1114 - แผนการสุดท้าย
1114 - แผนการสุดท้าย
ในท้ายที่สุดเย่ฟ่านก็วางกะโหลกสีขาวเหมือนหิมะของเซียนหญิงไว้ท่ามกลางขนนกอมตะก่อนจะแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
“แม้ว่าตอนมีชีวิตพวกท่านจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่เมื่อตายไปแล้วก็ขอให้พวกท่านได้อยู่ร่วมกัน” เขาถอนหายใจเบาๆ
ในรอยแยกของหน้าผาด้านล่างแท่นมีราชาโอสถโบราณบานสะพรั่งด้วยดอกไม้สีสันสดใสหลายต้น กลิ่นหอมของมันทำให้จิตใจของทั้งสามคนเบิกบานเล็กน้อย
“พวกเราอยู่ในป่าของราชาโอสถจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร” ต้วนเต๋อกล่าว
อย่างไรก็ตามพวกเขาจำเป็นต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ตอนนี้ทั้งสามคนไม่ได้รับการปกป้องจากกะโหลกศีรษะของเซียนหญิงอีกแล้ว พวกเขาไม่กล้าขยับออกจากรัศมีการปกป้องของจี้หยกรูปพระจันทร์เสี้ยวแม้เพียงเล็กน้อย
บนแท่นเต๋าอัดแน่นไปด้วยค่ายกลสังหารของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ หากทำอะไรโดยประมาทมันอาจจะทำให้ชีวิตของพวกเขาหลุดลอยไปได้เลย
น้ำตกแห่งความโกลาหลไหลลงมาด้านล่าง มีลวดลายของอักขระเต๋าโบราณมากมายกระจายตัวอยู่ ทั้งสามคนปีนลงมาด้วยความระมัดระวังก่อนจะคว้าเอาราชาโอสถติดมือมาถึงแปดต้นในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
ต้วนเต๋อและชายชราตาบอดตื่นเต้นจนตัวสั่น ต้นไม้แต่ละต้นสามารถต่ออายุให้พวกเขายืนยาวได้ถึงสี่ร้อยปี นี่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง การรับประทานพวกมันลงไปสามต้นก็สามารถเทียบได้กับยาเซียนได้เลย
เมื่อปีนลงจากแท่นเต๋าพวกเขารวบรวมราชาโอสถโบราณได้ทั้งหมดสิบสามต้น หากสิ่งนี้แพร่กระจายออกไปมันจะทำให้โลกตกตะลึงอย่างแน่นอน
“อย่างน้อยพวกเราก็ยังได้อะไรติดมือมาบ้าง!” ต้วนเต๋อตื่นเต้นจนใบหน้าแทบจะปริแตกด้วยรอยยิ้ม
ชายชราตาบอดไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เช่นกัน ดวงตาของเขาลุกเป็นไฟและแทบจะบ้าคลั่งไปแล้ว เขาเอาแต่ลูบคลำพืชโบราณทีละต้น สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้เลย
เมื่อทั้งสามไต่ลงมาถึงจุดที่พ้นจากค่ายกลสังหารจักรพรรดิแล้วเย่ฟ่านก็โยนจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวกลับขึ้นไปบนแท่นเต๋าเพื่อให้มันอยู่เคียงคู่กับกะโหลกของเซียนหญิงตลอดไป
น้ำตกแห่งความโกลาหลยังคงตกลงมาด้านล่างอย่างต่อเนื่อง หากไม่ใช่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มาด้วยตัวเอง เมื่อไม่มีจี้หยกและกะโหลกศีรษะของเซียนหญิงคอยปกป้องจะไม่มีใครสามารถปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อรบกวนพวกเขาได้
“เดี๋ยวก่อน เจ้าคิดว่าในแท่นเต๋านี้มีร่างของอู่ซือหรือเปล่า?” ต้วนเต๋อกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
“นี่……” เย่ฟ่านและชายชราตาบอดต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
“จากประสบการณ์หลายปีในการปล้นสุสานของข้า บางทีซากศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อาจนอนอยู่ภายในแท่นเต๋านี้” ต้วนเต๋อมั่นใจอย่างยิ่ง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการวิเคราะห์เท่านั้น แม้กระทั่งตอนที่มีจี้หยกและกะโหลกศีรษะของเซียนหญิงอยู่ในมือพวกเขาก็ไม่มีทางขุดเปิดแท่นเต๋าที่บรรจุร่างของจักรพรรดิอู่ซือได้
ในที่สุดพวกเขาก็เดินกลับไปตามทางเดินที่พวกเขาผ่านเข้ามา เป้าหมายสุดท้ายเย่ฟ่านอยู่ที่ระฆังปราศจากจุดเริ่มต้น
พวกเขาทั้งสามเดินกลับและผ่านโลงศพผลึกที่เรียงกันเป็นแถวซึ่งบรรจุร่างของบริวารจักรพรรดิอมตะไว้ร่างกายของพวกเขาก็แข็งค้างไปชั่วขณะ หัวใจของทั้งสามคนหนาวเหน็บอย่างถึงที่สุด
โลงศพทุกแห่งถูกเปิดออกแล้ว มีรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตมากมายสับสนวุ่นวายอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันปรากฏตัวออกจากโลงศพเมื่อครู่นี้
“ไปกันเถอะ ก่อนที่พวกมันจะกลับมา!”
