บทที่ 55 ความสับสนวุ่นวาย
บทที่ 55 ความสับสนวุ่นวาย
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสอันดันหนึ่งเย่เฟยหยาง ทั้งสามคนที่อยู่ ณ ที่นี้อดไม่ได้ที่จะมองดูเขา
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ยันต์หยกสื่อสารก็ปรากฏขึ้นในมือของเย่เฟยหยาง
เขายิ้มให้กับคนทั้งสามที่อยู่ตรงนั้นและกล่าวว่า
“ว่านตงไหลจากนิกายเมฆาคล้อยและศิษย์น้องของเขา หม่าเฉียนเซิง ได้ยอมรับข้อตกลงของพวกเราแล้ว และพวกเขาจะมาถึงที่นี่ในหนึ่งวัน”
"จริงหรือ?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ เย่เฟยเฉิน เย่ตงเฉิง และเย่หว่านชิวก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นสีหน้ายินดี
เย่หว่านชิวกล่าวว่า “ในกรณีนี้ เราอาจจะสามารถมุ่งเป้าไปที่…”
…
ครึ่งเดือนต่อมา มีข่าวที่ทำให้ผู้ฝึกตนและนิกายจำนวนมากตกตะลึง
ตลาดระดับ 2 ทั้งสองแห่งของนิกายเมฆาคล้อยถูกโจมตีโดยผู้ฝึกตนลึกลับหลายคนพร้อมกัน
เนื่องจากผู้ฝึกตนที่ดูแลตลาดทั้งสองแห่งนี้ คือว่านตงไหลและหม่าเฉียนเฉิงไม่ได้ประจำการอยู่ที่นี้ ดังนั้นแนวป้องกันของตลาดจึงถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
และสมบัติภายในก็ถูกปล้นไปทั้งหมด
ผู้ฝึกตนทั้งหมดถูกสังหาร
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในนิกายเมฆาคล้อยโกรธอย่างมาก
จินหวู่เฉินผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงของนิกายเมฆาคล้อยได้นำผู้ฝึกตนระดับการก่อตั้งรากฐานและระดับการปรับแต่งพลังปราณที่เหลือไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที
แต่จินหวู่เฉินและคนอื่น ๆ ก็ถูกซุ่มโจมตีโดยไม่คาดคิด
เขาถูกรายล้อมไปด้วยปรมาจารย์ระดับปราการม่วงสามคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดังนั้นจินหวู่เฉินจึงไม่มีคู่ต่อสู้ของพวกเขาและตกตายไปโดยธรรมชาติ
จินหวู่เฉินระดับการก่อตั้งรากฐานและผู้ฝึกตนระดับการปรับแต่งพลังปราณที่เหลือก็ไม่รอดแม้แต่คนเดียว ภายใต้การล้อมของปรมาจารย์ระดับปราการม่วงทั้งสาม
ทำให้สุดท้ายแล้วนอกเหนือจากผู้คนที่ไปที่นิกายเจียงหยาง ผู้ฝึกตนทั้งหมดของนิกายเมฆาคล้อยที่อยู่เหนือกว่าระดับการก่อตั้งรากฐานก็ถูกสังหารไป
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิกายเมฆาคล้อยเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตของผู้ฝึกตนระดับปราการม่วง ทำให้นิกายเมฆาคล้อยซึ่งเป็นนิกายผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงที่อยู่ในอาณาจักรหยุนมาเป็นพันปีเกือบจะล้มสลายลงแล้ว
ข่าวที่น่าตกใจดังกล่าวนี้ทำให้ตระกูลผู้ฝึกตนและนิกายผู้ฝึกตนทั้งหมดต่างตื่นตระหนก
ทุกคนรีบชี้ความสงสัยของพวกเขาไปที่ตระกูลเย่ซึ่งได้ส่งยันต์หยกสื่อสารไปยังผู้อาวุโสหลายคนของเหล่าตระกูลและเหล่านิกายต่างๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อนิกายฟ้านิรันดร์, นิกายเมฆาอัสดงและตระกูลจางได้ร่วมตัวกันมุ่งหน้าไปยังตระกูลเย่ พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตระกูลเย่ทั้งหมดถูกสังเวยและกลายเป็นศพที่แห้งเหือดไปแล้ว
จากการคาดเดาของพวกเขาที่ไปนั้น คนที่ทำเช่นนี้ควรเป็นเย่เฟยหยางและคนอื่น ๆ
ด้วยการเสียสละมนุษย์หลายหมื่นคนในตระกูลของพวกเขา ทำไมเย่เฟยหยางและคนอื่น ๆ ถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้กัน?
