บทที่ 203: ความสิ้นหวังของมนุษย์นกเฒ่า!
ภายในเมืองเฮยหยูมีร่องรอยของการต่อสู้อยู่ทุกหนแห่ง อากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดสด ๆ
ถังเจิ้นเดินยาวเข้าไปในทางเดินจนกระทั่งถึงห้องโถงใหญ่ ไม่เห็นมนุษย์นกเลยแม้แต่ตัวเดียว จะเห็นก็แค่คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนราวกับว่าพวกมันได้หายไปจากโลกนี้หมดแล้ว
แต่ถ้าติดตามคราบเลือดไปก็จะได้เจอแหละ ชาวเมืองเฮยหยูน่ะ เพียงแต่พวกมันแค่จะต้องหลับไหลไปตลอดการก็เท่านั้นเอง!
ได้อยู่และตายไปพร้อมกับโหลวเฉิง นี่คือจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดของชาวโหลวเฉิงแล้ว
มีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ถังเจิ้นมองไปตามทิศทางของเสียงและพบว่ามาจากถ้ำไม่ไกล
ทหารเชิ่งหลงประมาณ 10 นายกำลังเล็งปืนไปที่มนุษย์นกปีกดำเฒ่าตัวหนึ่งโดยข้างหลังมีมันมนุษย์นกตัวเล็กขดตัวร้องไห้สะอึกสะอื้น
มนุษย์นกเฒ่าถือกริชวิเศษในมือซึ่งตอนนี้พาดอยู่บนคอของทหารเชิ่งหลงนายหนึ่ง
ตาเฒ่าเหมือนจะรู้ซึ้งถึงพลังของปืนดีมันเลยจับเจ้าตัวเล็กให้อยู่ข้างหลังตัวเองไว้แน่น แขนอีกข้างก็รัดคอพร้อมกับจ่อกริชใส่ทหารเชิ่งหลงนายนั้นค่อย ๆ พาเดินไปที่ทางเข้าถ้ำ
ถังเจิ้นเข้ามาทหารก็รีบเปิดทางให้
หลังจากมองดูทหารแล้วถังเจิ้นก็พูดอย่างเย็นชาตาเฒ่าว่า “ปล่อยทหารของฉันซะไม่งั้นตาย!”
ตาเฒ่าหัวเราะขมขื่นกับสิ่งที่ได้ยิน หลังจากมองตาถังเจิ้นแล้วมันก็ถามเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าเมืองเชิ่งหลงสินะ ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปลิบลับจริง ๆ สามารถพูดภาษาของเผ่าเฮยหยูเราได้ด้วย!”
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นไม่ตอบคำถามมันก็พูดต่อว่า “ตอนนี้ชาวเฮยหยูของข้าถูกเจ้าสังหารแล้ว เมืองเฮยหยูอันเป็นมรดกที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีขาดหาย ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองจะพอเมตตาให้ข้าได้เหลือสายเลือดของมนุษย์นกปีกดำไว้ซักคนได้หรือไม่”
“หา? ที่วันนี้พวกมึงเผ่าปีกดำต้องเจอแบบนี้ก็เพราะทำตัวเองไม่ใช่เหรอวะ! ยังจะมาโทษคนอื่นอีก!”
ถังเจิ้นตะคอกพลางชำเลืองมองตาเฒ่าที่ทำหน้าเศร้าแล้วบอกว่า “พวกมึงกับพวกกูอยู่คนล่ะเผ่าพันธุ์ แถมพวกมึงก็รังแกเผ่าพันธุ์ของพวกกูอย่างเหี้ยมโหดไร้ปราณีที่สุดมาตั้งนานแล้วหนิ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเราก็ไม่เคยสิ้นสุดมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วมึงยังคิดว่ากูควรเหลือโอกาสให้ศัตรูได้ฟื้นคืนเหรอ แล้วถ้าเป็นพวกมึงที่เป็นฝ่ายชนะล่ะ ต่อให้พวกกูจะร้องขอความเมตตายังไงก็ไม่ยอมฟังเหมือนกันไม่ใช่รึไง!”
“แม่งพูดมาได้เมตตา ไม่อายปากตัวเองบ้างล่ะ!”
