บทที่ 6 การแต่งงาน
ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว และดูเหมือนเฟิ่งหยินซวงจะหลีกเลี่ยงพิธีแต่งงานในวันนี้ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่านางต้องแต่งงานกับสามีที่มีรสนิยมกินเนื้อมนุษย์จริง ๆ มันก็คงดีกว่าการแต่งงานกับปีศาจจำแลงกายอย่างหนานหยูเทียนก็แล้วกัน
“เคารพสวรรค์และโลก!”
สิ้นคำของผู้ทำพิธี ทั้งสองก็โค้งคำนับให้กับฟ้าดิน
“เคารพบรรพบุรุษ!”
เนื่องจากกษัตริย์ชิงผิงสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กจึงมีเพียงแท่นที่นั่งว่างเปล่าให้โค้งคำนับเท่านั้น
“บ่าวสาวเคารพซึ่งกันและกัน!”
เฟิ่งหยินซวงรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในใจ นี่เป็นการเข้าพิธีแต่งงานครั้งที่สองของนาง แม้จะเป็นเพียงการงานแต่งงานกำมะลอ แต่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็ถือว่าได้แต่งงานกับผู้ชายมาแล้วถึงสองคน
“ส่งตัวเข้าห้องหอ!”
พิธีแต่งงานจบลงแล้ว นางและกษัตริย์ชิงผิงถือเป็นสามีภรรยากันตามประเพณี และเมื่อพูดถึงตัวตนในปัจจุบันของนางแล้วนั้น ฐานะของนางตอนนี้ก็คือ ‘องค์หญิงแห่งชิงผิง’ โดยสมบูรณ์
หลังจากผ่านการเดินทางมาเป็นเวลานาน ทันทีที่แผ่นหลังเล็กสัมผัสเข้ากับผืนเตียงนุ่ม เฟิ่งหยินซวงก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาในทันใด
นางเพิ่งมีโอกาสได้อยู่ตามลำพังในห้องหอ นัยน์ตาใสเหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เค้กแต่งงานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาทหรอกหน่า แต่นางยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า การชิมเค้กสักคำสองคำก็คงไม่ต้องโทษร้ายแรงมากกระมัง
เฟิ่งหยินซวงนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ พลางนึกถึงคู่แต่งงานอีกคู่หนึ่ง พิธีของฝั่งนางลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้วจึงได้แต่หวังว่าพิธีของอีกฝั่งจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีไม่แพ้กัน
นางนึกภาวนาอวยพรให้กับน้องสาวคนเก่งอยู่ในใจ
หวังว่าเฉินหยิงจะสามารถเข้าพิธีการได้อย่างราบรื่นปลอดภัยก็แล้วกัน
...
หนานหยูเทียนไม่ได้รับรู้ว่ามีการสลับตัวเจ้าสาวอย่างที่เฟิ่งหยินซวง คาดการณ์ไว้ เพราะนอกจากความสูงของเฉินหยิงจะใกล้เคียงกับเฟิ่งหยินซวงแล้ว ชุดแต่งงานของพวกนางก็ยังคล้ายกันอีกด้วย ตราบใดที่นางยังไม่เปิดผ้าคลุมหน้าก็คงไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสาวขององค์ชายสามถูกสลับตัวไปแล้ว
เดิมทีหนานหยูเทียนไม่ใช่รัชทายาทที่โดดเด่นที่สุด แต่เพราะเขาได้แต่งงานกับหลานสาวของเฟิ่งไท่ซือผู้ดำรงตำแหน่งในราชสำนักมาอย่างยาวนาน และได้รับการยกย่องอย่างสูงจากฮ่องเต้ เขาจึงเป็นที่สะดุดตาขึ้นมา
หากหนานหยูเทียนไม่ได้รับการสนับสนุนจากเฟิ่งไท่ซือและตระกูลเฟิ่งก็คงไม่สามารถเป็นที่สนใจในราชสำนักได้
เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้สถาปนาองค์ชายแต่ละพระองค์ขึ้น หนานหยูชิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทอันดับที่หนึ่ง แม้เขาจะมีนิสัยอ่อนโยน ขี้ขลาด ยากที่จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เพราะเขาก็เกิดจากพระมเหสีคนแรกผู้เป็นรักแรกของท่าน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเจ้าสมบัติขององค์ชายใหญ่จะปานกลางไม่โดดเด่น แต่ฮ่องเต้ก็รักลูกชายคนนี้มากที่สุด
