บทที่ 70: ความวุ่นวายบนโลกล้วนเกิดขึ้นจากคนอย่างพวกเรา!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 70: ความวุ่นวายบนโลกล้วนเกิดขึ้นจากคนอย่างพวกเรา!
พวกเขาเห็นหลินเป่ยฟานและกลุ่มของเขากำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ผลิอยู่ นั่นจึงเป็นการดึงดูดสายตาของพวกเขา
บุรุษผู้นี้หล่อและดูไม่ธรรมดาเลย ส่วนสตรีที่มาด้วยก็โฉมสะคราญและมากเสน่ห์ยิ่ง
สายตาของพวกเขาเห็นคนทั้งสามกำลังนั่งอยู่บนพื้นในขณะที่กินของว่าง ดื่มไวน์ สนทนาเรื่องชีวิตและเพลิดเพลินไปกับชีวิตอันไร้ซึ่งสิ่งใดต้องกังวล
สตรีนางนั้นได้กล่าวว่า “ศิษย์น้อง มีคนอยู่ข้างหน้าเราพอดี! ไปถามเส้นทางเถอะ!”
ชายคนนั้นก็ตอบไปว่า “ขอรับศิษย์พี่!”
หลินเป่ยฟานก็สังเกตเห็นคนสองคนนี้เดินเข้ามาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์จากเจียงหู่
ชายผู้นี้มีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินหลวมเล็กน้อยและสะพายดาบอยู่บนหลัง
ส่วนสตรีผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบปี ดูมากมารยาทฃและงามหยดย้อย ผมสีดำของนางปลิวไสวไปตามสายลม นางสวมเสื้อคลุมฮั่นฝูสีม่วงผสมสีขาว ดูนุ่มนวลและองอาจคล้ายวีรสตรี!
พูดตามตรง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินเป่ยฟานได้พบผู้ฝึกวิชายุทธ์จากเจียงหู่ แต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีลักษณะเช่นนี้มาก่อน พวกเขาเปล่งประกายจิตวิญญาณแห่งความอ่อนเยาว์ไปทั่วร่างกาย ดูท่าคงมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง
ในยามนั้นเอง พวกเขาก็มาถึงต่อหน้าหลินเป่ยฟาน
สตรีในชุดสีม่วงคำนับมือแล้วกล่าวว่า “สวัสดีสหายทั้งสาม! พวกเราสองพี่น้องมาจากทางเหนือของเหอเป่ยและกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง! แต่เราไม่รู้ทางเลยมาถามทาง เราหวังว่าพวกท่านจะสามารถช่วยเราได้ ขอบคุณ!”
หลินเป่ยฟานหัวเราะ “เมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อีกไม่นานเราก็จะไปที่นั่น! คล้ายดั่งพรหมลิขิตต้องชะตาให้เรามาพบกัน ข้ามีไวน์ชั้นดีอยู่พอดี ข้าอยากจะชวนพวกท่านสองคนมาร่วมดื่มกัน ให้เกียรติข้าได้ไหม?”
สตรีผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ศิษย์พี่ เราอยู่บนถนนมาครึ่งวันแล้ว ทั้งเราและม้าต่างก็เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทำไมเราไม่พักสักหน่อยล่ะ?” สตรีผู้นั้นหันศีรษะไปมองศิษย์น้องของตนที่กำลังจ้องมองสตรีทั้งสองที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
นางได้แต่ถอนหายใจออกมา
เขาบอกว่าอยากพักผ่อน แต่เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาแอบแฝง!
แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาก็เหน็ดเหนื่อยมากอย่างที่กล่าวไป
สตรีในชุดสีม่วงจึงโค้งคำนับและยิ้ม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน!”
"เชิญเลย!" หลินเป่ยฟานยิ้ม
ทั้งสองลงจากหลังม้าและมัดบังเหียนไว้ จากนั้นพวกเขาก็มาหาหลินเป่ยฟานและนั่งลงบนพื้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเป่ยฟานจึงได้รินไวน์หนึ่งแก้วให้พวกเขาแล้วก็ตะโกนออกมา “ชน!”