คำตอบของถังเจิ้นทำให้สีผิวของตาเฒ่าเปลี่ยนไปอีกรอบ ใบหน้าของมันซีดเผือดเหมือนสีตกอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่อาจส่งเสียงออกมา มันเพียงแค่ก้มลองมองเจ้าตัวน้อยที่กอดขาตัวเองอยู่ด้วยความรักแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองถังเจิ้น
“เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า หายนะของเมืองเฮยหยูเกิดจากการทำตัวเองล้วน ๆ ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ เพียงแต่ตอนนี้ข้าขอทำข้อตกลงกับท่าน
ห้องเก็บสมบัติของเมืองนี้เป็นความลับอย่างยิ่งยวด หากไม่มีเบาะแสดล่อก็ต่อให้ทำลายหรือรื้อภูเขาออกทั้งลูกก็ไม่อาจหาเจอ
ข้าขอใช้ตำแหน่งห้องเก็บสมบัติแห่งเมืองเฮยหยูนี้ซื้อชีวิตหลานชายของข้า ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
ถังเจิ้นเหลือบมองเจ้านกน้อยที่หน้าเปื้อนไปด้วยน้ำหูน้ำตาแล้วตอบว่า “หลายชายมึงไปได้แต่มึงต้องอยู่!”
ตาเฒ่าโกรธมาก มือที่ถือกริชสั่น มันตะคอกใส่ถังเจิ้นว่า “ท่านจะใจดำเกินไปแล้ว หลานชายของข้าตัวคนเดียวจะไปอยู่รอดในแดนทุรกันดารอันโหดร้ายแห่งนี้ได้ยังไงกัน ท่านทำแบบนั้นต่างจากการฆ่ากันทิ้งเดี๋ยวนี้เลยตรงไหน!
อย่าได้บังคับข้า ไม่อย่างนั้นฆ่าจะฝังทหารของท่านไปพร้อมกลับหลานชายข้าเดี๋ยวนี้!!”
ดูตาเฒ่าที่เห็นได้ชัดเลยว่าเหมือนแก่กว่าเดิมไปร้อยปีถังเจิ้นก็ส่ายหน้าก่อนจะพูดอย่างหนักแน่นว่า “กูยังยืนยันคำเดิมว่าปล่อยได้แค่หลานชายมึงไปเท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นหรือจะตายสุดท้ายก็คือกูได้ปล่อยให้สายเลือดแห่งเมืองเฮยหยูได้มีชีวิตอยู่ต่อ ปล่อยตัวอันตรายเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งก็ถือว่าเมตตามากแล้ว อย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอกไม่งั้นพวกมึงทั้งคู่ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่ต้องออกไป!”
ตาเฒ่าได้ยินก็ตัวแข็ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มน่าสมเพชออกมา มันก้มลงมองหลานชายตัวเองด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เป่าอาเอ๋ย ตอนนี้หลานต้องหนีไปด้วยตัวเองแล้วนะ ยิ่งหนีไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เป็นเพราะปู่เอาชนะเขาไม่ได้ปู่เลยไม่อาจอยู่เคียงข้างหลานได้อีกแล้ว ต่อแต่นี้ไปหลานต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวหลานเอง
จำไว้ว่าในอนาคตจงใช้ชีวิตให้ดี ใช้ชีวิตสุจริตไม่คิดจัดฉากกับคนอื่น จำได้มั้ย?”
เจ้าหนูน้อยร้องให้เสียงดังลั่นไม่ยอมไปไหน ขนาดตาเฒ่าเกลี้ยกล่อมไปหลายคำก็ยังไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องทำใจแข็งแสดงความโกรธตบหน้ามันไปทีหนึ่ง “ไสหัวไปให้พ้น!”
เจ้าหนูน้อยเหมือนได้สติ มันยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังร้องไห้อยู่แล้วคุกเข่าคารวะปู่ของมัน จากนั้นก็ยืนขึ้นอีกครั้งหันมองถังเจิ้นอย่างลึกซึ้งก่อนจะกางปีกบินออกไป
พวกทหารเชิ่งหลงได้ยินคำสั่งของถังเจิ้นเลยไม่ได้สอยมันลงมาและปล่อยให้มันบินไกลออกไป
หลังจากเห็นหลานชายของตนบินจากไปมนุษย์นกเฒ่าก็หันหน้ามาแล้วปล่อยทหารเชิ่งหลงที่มันจับตัว หยิบกระดายออกมาแผ่นหนึ่งโยนให้ถังเจิ้นจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปยังหน้าผาตรงปากถ้ำ
“ข้าเกิดที่นี่แต่กลับโหยหาโลกภายนอก เมื่อเติบโตข้าจึงได้ออกเดินทางไปยังที่ห่างไกลนับพันไมล์ หลังจากที่พเนจรร่อนเร่มาหลายสิบปีจู่ ๆ ก็พบว่าบ้านเกิดของข้านี่แหละดีที่สุดแล้ว สุดท้ายขึ้นจึงฟันฝ่าความยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วนข้ามระยะทางหลายพันไมล์นั้นเพื่อรีบเดินทางกลับมา”
มนุษย์นกเฒ่าพูดจบก็หันมองทิวทัศน์โดยรอบแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและขุ่นเคืองว่า “จากวันนี้เป็นต้นไปโหลวเฉิงของเผ่าเฮยหยูจะกลายเป็นเพียงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ที่นี่คือจิตวิญญาณของข้า คือชีวิตของข้า หากสิ้นชีวิตสิ้นวิญญาณแล้วข้าจะเหลืออะไร
เจ้าเมืองเชิ่งหลง เมื่อท่านได้รู้จักโลกที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์นั่นท่านก็จะได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของท่านนั้นเล็กกระจ้อยร่อยเพียงใด และที่สำคัญคือจะได้รู้ว่าโหลวเฉิงของเผ่าพันธุ์ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานนับพัน ๆ ปีนั้นทรงพลังและน่ากลัวขนาดไหน!”
