ตอนที่ 583 อสูรกายกลืนวิญญาณ
ตอนที่ 583 อสูรกายกลืนวิญญาณ
เมื่อช่องว่างมิติที่ซ่อนอยู่ได้กระทบเข้ากับอาณาเขตอันทรงพลัง ช่องว่างมิตินั้นก็ค่อย ๆ แตกออกเป็นชิ้น ๆ
อย่างไรก็ตามความคืบหน้าของการทำลายช่องว่างมิติก็ถือว่าช้ามาก ยิ่งไปกว่านั้นช่องว่างมิติยังปรากฏตัวขึ้นและหายตัวไปเป็นระยะ ๆ แล้วมันก็คงจะต้องใช้เวลานานพอสมควรเซี่ยเฟยจึงจะสามารถทะลวงผ่านช่องว่างมิตินี้ไปได้
แต่สิ่งที่เซี่ยเฟยขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเวลา!!
สาเหตุที่ชายหนุ่มสามารถค้นหาช่องว่างมิตินี้ได้ง่าย ๆ นั่นก็เพราะปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในรอบหลายพันปีเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าเขาพลาดโอกาสนี้ไป มันก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องรอไปอีกกี่พันปีเขาถึงจะมีโอกาสดี ๆ แบบนี้ใหม่
“พอเถอะ เขตอาคม... เป็นเขตอาคมที่มีเอาไว้สำหรับค้นหาไม่ใช่เขตอาคมที่มีเอาไว้สำหรับการทำลาย ยิ่งไปกว่านั้นรอยแยกมิตินั่นก็มีขนาดใหญ่มากเกินไป ตอนนี้นายทำได้ดีมากแล้วอย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไปเลย” โอโร่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ ขณะที่เขาได้เห็นร่างของชายหนุ่มที่ตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ยอมแพ้?
เซี่ยเฟยกำลังเห็นกับตาอยู่ชัด ๆ ว่าช่องว่างมิตินั้นกำลังถูกทำลาย แล้วเขาจะยอมแพ้ไปง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง
เซี่ยเฟยกัดฟันแน่นพยายามที่จะดิ้นรนทำลายช่องว่างมิติออกไปให้ได้ แต่ในเวลาเดียวกันคริสตัลต้นกำเนิดรอบ ๆ ตัวของเขาก็กำลังหรี่แสงลงมากขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าพลังงานภายในเขตอาคมนี้ใกล้ที่จะหมดลงแล้ว
เสียงกรีดร้องของปีศาจยังคงดังกึกก้องอยู่ภายในหู แล้วมันก็ยิ่งผลักดันให้เซี่ยเฟยต้องการจะเปิดช่องว่างมิติขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจุดแสงสีม่วงไม่เพียงแต่จะไม่ถูกบังคับให้เปิดออกเท่านั้น แต่มันยังค่อย ๆ หรี่แสงลงไปด้วยเนื่องจากพลังงานภายในเขตอาคมใกล้ที่จะหมดลงแล้ว
มันจบแล้ว!
มันจบแล้วจริง ๆ เหรอ?!
ในขณะที่ช่องว่างมิติสีม่วงกำลังจะหายไป จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็ตัดสินใจกระโดดออกจากศูนย์กลางเขตอาคมเข้าสู่ช่องว่างมิตินั้นโดยตรง
ฝ่ามือใบไม้ร่วง!
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างแผ่วเบาขณะที่กฎแห่งความโกลาหลถูกดูดซับเข้าไปภายในช่องว่างมิตินั้นทันที จนทำให้พลังของกฎแห่งความโกลาหลอ่อนกำลังลงไปมาก แต่มันกลับสามารถขยายช่องว่างมิติออกมาได้มากกว่า 10 เซนติเมตร
“มันได้ผลงั้นเหรอ?!” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มจู่โจมด้วยฝ่ามือใบไม้ร่วงอีกครั้ง
ชายหนุ่มทำการจู่โจมเข้าใส่ช่องว่างมิติไปซ้ำ ๆ จนทำให้มันถูกฉีกออกจนมีขนาดมากพอจะรองรับคนคนหนึ่งเข้าไปได้
‘นี่มันวิชาอะไรกันเนี่ย! ถึงขนาดที่มันสามารถทะลวงผ่านช่องว่างมิติไปได้ด้วยงั้นเหรอ?’ โอโร่ตะโกนขึ้นมาภายในใจด้วยความตกตะลึง
ในที่สุดเมื่อเซี่ยเฟยพบว่ารอยแยกของช่องว่างมิตินี้ถูกเปิดอ้าจนมากพอแล้ว เขาก็รีบกระโจนเข้าไปในช่องว่างมิติตรงหน้าทันที
แว้บ!
เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมายังอีกด้านของช่องว่างมิตินั้น แสงสีขาวที่สว่างเจิดจ้าก็ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยแทบที่จะมองอะไรไม่เห็น
อย่างไรก็ตามก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไปสำรวจด้านหน้า เขากลับหันหน้ามามองพื้นที่ช่องทางเข้าอย่างกังวล
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดก็ตามที่เรากลับมาก่อนสิ้นสุดปรากฏการณ์สามดาวหุ้มพระจันทร์ นายก็สามารถออกไปด้านนอกได้โดยไม่มีปัญหา ตอนนี้เรารีบตรวจสอบช่องว่างมิตินี้ก่อนเถอะ” โอโร่กล่าวตอบก่อนที่เซี่ยเฟยจะเริ่มถาม เพราะเขารู้ว่าชายหนุ่มกำลังกังวลเรื่องอะไร จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปว่า
“ปกติแล้วช่องว่างมิตินี้จะต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปีในการสร้างมันขึ้นมา แล้วโดยทั่วไปมันก็มักจะถูกสร้างขึ้นมาไว้เพื่อเก็บสิ่งของสำคัญ”
“สมบัติงั้นเหรอ?!” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“มันก็มีโอกาสเป็นไปได้”
เซี่ยเฟยใช้เวลาไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเพื่อให้ตาของเขาปรับสภาพเข้ากับสภาวะแสงในปัจจุบัน ก่อนที่เขาจะสังเกตพบว่าภายในช่องว่างมิตินี้เป็นทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกแดนดิไลออนฟุ้งกระจายอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า แล้วมันก็มีพระอาทิตย์อันสว่างเจิดจ้าลอยอยู่ทางด้านบนศีรษะของเขาด้วย
วี้ด!
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาอีกครั้งและชายหนุ่มก็สัมผัสได้เลยว่าต้นกำเนิดเสียงนั้นมาจากอีกด้านหนึ่งของภูเขา
อย่างไรก็ตามเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นภายในช่องว่างมิติโดยตรงนี้ก็มีความน่ากลัวมากกว่าตอนที่เขาได้ยินอยู่ทางด้านนอกมาก แต่โชคดีที่สภาวะจิตใจของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมากแล้ว เขาจึงสามารถทนรับเสียงกรีดร้องนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
“รีบไปดูตรงนั้นกันเถอะ”
เซี่ยเฟยเร่งความเร็วอย่างฉับพลันก่อนที่เขาจะได้พบกับทุ่งดอกทานตะวันสีเหลืองทองบานอยู่ทั่วทั้งหุบเขา
ชายหนุ่มพยายามมองหาว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากตรงไหน แต่จู่ ๆ เขาก็ได้พบกับแอวริลที่กำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังดอกทานตะวันราวกับว่าเธอกำลังพยายามเล่นซ่อนหา
“แอวริล... ทำไมเธอถึงมาที่นี่?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“อะไรกัน นี่นายหาฉันเจอเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ? นายแอบดูฉันก่อนนับเวลาจนหมดหรือเปล่าเนี่ย” แอวริลหน้ามุ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ใช่ พี่เซี่ยเฟยจะต้องโกงแน่ ๆ”
เสียงของเด็กผู้หญิงอีกคนที่ได้พูดแทรกขึ้นมาทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง เพราะเธอคือเด็กสาวที่เป็นตราบาปภายในใจของเขาตลอดมานั่นก็คือเซียวรั่วหยูนั่นเอง
เด็กหญิงตัวเล็กยืนกอดอกอยู่ใต้ดอกทานตะวันพร้อมกับใช้ใบหน้ากลม ๆ ของเธอจ้องมองมาทางเซี่ยเฟย พร้อมกับแก้มทั้งสองข้างที่กำลังป่องออกอย่างน่าเอ็นดู
“เสี่ยว... เสี่ยวหยู…”
“ทำไมเสี่ยวหยูกับแอวริลถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกันได้!?”
“พี่เซี่ยเฟย พวกเราไปตกปลากันเถอะ” เซียวรั่วหยูวิ่งเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ก่อนที่เธอจะคว้าแขนของเซี่ยเฟยและแอวริลวิ่งไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ไม่ไกล
แม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายมาก แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยวก่อนที่เขาจะรีบตั้งสติและลงมืออย่างฉับพลัน
ฉึก!