ทั้งสองจิบแล้วถึงขั้นต้องอุทานออกมาว่า "นี่มันไวน์ชั้นเลิศ!"
หลินเป่ยฟานยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว ไวน์ชั้นเลิศย่อมคู่ควรกับผู้มากความสามารถ!”
เมื่อได้ยินหลินเป่ยฟานกล่าวเช่นนั้น ทั้งสองจึงยิ้มออกมา
จากนั้นพวกเขาก็คุยกันไป
จากการสนทนา พวกเขาได้รู้ว่าชายผู้นี้ชื่อกัวเส้าส้วย และสตรีผู้นั้นชื่อโม่หรูซวง พวกเขามาจากประตูดาบเหล็กทางตอนเหนือของเหอเป่ย และมาที่นี่เพื่อจัดการกิจบางอย่างในเมืองหลวง
หลินเป่ยฟานแนะนำตัวเองว่าตนเป็นเพียงชายหนุ่มรูปงามธรรมดาๆ
พวกเขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ข้าน่ะได้ยินกิตติศัพท์ของเจียงหู่มานานแล้ว!” หลินเป่ยฟานยิ้มและถามทั้งสองด้วยความอยากรู้
“พวกท่านช่วยเล่าเรื่องที่น่าสนใจจากเจียงหู่ให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
นี่คือจุดประสงค์ของเขาที่หยุดทั้งสองไว้ เพราะเขาแค่อยากรู้เรื่องราวในเจียงหู่เพียงเท่านั้นเอง
"ท่านหลิน ท่านคิดว่าเจียงหู่เป็นสถานที่เช่นไร?” โม่หรูซวงยิ้มและเอ่ยถาม
“ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นมีเจียงหู่!” หลินเป่ยฟานยิ้มและตอบกลับไป
“ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นมีเจียงหู่…” ดวงตาของโม่หรูซวงพลันเป็นประกาย
“ท่านพูดได้ดี! คุณชายหลิน ความเข้าใจของท่านลึกซึ้งมาก!”
“มิใช่ มิใช่…ข้าคิดว่าเจียงหู่เป็นสถานที่ที่ผู้ใดก็สามารถแสดงความกล้าหาญและมีชื่อเสียงได้! ตราบใดที่แข็งแกร่งมากพอ ก็สามารถใช้ดาบเพื่อจัดการความอยุติธรรมทั้งหมดในโลกหล้าและฆ่าผู้ไร้คุณธรรมทั้งหมดได้!”
กัวเส้าส้วยกล่าวออกมา หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็ชำเลืองมองไปยังสตรีสองนางที่อยู่ข้างๆ หลินเป่ยฟาน
ทว่าสายตาของพวกนางทั้งสองก็จับจ้องไปแต่หลินเป่ยฟานโดยไม่ละสายตาสักนิดเดียวน้อย ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาได้แต่รู้สึกอิจฉาที่ชายตรงหน้าเขามีดีแค่ความหล่อมากกว่าเขาเท่านั้น แค่รูปโฉมงดงามก็ได้เปรียบกว่าแล้วหรือ?
หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาเล็กน้อย “น้องชายเกา ยามนี้เจ้ายังเด็กและเห็นเพียงสิ่งสวยงามของเจียงหู่เท่านั้น แต่ไม่ใช่กองกระดูกที่อยู่เบื้องล่าง เจ้าจะเข้าใจเองเมื่อแก่แล้ว! ดังคำกล่าวที่ว่า...เมื่อลมและเมฆมาเยือน พวกเราในเจียงหู่ล้วนแก่ชราลง! ถกเถียงแต่เรื่องวิสัยทัศน์และอำนาจด้วยรอยยิ้ม ไม่อาจตัดขาดจากความมัวเมาในชีวิตไปได้!” สตรีทุกนางที่อยู่ที่นี่เมื่อได้ฟังต่างก็มีดวงตาเป็นประกาย
“ช่างเป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ท่านช่างมีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์กวีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
กัวเส้าส้วยรู้สึกอิจฉาอีกครั้ง
มันยอดเยี่ยมตรงไหนกัน? เพียงเพราะเก่งเรื่องการประพันธ์งั้นหรือ? เจ้าสิ่งนี้สามารถเติมเต็มท้องได้หรือไง?