พูดจบมันก็ทิ้งตัวลงจากหน้าผา เพียงแต่ปีกคู่นั้นที่ช่วยให้มันโผบินตลอดระยะทางไม่รู้กี่พันไมล์ของมันไม่ได้กางออก!
“วิญญาณของข้าและชาวเฮยหยูผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนจะรอเจ้าอยู่ในขุมนรก รอวันที่เมืองเชิ่งหลงจะถูกทำลาย ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...”
เสียงหัวเราะของมันดังมาจากใต้หน้าผาลากยาวจนได้ยินเสียง ‘ถึบ!’ ถึงดับไป มันชนกับโขดหินที่ชี้ขึ้นมาอย่างแรงจนสมองกระจาย!
หลังจากที่เฉียนหลงเห็นร่างของตาเฒ่าที่ตกไปตายบนพื้นแล้วเขาก็หันไปถามถังเจิ้น “ท่านเจ้าเมืองจะให้เราตามเจ้ามนุษย์นกตัวน้อยนั่นแล้ว...?”
พูดไปทำมือปาดคือไปด้วยนัยน์ตาที่ส่อเจตนาฆ่า
ถังเจิ้นส่ายหัวมองดูท้องฟ้าไกลและพูดว่า “ไม่จำเป็น นายคิดว่ามนุษย์นกตัวน้อยนั่นจะเป็นภัยคุกคามกับเราได้จริง ๆ งั้นเหรอ”
เฉียนหลงยิ้ม “เจ้าตัวน้อยนั่นที่ตอนแรกเหมือนจะเอาแต่ใจกลับเชื่อฟังและบินหนีไป เพียงแต่มันที่ยังเด็กคงไม่มีประสบการณ์เอาชีวิตรอดในแดนทุรกันดาร ที่นี่น่ะแม้แต่นักรบที่ประสบการณ์สูงยังไม่กล้าพูดเลยว่าตัวเองสามารถเอาตัวรอดได้โดยไร้ปัญหานับประสาอะไรกับมนุษย์นกตัวจ้อยที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่!”
เฉียนหลงมองตามทิศทางที่เจ้าตัวน้อยบินไปอีกครั้งแล้วพูดต่อเบา ๆ ว่า “ถ้าผมคิดไม่ผิดล่ะก็ทิศทางที่เจ้าตัวน้อยนั่นบินไปคือทิศทางของผากระดูกขาว อาณาเขตของพวกไวเวิร์นสี่ขา
การบินข้ามน่านฟ้าของผากระดูกขาวกลางวันแสก ๆ ก็ไม่ต่างจากไปตายหรอก!”
ถังเจิ้นพยักหน้าเปิดกระดาษหนังที่ตาเฒ่าทิ้งไว้ให้ เมื่ออ่านอย่างละเอียดแล้วจึงบอกกับทหารที่อยู่โดยรอบ “ปะ ไปดูของดีในคลังสมบัติของพวกปีกดำกัน!”
ทหารทุกคนโห่ร้องพร้อมเพรียงเดินตามถังเจิ้นไปที่ถ้ำลับ
****************
ในหน้าผากระดูกที่ห่างออกไปหลายสิบไมล์ ไวเวิร์นสี่ขาหลายตัวค่อย ๆ ร่อนลงจากท้องฟ้า มีตัวหนึ่งที่กำกรงเล็บอยู่ได้ปามนุษย์นกปีกดำตัวน้อยตัวหนึ่งที่กำลังจะตายลงพื้น
ไวเวิร์นหนุ่มสองตัวพุ่งเข้าไปฉีกกระชากเจ้าตัวน้อยออกเป็นสองส่วนอย่างโหดเหี้ยมแล้วกลืนส่วนของตัวเองลงท้องในอึกเดียว...