บลัดบิวเทียสปรากฏขึ้นภายในมือของเซี่ยเฟย ก่อนที่เขาจะแทงดาบเล่มนี้เข้าไปยังหน้าอกของแอวริลอย่างไร้ปรานี
เลือดสีแดงฉานถูกดูดเข้าไปในบลัดบิวเทียสอย่างรวดเร็ว และใบหน้าอันสวยงามของแอวริลก็ค่อย ๆ ซูบผอมจนกลายเป็นใบหน้าอันเหี่ยวย่นคล้ายกับซากศพอันเหี่ยวแห้ง
“พี่เซี่ยเฟย! พี่ทำกับพี่แอวริลแบบนี้ทำไม?!” เซียวรั่วหยูถามพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาด้วยความเสียใจ
ฉึก!
เซี่ยเฟยแทงเซียวรั่วหยูอีกครั้งทำให้ร่างของเด็กสาวล้มตัวลงไปนอนกับพื้น
“พี่เซี่ยเฟยทำร้ายฉันทำไม? หลังจากนี้ฉันจะไม่เล่นกับพี่อีกแล้ว”
ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับรูปปั้นหินโดยไม่สนใจท่าทางอันเจ็บปวดของแอวริลและเซียวรั่วหยูเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามดวงตาของเขากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายกับว่าเขาต้องพยายามข่มความโกรธเอาไว้ภายในใจ
“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร แต่เมื่อแกกล้าที่จะแตะต้องคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน แกก็จะต้องตาย!!” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
พายุมิติปิดล้อม!
คลื่นพายุมิติอันรุนแรงก่อตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันพุ่งเข้ากวาดล้างทุ่งทานตะวันและทำให้พื้นที่บริเวณนี้ถูกทำลายลงไปในพริบตา
ในที่สุดแสงสว่างอันเจิดจ้าก็หายไปหลงเหลือเพียงแค่ความมืดมิดที่เข้ามาแทน
ปัจจุบันเซี่ยเฟยได้ยืนอยู่ในดินแดนที่มืดมิดและแห้งแล้ง โดยมีสัตว์ประหลาด 2 ตัวกำลังดิ้นรนอยู่ใต้เท้าของเขา
ผิวของพวกมันเป็นผิวสีดำสนิทและร่างของมันก็กำลังมีของเหลวสีเขียวอันน่าขยะแขยงไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกันรอบ ๆ ตัวของชายหนุ่มก็มีสัตว์ประหลาดน่าเกลียดพวกนี้รุมล้อมเขาอยู่นับพัน แล้วพวกมันก็กำลังเผยรอยยิ้มอันขยะแขยงและจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาแห่งความกระหาย
“ไอ้พวกนี้คืออสูรกายกลืนวิญญาณที่ชอบหลอกให้คนหลงเข้าไปภายในภาพมายา โชคดีที่นายสังเกตเห็นภาพมายานั้นได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็คงจะเลวร้ายมาก” โอโร่กล่าวด้วยความตกใจเมื่อได้พบกับพวกอสูรกายในช่องว่างมิติ
นอกเหนือจากโอโร่จะรู้สึกตกใจแล้วเขายังรู้สึกประทับใจกับสภาวะจิตใจอันมั่นคงของเซี่ยเฟยมาก ท้ายที่สุดอสูรกายพวกนี้ก็มักที่จะสร้างภาพมายาขึ้นมาจู่โจมเข้าใส่จุดอ่อนของเหยื่อพวกมันโดยตรง มันจึงทำให้แม้แต่นักสู้ชั้นนำของจักรวาลก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับพวกมันได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยกลับสามารถมองผ่านภาพลวงตาได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกของการเอาดาบแทงเข้าไปในหัวใจของแอวริลและเซียวรั่วหยูก็มีความสมจริงมากเกินไป จนทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถระงับโทสะภายในใจของเขาได้
“มันไม่สำคัญหรอกว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไร สิ่งที่สำคัญคือวันนี้พวกมันจะต้องตายทั้งหมด!!”
การที่อสูรกายพวกนี้กล้าแตะต้องคนสำคัญภายในใจของเซี่ยเฟย มันจึงได้ปลุกปีศาจภายในส่วนลึกของจิตใจชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ในเวลาที่เขากำลังบ้าคลั่งมันก็อย่าว่าแต่พวกอสูรกายเหล่านี้เลย เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นนักรบชั้นยอดของจักรวาล แต่เซี่ยเฟยก็คงจะลงมือจู่โจมโดยไม่ลังเล
ฆ่า!
