขาเทพแข็งตัว เสียงระฆังดังขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดและทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างยิ่ง
พวกเขาจะออกเดินทางได้อย่างไร เรือรบทุกลำที่พุ่งขึ้นไปในอากาศได้ลงจอดแล้ว คลื่นระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นนี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างวู่วามอีกต่อไป
ทุกคนในหุบเขาเทพได้รับความอับอาย คราวนี้พวกเขาระดมพลเต็มกำลัง แต่จบลงด้วยความล้มเหลว พวกเขาเกิดความอับอายอย่างถึงที่สุดแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
หากจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ตื่นขึ้น นับประสาอะไรกับหุบเขาเทพ ต่อให้เผ่าพันธุ์โบราณทั้งหมดร่วมมือกันก็ไม่มีทางต่อต้านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้!
การป้องปรามที่ไม่มีใครเทียบ นี่คือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อู่ซือแม้ว่าเขาจะหายตัวไปหลายแสนปี แต่เสียงระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นที่ดังขึ้นนั้นยังคงสร้างความหวาดหวั่นไม่รู้คลาย
ไม่มีใครกล้าขัดขืน! เผ่าพันธุ์โบราณทั้งหมดที่ตื่นขึ้นจากการหลับไหลเริ่มซ่อนตัวอีกครั้ง
ทุกคนกำลังรอผลลัพธ์ที่แน่นอน
ในภูเขาจักรพรรดิโบราณ เย่ฟ่านเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งปกคลุมไปด้วยเส้นขนสีแดงทั่วทั้งตัว
เสียงระฆังดำเนินไปตลอดทั้งคืน และเมื่อเสียงระฆังนี้ดังขึ้นซากศพของอสูรโบราณเหล่านั้นต่างก็หลบหนีด้วยความกลัว มีเพียงสิ่งมีชีวิตเส้นขนสีแดงเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่ต่อหน้าเย่ฟ่านด้วยความมุ่งมั่น
กลุ่มคนเหล่านี้คืออดีตผู้ติดตามของจักรพรรดิอมตะ เมื่อครั้งที่พวกเขามีชีวิตล้วนเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง และในจำนวนนี้มีหลายสิบคนที่เป็นสิ่งมีชีวิตอมตะอย่างแท้จริง
แต่ทันทีที่เสียงระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นดังขึ้น ซากศพจำนวนมากก็แหลกสลายเป็นฝุ่นของ ในขณะที่ซากศพของสิ่งมีชีวิตอมตะอีกหลายสิบตัวต่างก็หลบหนีอย่างทุลักทุเล
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งมีชีวิตที่มีเส้นขนสีแดงปกคลุมทั่วทั้งร่างกายก็หยิบธงโบราณสีดำหลายสิบผืนออกมาจากทะเลแห่งความทุกข์ของตัวเอง
ธงสีดำแปดสิบเอ็ดผืนถูกโยนไปทั่วท้องฟ้า พวกมันก่อตัวเป็นค่ายกลสีทองที่ปกป้องซากศพของบริวารราชาอมตะอย่างแน่นหนา
ในเวลานี้ ใบหน้าของเย่ฟ่านก็ซีดเซียว เขาใช้หม้ออสูรกลืนสวรรค์ต่อต้านเสียงระฆังที่ดังขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันเขาก็จ้องมองไปที่สิ่งมีชีวิตซึ่งร่างกายปกคลุมไปด้วยเช่นขนสีแดงและกล่าวว่า
“ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์!”
อย่างไรก็ตามเมื่อเสียงระฆังสิ้นสุดลงเจ้าของร่างที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีแดงกลับฟื้นฟูสติกลับคืนมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสดใสราวกับดวงตาของมนุษย์ เขาก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า
“ข้ามีเวลาไม่มากนัก คลื่นของระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นทำให้ข้าฟื้นฟูสติกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่าสตินี้จะคงอยู่นานแค่ไหน”
เสียงที่อ้างว้างและสิ้นหวังเต็มไปด้วยความเงียบเหงา
ปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์รุ่นที่ห้าหายตัวไปนานกว่าหนึ่งหมื่นปี ในตอนนี้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เส้นขนสีแดงปกคลุมทั่วทั้งตัว!
…….