องค์ชายสอง หนานหยูเฉิน ผู้หลงใหลในศาสตร์การเมืองการปกครองมาตั้งแต่ยังเด็ก นับเป็นผู้ที่เป็นผู้เก่งกาจ และโดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด
องค์ชายสี่ และองค์ชายห้าเกิดจากนางสนมจิงซึ่งเป็นลูกสาวของนายพลหลี่ผู้ล่วงลับ นายพลหลี่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักร เขาติดตามฮ่องเต้ไปทุกที่เพื่อเปิดดินแดนและพิชิตประเทศทางตอนใต้ของราชวงศ์ฉู่ ทำให้นางสนมจิงได้รับเกียรติเป็นบุตรีของวีรบุรุษ และส่งต่อเกียรติยศนี้ให้กับบุตรชายทั้งสองของนางด้วย
องค์ชายทุกพระองค์ล้วนมีความสามารถและชาติกำเนิดหนุนหลังกันทั้งหมด
มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่ไม่มีความสามารถโดดเด่นหรือผู้หนุนหลังเลยสักคน
นางสนมลี่มารดาขององค์ชายสามเป็นเพียงสตรีสามัญชนที่ฮ่องเต้ประทับใจในการเต้นระบำ จึงได้เรียกตัวมารับใช้ในวังก่อนจะแต่งตั้งขึ้นเป็นนางสนม และเพราะนางให้กำเนิดบุตรแก่พระองค์ องค์ชายสามจึงเป็นหนึ่งในรัชทายาทด้วยอีกคน แม้จะอยู่แค่ปลายแถวก็ตาม
แต่ครั้งนี้สถานะของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง องค์ชายสามได้แต่งงานกับหลานสาวของเฟิ่งไท่ซือก็เหมือนราชสีห์ได้ติดปีก มั่นใจเหลือเกินว่าในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้เขาต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน!
หลังจากเสร็จพิธีการและทำการส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอแล้ว องค์ชายสามก็อยู่กินดื่มกับเพื่อน ๆ ที่งานต่อ ฮ่องเต้เสด็จกลับวังไปแล้วตั้งแต่จบพิธี เหลือเพียงนางสนมลี่ผู้เป็นมารดาที่ยังอยู่ช่วยส่งแขก และเมื่อแขกคนสุดท้ายออกจากงานไปแล้วเรียบร้อย สนมลี่ก็ให้คนไปตามองค์ชายสามให้เข้าพบที่ห้องรับรองทันที
“องค์ชายสาม แม่ดีใจเหลือเกิน แม้จะมีการพลิกผันอยู่หลายครั้ง แต่ลูกสาวของตระกูลเฟิ่งก็ตกมาเป็นของเราจนได้ บัลลังก์นี้ต้องตกอยู่ในมือลูกในเร็ว ๆ นี้แน่นอน”
เดิมทีฮ่องเต้ต้องการออกกฤษฎีกาให้เฟิ่งหยินซวงแต่งงานกับองค์ชายใหญ่ สนมลี่จึงกลัวว่าสมบัติต่าง ๆ จะตกมาไม่ถึงลูกชายของนาง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้หนานหยูเทียนได้รับความโปรดปรานจากเฟิ่งหยินซวง และรีบเจรจาสู่ขอจากเฟิ่งไท่ซือในทันที ทำให้ฮ่องเต้ทำได้เพียงยินยอมและล้มเลิกความตั้งใจเดิมเสีย
“ข้าเบื่อเหลือเกินท่านแม่ ถ้าไม่ใช่เพื่อบัลลังก์ องค์ชายสามคนนี้คงจะได้กระทำการหยาบคายกับนางในสักวัน”
หนานหยูเทียนบ่นอย่างหัวเสีย เขาละทิ้งภาพลักษณ์สง่างามและอ่อนโยนไปชั่วคราวเพราะความหงุดหงิด เฟิ่งหยินซวงที่ดูเหมือนนางฟ้านั่น แท้จริงเป็นคนดื้อรั้นและเอาแต่ใจเป็นที่สุด ที่องค์ชายสามยอมจำนนและอ่อนข้อให้ก็เพื่อการแต่งงานในวันนี้ มิเช่นนั้นเขาคงหมดความอดทนกับนางไปนานแล้ว
“อย่าหงุดหงิดไปเลยหวงเอ๋อร์ อย่างไรพวกเจ้าก็แต่งงานกันแล้ว ในอนาคตนางก็ต้องปฏิบัติตามกฎของภรรยาที่ดี ค่อย ๆ ปรับตัวกันไปเถิด”
สนมหลี่แสยะยิ้ม
“อย่าลืมสิว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้า งานเลี้ยงฉลองจบลงแล้ว รีบเข้าห้องหอแล้วจบงานของเจ้าซะ ยิ่งเจ้าทำให้นางหลงรักเจ้าได้มากเท่าไร เจ้าก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ได้เร็วเท่านั้น”
“ข้าประกาศไว้ที่นี่เลยนะท่านแม่ เมื่อไรที่แผนการของเราสำเร็จ เมื่อไรที่ข้าได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ เฟิ่งหยินซวงจะเป็นคนแรกที่ข้าจะกำจัดทิ้ง!”
