บทที่ 3 การอภิเษกสมรสของกษัตริย์ชิงผิง
หัวใจของเฟิ่งหยินซวงเต็มไปด้วยความชิงชัง ไม่เคยคิดเลยว่าเบื้องหลังคำหวานของซูมันรูจะเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงถึงตาย ภายใต้รูปลักษณ์อันบอบบางและอ่อนแอกลับเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำนางอยู่ตลอดเวลา แม้เฟิ่งหยินซวงจะอยากฉีกร่างคนตรงหน้าออกเป็นชิ้น ๆ แค่ไหน แต่นางก็ยังคงมีท่าทีสงบพลางยกยิ้มมุมปากอย่างมีชั้นเชิง
“คงเป็นเพราะความงามและจิตใจที่บริสุทธิ์ของข้าแน่ ๆ สวรรค์ถึงได้กำหนดให้ข้าได้แต่งงานกับสามีที่คู่ควร” นางตอบกลับไปด้วยความเสียดสีเล็ก ๆ
ซูมันรูแสร้งพยักหน้าเห็นด้วย นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่หัวตาด้วยความปีติ ก่อนจะเอ่ยชื่นชมพี่สาวต่อ
“ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสามนั้นรูปงามและมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ การที่ท่านพี่ได้แต่งงานกับเขาคงเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต พี่สาวของข้าช่างโชคดีเหลือเกิน”
ก่อนหน้านี้ซูมันรูเคยพูดกับเฟิ่งหยินซวงเกี่ยวกับเรื่องที่พ่อของนางต้องการให้นางแต่งงานกับลูกชายของเจ้าเมืองระดับล่างคนหนึ่ง นางรู้สึกไม่เห็นด้วยเพราะได้ยินว่าเขามีนางสนมอยู่แล้วหลายคน และหากนางตอบตกลงก็คงจะถูกเขาข่มเหงเอาแน่ นางจึงขอความช่วยเหลือกับท่านปู่เฟิ่งไท่ซือเพื่อให้เขาช่วยห้ามปรามเรื่องนี้ให้ โดยนางสัญญากับท่านว่าหากนางได้แต่งงาน นางจะพาเฟิ่งหยินซวงไปอยู่ด้วยและจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพี่สาวของนางโดยเด็ดขาด
เฟิ่งหยินซวงยิ้มเยาะเมื่อนึกได้ว่านางคงคิดว่าจะได้แต่งงานกับคนจากวังองค์ชายที่สาม
“เจ้ารู้ไหมซูมันรู การประมาณตนเป็นสิ่งสำคัญ การทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมากเกินไปมันจะนำไปสู่หายนะเอาได้”
เฟิ่งหยินซวงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ แต่ก็ทำให้อีกคนเปลี่ยนสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
‘หมายความว่าอะไร? จะบอกว่าสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าของนางไม่คู่ควรที่จะได้แต่งงานกับคนใหญ่คนโตหรือ?’ ซูมันรูคิด
เมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่สู้ดีของอีกคนแล้วเฟิ่งหยินซวงก็นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น นางยังมีอะไรที่อยากเอาคืนอีกเยอะเชียวล่ะ
“ท่านพี่อย่าเข้าใจคำพูดข้าผิดไป ข้าแค่นึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองและรู้สึกยินดีกับการแต่งงานของท่านจริง ๆ”
ซูมันรูยิ้มทั้งที่ในใจนางนึกอิจฉา เฟิ่งหยินซวงกำลังจะได้แต่งงานกับหนึ่งในองค์รัชทายาท ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ และอาจได้ขึ้นเป็นองค์ราชินีในสักวัน
“พี่สาวของข้าเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเฟิ่ง ทั้งยังเป็นหลานสาวสุดที่รักของท่านปู่เฟิ่งไท่ซือ การได้แต่งงานกับองค์ชายสามจึงเหมาะสมอย่างที่สุด” นางพูดประจบ
เฟิ่งหยินซวงกรอกตาก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง นึกขยะแขยงคำโกหกของคนตรงหน้าจนรู้สึกพะอืดพะอม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สาบานได้เลยว่านางว่าจะจัดการซูมันรูให้ได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานก่อนตายอย่างที่นางเคยโดนมาแน่นอน
สิ้นบทสนทนารัวซุ่ยที่นั่งฟังอยู่ก็สะกิดเร่งให้เฟิ่งหยินซวงออกไปที่ห้องรับรองได้แล้ว
“เจ้าท่านและผู้ใหญ่คนอื่น ๆ รออยู่ คุณหนูรีบออกไปเถิดเจ้าค่ะ”
...