ต้วนเต๋อกล่าว เขามีประสบการณ์ในการขุดค้นสุสานมากมาย สถานการณ์เช่นนี้เขาตระหนักได้ทันทีว่าซากศพที่นอนอยู่ในโลงศพผลึกเหล่านี้เพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับไหล
“อ๊าก...”
แต่ในขณะนั้นได้มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทางราวกับว่าประตูสู่นรกถูกเปิดออก และมีร่างสีดำเหี่ยวเฉามากมายนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น
พวกมันคือกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีศีรษะเป็นสัตว์อสูร อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกมันไม่ได้มีเพียงหกเท่านั้น แต่พวกมันมีมากกว่าร้อยตน
“พวกมันเป็นบริวารของจักรพรรดิอมตะจริงๆ หรือ รูปร่างของพวกมันแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตโบราณโดยสิ้นเชิง!”
ชายชราตาบอดอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังตำนานของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะมีอายุหลายพันปีแล้วก็ตาม
คนเหล่านี้ตายไปนานนับล้านปี แต่ร่างกายที่เหี่ยวเฉาของพวกเขายังคงแข็งแกร่งมากกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับผู้อมตะด้วยซ้ำ หากกลุ่มของเย่ฟ่านไม่ได้ครอบครองหม้ออสูรกลืนสวรรค์อยู่ในมือร่างของพวกเขาคงถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆแล้ว
“มีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวกำลังควบคุมศพเหี่ยวเฉาเหล่านี้ เขาต้องการแย่งชิงราชาโอสถ”
หม้ออสูรโบราณกลืนสวรรค์สั่นไหว พ่นแสงสีดำออกมาและสร้างทางเดินทอดยาวไปข้างหน้าเพื่อให้ทั้งสามคนเดินผ่านกลุ่มของซากศพที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้
อาวุธของจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมนั้นทรงพลังจริงๆ ทั้งสามคนจำเป็นต้องเร่งเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาหมดลงมันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเอาตัวรอดจากซากศพเหล่านี้
ทั้งสามกำลังวิ่งกลับทางเดิมด้วยความหวาดกลัว ที่ด้านหลังของพวกเขาซากศพที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นยังคงไล่ตามมาจากระยะไกล
“ให้ตายเถอะจักรพรรดิอมตะผู้อาวุโสคือเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกอำพรางสวรรค์ไม่ใช่หรือ เขาจะมีบริวารชั่วช้าแบบนี้ได้อย่างไร?” ต้วนเต๋อสาปแช่ง
“บูม”
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นทั้งสามคนจึงเลือกที่จะปลดปล่อยพลังของหม้ออสูรกลืนสวรรค์ให้สังหารซากศพเหล่านั้นไปส่วนหนึ่ง
“มีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวคอยชักนำอยู่เบื้องหลังของพวกมัน เราไม่อาจควบคุมหม้ออสูรกลืนสวรรค์แบบนี้ไปตลอดทางได้” ชายชราตาบอดขมวดคิ้ว
ทั้งสามคนถอยกลับอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่คัมภีร์หินวางอยู่
“พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่คนเดียว” เย่ฟ่านยัดหยกจักรพรรดิลงในรางหินอีกครั้ง
“รีบไปกับเราเร็ว เจ้าไม่มีทางรอดชีวิตได้” ชายชราตาบอดกล่าว
“เผ่าพันธุ์โบราณกำลังจะตื่นขึ้นแล้ว หากเราไม่มีไพ่ลับอยู่ในมือสุดท้ายเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะถูกพวกมันผลักดันให้กลายเป็นทาสอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เย่ฟ่านกล่าว
“เจ้าต้องการทำอะไร”
“ภูเขาสีม่วงเป็นจุดแรกของข้า ข้าต้องการให้ระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นดังขึ้นเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกันเพื่อทำให้พวกเขาสงสัยถึงชีวิตและความตายของจักรพรรดิอู่ซือ” เย่ฟ่านกล่าว
“เจ้าบ้าไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำให้ระฆังดังติดต่อกันถึงสามเดือน แม้ว่าเจ้าจะทำให้ระฆังดังสามครั้งติดต่อกันร่างกายของเจ้าก็คงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว!”