"ท่านหลิน ท่านเพิ่งยังหนุ่ม ไฉนท่านถึงมีความคิดที่ลึกซึ้งได้เช่นนี้?” โม่หรูซวงหันมองและยิ้มออกมา
“การมองผ่านวิถีของโลกคือการเรียนรู้ การเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์คือการขีดเขียน! ยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น มันไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น!” หลินเป่ยฟานตอบด้วยรอยยิ้มอันบางเบา
โม่หรูซวงได้แต่ถอนหายใจออกมา “ท่านพูดได้ดีมาก! หากทุกคนมีความเข้าใจลึกซึ้งเช่นท่านหลิน ความขัดแย้งในเจียงหูก็คงจะน้อยลงมาก! ช่างโชคร้ายที่หลายคนไม่สามารถคิดเช่นนี้ได้ แม้จะตายไปแล้วก็ตาม! เช่นนี้เมื่อไรเจียงหูจะสงบลงได้กัน?”
“ตราบใดที่ยังมีผู้คนอยู่ เจียงหูก็จะไม่มีวันสงบลง!” หลินเป่ยฟานกล่าว
“ข้าคิดว่าการยุติความขัดแย้งในเจียงหู จำเป็นจะต้องมีความแข็งแกร่งและหมัดที่ใหญ่กว่า! ตราบใดที่มีพละกำลังมากและมีหมัดที่ใหญ่เพียงพอ ก็จะไม่มีใครกล้าต่อต้าน! แต่หากพวกเขาไม่ยอม ก็ทุบตีพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะยอม!” กัวเส้าส้วยกล่าวขึ้นมาอีกครา
“ภูเขาทุกลูกล้วนสูงใหญ่ ไม่ว่าเช่นไรก็ยังมีภูเขาที่สูงกว่าเสมอ เช่นนั้นสิ่งใดคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง?” หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม
“ข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ข้าจะฝึกฝนให้ตัวข้าแข็งแกร่งที่สุด! ในอนาคตอันใกล้นี้ ข้าจะยุติความวุ่นวายในเจียงหู!”
“นั่นเป็นการพูดคุยใหญ่โตเกินจริง เจ้าแข็งแกร่งจริงหรือ?”
“แน่นอนว่าข้าต้องแข็งแกร่งอยู่แล้ว! ยามนี้ข้าอายุ 17 ปี ถึงจุดสุดยอดของระดับแปด ก่อนอายุ 20 ข้าจะไปถึงระดับ 7 และก่อนอายุ 25 ข้าหวังว่าจะไปถึงขอบเขตต้นกำเนิด ในอนาคต ข้าหวังว่าจะฝึกฝนไปสู่ขอบเขตปรมาจารย์!” หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เต็มไปด้วยพลังใจอันแรงกล้า
หลินเป่ยฟานหันศีรษะไปมองเจ้าหญิงตัวน้อย เจ้าหญิงน้อยพยักหน้าแล้วชกออกมาทันที กัวเส้าส้วยไม่สามารถโต้ตอบได้ทันการและถูกส่งกระเด็นไปพร้อมกับดวงดาวภายในดวงตาของเขา หลินเป่ยฟานหันศีรษะกลับไป
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่แข็งแกร่งพอ เรามาคุยกันต่อจากเรื่องเมื่อครู่กันต่อเถิด!”
กัวเส้าส้วย "ไอ้บัดซบ!"