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตระกูลและนิกายระดับปราการม่วง พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นภัยพิบัติการนองเลือดที่เกิดขึ้นครั้งนี้เลย
ทุกคนต่างเชื่อว่าต้องคนอื่นชักใยเย่เฟยหยางและคนอื่น ๆ อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
ณ ตอนนี้
ในตลาดหยกขาว ณ วังหยกขาว
เจียงเฉิงซวนและเฉินหรู่หยานใช้การฉายภาพเพื่อเข้าประชุมฉุกเฉินกับเฉินเต้าหมิงและเฉินหรู่ซวงผู้ดูแลภูเขายู่ฮัว และซูเฉียนเหอผู้ดูแลเส้นชีพจรวิญญาณระดับ 2 ในเมืองหุบเขาลึก
เฉินเต้าหมิงกล่าวว่า “ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่เหนือระดับการก่อตั้งรากฐานในตระกูลเย่ได้เข้าร่วมฝ่ายปีศาจแล้ว
ผู้คนจากตระกูลเย่ที่นำทีมไปยังนิกายเจียงหยางก็ได้พากันหลบหนีไปเช่นกัน
ตอนนี้นิกายเจียงยางได้ออกคำสั่งให้จับกุมผู้คนที่เหลือทั้งหมดของตระกูลเย่ทั้งหมดแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเมฆาคล้อย ผู้อมตะซูไฮ่พบว่านิกายของเขาประสบโศกนาฏกรรมเช่นนี้ เขาได้ลงมืออย่างหุนหันพลันแล่น ซึ่งทำให้เขาถูกผู้ฝึกตนปีศาจซุ่มโจมตี
โชคดีที่ผู้อมตะซูไฮ่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับตระกูลเฉินของเรา เราไม่ได้รับผลกระทบมากนักในขณะนี้
อย่างน้อยๆบรรพบุรุษและผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ยังสบายดี”
เมื่อมาถึงจุดนี้ การแสดงออกของเฉินเต้าหมิงก็ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องจริงจัง
เขากล่าวต่อว่า “แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนปีศาจต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างตระกูลและนิกายผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะของพวกเรา ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะไม่มีตระกูลเย่ตระกูลที่สองหรือไม่
นี่เป็นแผนที่ใช้วิธีการโจมตีทั้งภายในและภายนอก
โดยเฉพาะนิกายเจียงหยาง ในขณะนี้เมื่อพวกเขาสูญเสียความไว้วางใจจากตระกูลและนิกายที่เป็นอิสระแล้ว แม้ว่าคลื่นของสัตว์อสูรจะยังไม่เริ่มขึ้น แต่อาณาจักรหยุนก็บังเกิดเค้าลางแห่งความสับสนวุ่นวายแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของเจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ ต่างก็เต็มไปด้วยอาการเคร่งขรึมอย่างมาก
แต่ยังไงซ่ะ
ตอนนี้สถานการณ์ในปัจจุบันมีความละเอียดอ่อนมากจริงๆ
หากเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง จิตวิญญาณของตระกูลผู้ฝึกตนและนิกายต่าง ๆ ภายใต้นิกายเจียงหยางคงจะพังทลายลงก่อนที่คลื่นของสัตว์อสูรจะมาถึงอย่างแน่นอน
ในเวลานั้นด้วยสภาพภายในที่แตกแยกเช่นนี้ พวกเขาจะต้านทานคลื่นของสัตว์อสูรจำนวนมากได้อย่างไร?
“แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป? หรือข้าควรพูดให้ถูกคือตอนนี้พวกเราต้องทำอะไร?”
ในขณะนี้ซูเฉียนเหอก็ถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มหนัก
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ ก็หันไปมองที่เฉินเต้าหมิงทันที
เฉินเต้าหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอย่างจริงจังว่า
“เราต้องทำการตรวจสอบ!
“ผู้ฝึกตนทั้งหมดของตระกูลเฉินจะต้องถูกตรวจสอบ!
ทุกคนต้องไปที่แท่นมโนธรรมเพื่อรับการทดสอบว่าพวกเขาได้เข้าสู่เส้นทางแห่งปีศาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนปีศาจหรือไม่
ข้าจำได้ว่าเรามีแท่นมโนธรรมแห่งความชั่วดีระดับ 2 เมื่อถึงเวลาให้นำผู้ฝึกตนระดับการปรับแต่งพลังปราณทั้งหมดของท่านขึ้นบนแท่นเพื่อทำการทดสอบ
สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อตั้งรากฐาน ข้าอนุญาตให้พวกท่านใช้ยันต์ไต่ถามหัวใจระดับ 3 ในห้องเก็บสมบัติเพื่อตรวจสอบทุกคน
เมื่อพวกท่านค้นพบผิดปกติอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า ให้ฆ่าพวกมันทันที!”
เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเฉินเต้าหมิงก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันน่าสยดสยองอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างมากเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพบว่าตระกูลเย่ได้ส่งข้อความไปถึงเจียงเฉิงซวน, เฉินรูหยาน และคนอื่น ๆ ด้วย ทำให้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
โชคดีที่ทั้งคู่ระมัดระวังตัวไม่ไปกับพวกเขา มิฉะนั้นหากพวกเขาถูกตระกูลเย่หลอกลวงจริงๆ และไปที่เหมืองทองคำม่วง เฉินเต้าหมิงก็ไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเขา
เช่นเดียวกับที่เจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ กำลังคุยกันเรื่องนี้ บนทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากนิกายเจียงหยางหลายพันกิโลเมตร
ในฐานะหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเจียงหยาง หนานกงไป๋ซานกำลังมองดูฝูงชนด้วยสายตาที่เคร่งขรึม
เขาโบกมืออย่างไม่ตั้งใจ
ตูม ตูม! ทันใดนั้นแท่นขนาดใหญ่ที่สูงหลายสิบเมตรก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
มันเป็นหนึ่งในสองแท่นมโนธรรมแห่งความชั่วดีขนาดใหญ่ของนิกายเจียงหยาง
แท่นมโนธรรมแห่งความชั่วดีนี้อยู่ในระดับ 4
ในขณะนั้นเสียงที่จริงจังของหนานกงไป๋ซานก็ดังขึ้น
“ทุกคน ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร จงขึ้นไปบนแท่นและรับการทดสอบซ่ะ...”