ณ ห้องรับรอง
เพียงแค่นึกถึงการปรากฏตัวของหนานหยูเทียนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ร่างกายของเฟิ่งหยินซวงก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นิ้วทั้งสิบของนางกำเข้าหากันแน่น กลีบปากบางสั่นระริกจนต้องเม้มซ่อนไว้ไม่ให้ใครได้เห็น
หนานหยูเทียนไม่เพียงทำลายชีวิตนางแต่ยังทำลายตระกูลเฟิ่งด้วย ความเกลียดชังที่ไม่อาจลบเลือนแผดเผาอยู่ในใจจนแสดงออกมาทางสีหน้า นางไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการกระชากหัวใจของเขาออกมาจากอกทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
ไม่ว่าชาติก่อนนางจะโง่เขลาเพียงใด ชาตินี้นางจะไม่โง่แต่งงานกับเขาอีก!
แต่อย่างไรก็ตามทางราชสำนักได้ออกหนังสือการอภิเษกสมรสของนางกับหนานหยูเทียนมาแล้ว และฤกษ์ขึ้นเกี้ยวก็ใกล้เข้ามาทุกที หากยกเลิกการแต่งงานในตอนนี้ก็ถือเป็นการไม่เคารพต่อพระราชกฤษฎีกาและราชวงศ์อย่างยิ่ง
เช่นนั้นนางสามารถทำอย่างไรได้บ้าง?
ไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเพลงแต่งงานก็ดังขึ้นอยู่ไกล ๆ มันดังมาจากทางทิศตะวันตกจากทางนอกรั้วของบ้านตระกูลเฟิ่ง
เฟิ่งหยินซวงขมวดคิ้ว นางหันไปถามรัวซุ่ยว่าวันนี้มีงานแต่งอีกงานหนึ่งด้วยหรือ แต่คำตอบที่ได้คือสีหน้าตกใจและดูหวาดกลัวอย่างน่าสงสัย ซูมันรูเองก็ด้วย นางถึงกับหน้าซีดเผือดก่อนจะรีบป้องปากกระซิบคำตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน
“ก็งานอภิเษกสมรสของกษัตริย์ชิงผิงน่ะสิท่านพี่ ข้าล่ะอดสงสารหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้นไม่ได้จริง ๆ”
หัวใจของเฟิ่งหยินซวงสั่นสะท้าน ความทรงจำในอดีตชาติของนางพรั่งพรูเข้ามาให้หัวราวน้ำหลาก
ในวันนั้น นอกจากจะเป็นวันแต่งงานของนางกับหนานหยูเทียนแล้วยังมีงานแต่งงานอีกงานหนึ่งที่จัดขึ้นใกล้ ๆ กัน นางในตอนนั้นไม่ได้นึกสนใจใครอื่นเลยเพราะจมจ่อมอยู่กับความสุขที่จะได้เป็นภรรยาของหนานหยูเทียน มิได้สนใจด้วยซ้ำว่างานแต่งงานที่จัดขึ้นในวันเดียวกันนั้นเป็นงานแต่งของใคร
ข้อมูลที่มีเกี่ยวกับกษัตริย์ชิงผิงคือเขามักจะประจำการอยู่ที่ชายแดน นาน ๆ จะเข้ามาในวังหลวงสักครั้ง ขนาดว่านางได้ตบแต่งเข้าไปอาศัยในนั้นนานถึงห้าปี แต่กลับไม่มีโอกาสได้เจอเขาเลย
ช่างน่าสงสัย
เฟิ่งหยินซวงไม่เข้าใจว่าทำไมรัวซุ่ยและซูมันรูถึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนักตอนที่นางถามถึงกษัตริย์ชิงผิง
การแต่งงานควรจะเป็นโอกาสแห่งความสุขไม่ใช่หรือ?
เหตุใดทั้งสองจึงดูหวาดกลัวและเป็นกังวลแบบนั้น?
