MDB ตอนที่ 350 เขาคือผู้ประเมินหลินสินะ
หลังจากการโจมตีครั้งนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของตระกูลเฉียวก็ลดลงอย่างมาก พวกสัตว์วิเศษระดับสามต่างบาดเจ็บหนัก ที่พอจะสู้ได้มีเพียงสัตว์วิเศษระดับสองไม่กี่ตัวเท่านั้น
ผู้ประเมินมารทั้งสี่ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการเปิดฉากโจมตี และพวกเขาก็เอาชนะตระกูลเฉียวและแขกของพวกเขาได้อย่างหมดจด
ตามที่กล่าวไว้ ผู้ประเมินมารเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะใช้คาถาจากที่ไกล ๆ และไม่ค่อยต่อสู้กับใครซึ่ง ๆ หน้า ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือกลอุบายเจ้าเล่ห์
ในตอนแรก ตระกูลเฉียวได้รวบรวมยอดฝีมือมากมายเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้เอาชนะศัตรูได้ด้วยจำนวนที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยกลอุบายที่น่ารังเกียจเพียงไม่กี่อย่างของผู้ประเมินมารเหล่านี้ แขกส่วนใหญ่ก็หวาดกลัว และเมื่อกองกำลังของตระกูลเฉียวอ่อนแอลง ผู้ประเมินมารเหล่านี้ใช้การโจมตีที่น่าตกใจเพื่อลดความแข็งแกร่งของสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเพื่อชิงความได้เปรียบ
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ตระกูลเฉียวพ่ายแพ้ในเวลาไม่นาน และหากผู้คุมจางไม่ได้สั่งให้สัตว์เลี้ยงของเขาต่อสู้กับหนูตัวใหญ่ในช่วงเวลาสำคัญ สมาชิกคนหนึ่งในตระกูลเฉียวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว
“เจ้าสิงโตภูเขา แกกล้าดียังไงมาขวางทางข้า!” ผู้อาวุโสโจวตะโกนออกมา
แขนเสื้อของเขาเริ่มพองขึ้นราวกับว่ามีอะไรบางอย่างขยับไปมาอยู่ใต้เนื้อของเขา เมื่อเขาได้ยกแขนเสื้อขึ้น ฝูงแมลงพิษเริ่มพุ่งเข้าหาศัตรู ข้างในมีตะขาบ แมงป่อง และแมลงที่ไม่รู้จักอื่น ๆ อีกนับสิบตัว มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
แมลงพิษหลายร้อยตัวพุ่งเข้าโจมตีสิงโตภูเขา ทำให้ผู้คุมจางตกใจ ใบหน้าซีดเผือด แม้ว่าสิงโตภูเขาของเขาจะเป็นสัตว์วิเศษระดับสามที่ทรงพลัง แต่แมลงพิษเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ การกัดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้สัตว์เลี้ยงของเขาพิการได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเรียกสัตว์เลี้ยงของเขากลับมาได้ในขณะนี้ เพราะถ้าเขาทำ สมาชิกของตระกูลเฉียวคนนั้นคงไม่รอดจากการโจมตีครั้งนี้
ผู้คุมจางเป็นคนซื่อสัตย์และชอบธรรม แม้จะรู้ว่าเขากำลังต่อสู้กับการต่อสู้ที่พ่ายแพ้ แต่เขาก็ยังกัดฟันและสู้ต่อไป
เนื่องจากสิงโตภูเขามีคุณสมบัติเป็นธาตุดิน มันจึงทำได้เพียงคลุมตัวเองด้วยชั้นโคลนเพื่อเพิ่มการป้องกัน ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่สามารถทนต่อการกัดของแมลงพิษเหล่านั้นได้
ทันใดนั้น กองไฟก็ลอยอยู่กลางอากาศ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงประกายไฟเล็ก ๆ ในตอนแรก ทันใดนั้นเปลวไฟก็ระเบิดเป็นเพลิงที่โหมกระหน่ำเมื่อสัมผัสกับพื้นและแมลงที่บินอยู่
ในชั่วพริบตา แมลงพิษหลายร้อยตัวก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งเถ้าของพวกมันปลิวว่อนไปตามสายลม
ผู้อาวุโสโจวส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แมลงพิษเหล่านั้นได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยเลือดจากหัวใจของเขา และต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรวบรวมแมลงเหล่านี้ได้มากมายขนาดนี้ การที่จะเผาพวกมันทั้งหมดอย่างในพริบตา มันเป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันยอมรับได้
"แกเป็นใคร!? แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสโจวเต็มไปด้วยความเดือดดาล
เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีในการฝึกฝนแมลงพิษเหล่านี้ ความพยายามกว่าสิบปีกลับถูกเทลงท่อระบายน้ำในพริบตา แม้แต่คนที่ใจเย็นที่สุดก็ยังหมดความอดทน ไม่ต้องพูดถึงคนเลวทรามอย่างผู้อาวุโสโจว
“ดี! ในเมื่อแกไม่กล้าโผล่หัวออกมา ข้าจะฆ่าคนของตระกูลเฉียวให้หมด! ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ ข้าจะฆ่าให้หมดไม่มีเหลือ!” ผู้อาวุโสโจวคำรามพร้อมเบิกตากว้าง
ชั่วครู่ต่อมา เขาหันไปมองชายที่ยังนั่งอยู่อย่างสงบ
หากสัญชาตญาณของเขาถูกต้อง เปลวไฟนั่นต้องมาจากชายคนนี้
“ราชาแมลง จงออกมา!”