“ข้ามีวิธีที่จะป้องกันมัน เจ้ารีบไปซะ” เย่ฟ่านเร่งเร้า โดยกดชิ้นหยกจักรพรรดิลงในร่องของคัมภีร์ จากนั้นความว่างเปล่าก็บิดเบือนอย่างรุนแรง
“เจ้ากล้าที่จะอยู่เราก็กล้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่” ชายชราตาบอดยัดหม้ออสูรกลืนสวรรค์เข้าไปในมือเย่ฟ่านก่อนที่ร่างของเขาจะกระโดดเข้าไปในกระแสน้ำวนที่ปรากฏขึ้น
ต้วนเต๋อกำลังจะร้องไห้ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน เขาเพียงบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจเท่านั้น “ให้ตายเถอะ หากเจ้าทำให้อาวุธเต๋าสุดขั้วของข้าได้รับความเสียหายข้าจะตามหาร่างกายของเจ้าเพื่อขุดเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นการชดเชย”
พูดจบเขาก็เอาราชาโอสถเก้าต้นทิ้งไว้ให้เย่ฟ่าน จากนั้นเขาก็ติดตามชายชราตาบอดเข้าไปในกระแสน้ำวน!
เมื่อทั้งสองคนออกไปแล้วเย่ฟ่านก็กระตุ้นทักษะปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์และมุดลงไปใต้ดินของภูเขาสีม่วงเพื่อไปหลบซ่อนตัวอยู่ในเส้นเลือดมังกร
หลังจากนั้นเย่ฟ่านก็เดินตามเส้นเลือดมังกรไปยังทิศทางของระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว
แผนการของเย่ฟ่านคือปลดปล่อยกลิ่นอายของหม้ออสูรกลืนสวรรค์เพื่อกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของระฆังปราศจากจุดเริ่มต้น เมื่อระฆังดังขึ้นเย่ฟ่านก็กลับลงไปใต้ดินเพื่อหลบซ่อนตัวอีกครั้ง
เย่ฟ่านไม่ได้หวาดกลัวต่อซากศพที่เป็นบริวารของจักรพรรดิอมตะแม้แต่น้อย เขาเชื่อมั่นว่าหากระฆังปราศจากจุดเริ่มต้นดังเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกันต่อให้ซากศพเหล่านั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดพวกมันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความตายได้
“โฮก...”
จากทุกทิศทุกทาง เทพโบราณมากมายนับไม่ถ้วนพยายามปิดล้อมสถานที่ที่เย่ฟ่านจะปรากฏตัวขึ้น พวกมันถูกควบคุมโดยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและเขาก็รู้เช่นกันว่าเป้าหมายของเย่ฟ่านคืออะไร
ซากศพเหล่านี้แต่ละตัวมีผิวหนังแห้งเหี่ยวราวกับเปลือกไม้แห้ง ขนที่ปกคลุมอยู่บนร่างกายของพวกมันก็ยุ่งเหยิงราวกับกอหญ้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกมันจะตายไปแล้วแต่บางตัวก็ยังมีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะที่แข็งแกร่งปรากฏอยู่เหนือศีรษะ
ในอดีตนี่คือขุนพลผู้ไร้พ่ายของจักรพรรดิอมตะ เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่พวกมันคือบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกอำพรางสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
………….