“กษัตริย์ชิงผิงเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในอาณาจักรฉู่ตอนใต้ แม้จะอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ แต่ฝีมือของท่านก็เก่งกาจยิ่งกว่าใคร ความสำเร็จทางทหารที่ยิ่งใหญ่ทำให้องค์จักรพรรดิมอบตำแหน่งกษัตริย์แห่งดินแดนอันห่างไกลให้กับเขา และปฏิบัติกับเขาเหนือกว่าคนอื่น ๆ ท่านพี่รู้ไหม ในห้องโถงใหญ่ของวังหลวงมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นจากการคุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิ หนึ่งคือท่านปู่เฟิ่งไท่ซือของเรา สองคือกษัตริย์ชิงผิง” ซูมันรูอธิบาย
“ก็ในเมื่อกษัตริย์ชิงผิงมีอำนาจและมีเกียรติขนาดนั้น การได้แต่งงานกับเขาก็ยิ่งน่ายินดีไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงบอกว่าผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารเล่า?” เฟิ่งหยินซวงหันไปถามรัวซุ่ย
“แม้จะมีชื่อเสียงและได้รับเกียรติมากเพียงใด แต่กลับไม่มีใครเคยได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระองค์เลยสักคน ท่านมักจะใส่หน้ากากไว้อยู่เสมอ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ…”
รัวซุ่ยหันซ้ายหันขวาพลางป้องปากกระซิบ
“...เขาว่ากันว่ากษัตริย์ชิงผิงหลงใหลในการหลั่งเลือดของมนุษย์ ก่อนหน้านี้เขาเคยแต่งงานกับหญิงสาวมาแล้วหลายคน แต่ทุกคนต่างเสียชีวิตลงภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากตบแต่งเข้าวังของเขา ว่ากันว่าผู้หญิงผู้น่าสงสารเหล่านั้นถูกทรมานก่อนจะเสียชีวิตเสียด้วยซ้ำ การได้แต่งงานกับเขาก็ไม่ต่างกับการก้าวเข้าสู่ประตูนรกเลยน่ะสิเจ้าคะ!”
ถึงได้ยินแบบนั้นแต่เฟิ่งหยินซวงก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน นางเคยประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้มาแล้วในอดีตชาติ นางอดทนต่อการทรมานมากมาย ทั้งยังได้เห็นการประหารชีวิตอันน่าสลดใจของสมาชิกในตระกูลเฟิ่งทั้งเจ็ดสิบสองคน กับเรื่องเล่าที่ไม่มีหลักฐานแค่นี้คงเทียบกับสิ่งที่นางเคยเผชิญมาไม่ได้เลย
นางตั้งใจแน่วแน่แล้วที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของนางและตระกูลเฟิ่งในชาตินี้
นางต้องจัดการกับคนที่เคยทำร้ายนางในชาติที่แล้วอย่างสาสม
“ที่เจ้าบอกว่าหญิงเหล่านั้นถูกทรมานก่อนตาย มีใครที่ได้รู้เห็นจริง ๆ หรือเปล่า?” เฟิ่งหยินซวงถาม
“ข้าเป็นเพียงสาวใช้ ไม่มีความรู้มากกว่านี้ดอกเจ้าค่ะ รู้เพียงสิ่งที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมา” รัวซุ่ยตอบพร้อมส่ายหน้าไปมา
“หากมันเป็นเพียงเรื่องเล่า การที่เจ้าไปปักใจเชื่อเช่นนั้นมันถูกแล้วหรือ? คนที่ภายนอกดูโหดร้ายน่าเกรงขามแท้จริงอาจเป็นคนจิตใจดียิ่งกว่าใคร หรือคนที่ภายนอกดูอ่อนโยนและน่ารัก แท้จริงอาจเป็นปีศาจจำแลงมาก็ได้ เจ้าจะตัดสินคนจากเรื่องเล่าไม่ได้หรอกนะรัวซุ่ย” เฟิ่งหยินซวงพูดพลางยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
เสียงดนตรีดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งเฟิ่งหยินซวงก็หลับตาลงช้า ๆ พลางเรียบเรียงความคิดในหัว
หากนางต้องเลือกระหว่าง ‘แต่งงานกับสัตว์ประหลาดกินคนอย่างกษัตริย์ชิงผิง’ หรือ ‘ต้องอดทนอยู่กินกับคนเจ้าเล่ห์แสนน่ารังเกียจอย่างหนานหยูเทียน’ นางจะเลือกทางไหน?
เฟิ่งหยินซวงชั่งน้ำหนักหัวใจตัวเอง หากความทรงจำของนางไม่ผิดเพี้ยน หลังจากนี้นางต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวและเข้าร่วมในขบวนแห่ ขบวนงานแต่งทั้งสองขบวนจะดำเนินไปควบคู่กันเป็นระยะทางประมาณสิบไมล์ทางทิศตะวันออก ก่อนจะแยกกันโดยขบวนหนึ่งจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อไปยังวังองค์ชายที่สาม ในขณะที่อีกขบวนจะแยกลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ว่าที่เจ้าสาวกำหมัดแน่น
ผ้าคลุมเจ้าสาวสีแดงสดของนางยังคงปกคลุมอยู่บนศีรษะ
เฟิ่งหยินซวงได้ชีวิตตัวเองกลับมาอีกครั้ง
ถึงเวลาแล้วที่นางจะได้สร้างเส้นทางชีวิตของตัวเองใหม่สักที