...
ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลงแล้ว และเฟิ่งหยินซวงก็รู้สึกง่วงมากจนเกือบวูบหลับไปหลายรอบ แต่เพราะตอนนี้นางอยู่ในวังชิงผิง สถานที่ที่หญิงสาวหลายคนขนานนามว่า ‘ขุมนรก’ อีกทั้งสามีของนางยังเป็นพวกคลั่งไคล้การฆ่าคนและดื่มกินเลือดมนุษย์ ซึ่งหากนางสามารถนอนหลับลงในเวลานี้ได้ นางคงเป็นสตรีที่จิตใจแข็งแกร่งมากเหลือเกิน
และแล้วสิ่งที่นางกังวลก็มาถึงเมื่อจู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ข้างนอกประตู เฟิ่งหยินซวงรีบเอาผ้าคลุมหน้าลงก่อนจะล้วงเอากริชที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อมาถือไว้
“ขอบใจมาก พวกเจ้าไปพักเถิด”
บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงแหบพร่าของใครบางคน
เฟิ่งหยินซวงกลั้นหายใจ เสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และตอนนี้นางมองเห็นเพียงรองเท้าบูตคู่หนึ่งโผล่พ้นชายชุดคลุมแต่งงานสีแดงออกมาเท่านั้น
และในขณะที่ผ้าคลุมหน้าของนางกำลังจะถูกเปิดออก เฟิ่งหยินซวงก็ตวัดแขนข้างที่ถือกริชขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น มือแข็งแรงของเขาก็คว้าเข้าที่ข้อมือนางอย่างแม่นยำก่อนจะจับมันกระแทกลงกับเตียงอย่างแรงจนกริชหล่นลงพื้น
“ปล่อยข้านะ! ปล่อย!”
หน้ากากหมาป่าเป็นสิ่งแรกที่นางเห็น มันดูดุร้ายและน่ากลัวจนนางเกือบร้องไห้ออกมา เฟิ่งหยินซวงดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง นางไม่สามารถหลุดออกจากการจับกุมของเขาได้อย่างแน่นอน
“องค์หญิงกำลังพยายามลอบฆ่าสามีตัวเองอยู่หรือ?”
เฟิ่งหยินซวงรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเย้ยหยันจากดวงตาสีเข้มที่อยู่ภายใต้หน้ากาก
และเพื่อป้องกันไม่ให้เขา ‘บ้าคลั่ง’ ขึ้นมาในตอนนี้ เฟิ่งหยินซวงจึงต้องอาศัยบารมีของท่านปู่มาเป็นข้อต่อรองกับเขา อย่างน้อยหากเขารู้ว่าแท้จริงนางเป็นใคร คงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับนาง
“ข้าไม่ใช่องค์หญิงของท่าน ข้าชื่อเฟิ่งหยินซวง หลานสาวสุดที่รักของท่านเฟิ่งไท่ซือ เจ้าก็รู้จักท่านปู่ของข้าใช่หรือไม่!”