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานพื้นสีดำสนิทก็ถูกปกคลุมไปด้วยซากศพกองเป็นพะเนิน ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่คิดที่จะไว้ชีวิตพวกมันแม้แต่ตัวเดียว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถทำใจให้กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่งได้
“นี่นายฆ่าพวกมันไปเป็นแสนตัวเลยเนี่ยนะ?!” โอโร่อุทานขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นับตั้งแต่ที่เซี่ยเฟยเริ่มเคลื่อนไหวครั้งแรก เขาก็ทำการสังหารอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็คือผลตอบแทนจากการที่มีใครเข้าไปแตะต้องคนสำคัญของชายหนุ่ม เพราะเซี่ยเฟยจะไม่หยุดลงมือจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้ลงไปอยู่ในนรก
อสูรกายส่วนใหญ่ที่ถูกเซี่ยเฟยสังหารหมดสภาพลงไปแล้วและกลายเป็นเพียงแค่ซากศพที่แห้งเหี่ยวเท่านั้น แต่อสูรกายบางส่วนที่แค่ร่างกายถูกแบ่งแยกออกจากกันก็เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของมันจะกลายเป็นมนุษย์
“ไอ้พวกนี้มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถรวมตัวเข้าด้วยกันได้” โอโร่กล่าวอธิบายอย่างเคร่งขรึม
จอมมารผู้นี้ไม่รู้ว่าพวกอสูรกายแสดงอะไรให้เซี่ยเฟยเห็น มันถึงทำให้ชายหนุ่มระเบิดความโกรธออกมาอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่โอโร่พยายามเตือนตัวเองซ้ำ ๆ คือถ้าหากว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เขาก็ไม่ควรจะเข้าไปแตะต้องสิ่งสำคัญของเซี่ยเฟยอย่างเด็ดขาด
“พวกแกต้องตายให้หมด!!”
เซี่ยเฟยรอให้อสูรกายพวกนั้นรวมตัวกันใหม่ก่อนที่จะเริ่มทำการโจมตี เพราะการที่พวกมันได้มารวมตัวกัน มันก็หมายความว่าเขาจะสามารถจัดการพวกมันทั้งหมดได้ด้วยการจู่โจมเพียงแค่ครั้งเดียว
บลัดบิวเทียสถูกตวัดออกไปนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมันก็ไม่มีใครสามารถนับจำนวนการจู่โจมของเซี่ยเฟยได้ เพราะแม้แต่คนจู่โจมอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ฟาดฟันดาบออกไปแล้วกี่ครั้ง
เมื่อเซี่ยเฟยหยุดเคลื่อนไหวอสูรกายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดจนไม่เหลือพวกมันเลยแม้แต่ตัวเดียว
ถุย!
เซี่ยเฟยถุยน้ำลายลงบนซากศพ ก่อนที่เขาจะหยิบขวดน้ำมันออกมาราดซากศพที่กองพะเนิน จากนั้นเขาก็เริ่มจุดไฟเพื่อเผาซากศพเหล่านี้ทิ้งไปซะ
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมายังโหมกระหน่ำเปลี่ยนพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณนี้ให้กลายเป็นสีแดงฉาน
“อย่าคิดว่าพวกแกตายแล้วฉันจะยอมปล่อยพวกแกไปง่าย ๆ พวกแกจะต้องกลายเป็นเพียงแค่เถ้าถ่านและหายไปจากจักรวาลแห่งนี้ซะ!”
ท่าทางอันโหดเหี้ยมของเซี่ยเฟยทำให้โอโร่ขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็ยิ่งได้ข้อสรุปภายในใจว่าเซี่ยเฟยคือคนที่เขาไม่สมควรจะเข้าไปยั่วยุจริง ๆ
เมื่อไม่มีพวกอสูรกายมิติแห่งนี้ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงแค่เสียงเปลวไฟที่โหมกระหน่ำและเสียงลมที่พัดผ่านพื้นที่บริเวณนี้เพียงแค่เบา ๆ เท่านั้น
ในที่สุดพื้นที่ภายในมิติก็เริ่มเปลี่ยนไปเผยให้เห็นค้อนขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ค้อนอันนี้มีขนาดใหญ่มาก เพราะเพียงแค่หัวค้อนก็มีความสูงหลายสิบเมตรและมันก็คงจะมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 1 ล้านตัน
“นายรู้ไหมว่าสิ่งที่นายกำลังเห็นอยู่นั่นคืออะไร?” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ค้อนอันใหญ่แบบนี้น่าจะเทอะทะเกินไปที่จะนำมาใช้เป็นอาวุธ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเอาไปทำอะไรอื่นอีกได้บ้าง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
***************
ของดีไหม? สมบัติรึเปล่า? แต่การโมโหของพี่เฟยรอบนี้ถือว่าขู่โอโร่ได้อยู่นะว่าไหม…