แม้ว่าเขาจะเย่อหยิ่ง ผู้อาวุโสโจวก็ไม่เคยดูถูกศัตรูของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นการโจมตีของเปลวเพลิงที่แปลกประหลาดพวกนั้น พลังของเปลวไฟเหล่านั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ผู้อาวุโสโจวนึกไม่ออกว่าเขาเคยพบมันที่ไหน
ดังนั้น เขาจึงลงมืออีกครั้ง โดยนำสัตว์เลี้ยงของเขาออกมาในครั้งนี้
ตะขาบตัวใหญ่ที่มีดอกไม้เลื้อยตามตัวออกมาจากใต้แขนเสื้อของผู้อาวุโสโจว ขนาดของตะขาบนี้ใหญ่มากจนเกือบจะเท่ากันงูเหลือม มีประกายแวววาวสีมรกตบนเขี้ยวของมัน นั่นคือพิษอันร้ายกาจของมัน
นี่คือสัตว์วิเศษของผู้อาวุโสโจวซึ่งเป็นตะขาบพิษดอกไม้ระดับสี่
แม้ว่าจะเป็นสัตว์วิเศษระดับสี่ แต่คู่หูของผู้อาวุโสโจวก็ไม่มีทักษะในการต่อสู้เลย เนื่องจากเป็นราชาแห่งแมลง เจ้าตะขาบจึงมีความสามารถในการควบคุมและเพาะเลี้ยงแมลงมีพิษอื่น ๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้อาวุโสโจวจึงสามารถใช้ยุงบินเพื่อทำให้สัตว์วิเศษของอีกฝ่ายบ้าคลั่ง และปล่อยฝูงแมลงออกไปโจมตีก่อนหน้านี้ได้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณทักษะของเจ้าตะขาบ มากกว่าทักษะของผู้อาวุโสโจว
ผู้อาวุโสโจวแทบไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงของเขาออกมาเลย แต่คราวนี้เขาออกไปข้างนอกอย่างชัดเจน
เมื่อเปลวไฟเหล่านั้นลุกไหม้ก่อนหน้านี้ ชายที่ไม่มีคิ้วก็กลายเป็นหน้าซีดทันที แม้ว่าผู้อาวุโสโจวจะจำไม่ได้ว่าเขาเคยพบเจอกับเปลวไฟเหล่านี้เมื่อใด แต่เขาไม่มีทางลืมมันได้เลย
มันเป็นเปลวไฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แผดเผาเส้นผมและคิ้วของเขา นอกจากนี้ เขาได้เห็นด้วยตาของเขาเองเมื่อสัตว์เลี้ยงของเขาถูกแผดเผาจนตาย ความทรงจำยังคงอยู่ในใจของเขาจนเขาไม่มีทางลืมมันไปได้
เมื่อเขาตระหนักได้ เขาก็ชี้ไปที่หลินจินซึ่งยังคงนั่งอยู่และตะโกนออกมาว่า
“นั่นเขา! เขาคือคนที่เผาสัตว์เลี้ยงของข้าจนตาย!”
ผู้อาวุโสโจวก็ตระหนักได้เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในสีหน้าของเขา
ผู้ประเมินมารคนอื่น ๆ ก็หันไปมองอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ตอนนี้ตระกูลเฉียวและแขกไร้ค่าเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกต่อไป คนเดียวที่นี่ที่สามารถหยุดพวกเขาได้คือชายคนนี้ที่เพิ่งปล่อยเปลวไฟเหล่านั้น
“ยังจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ต่อไปอีกงั้นเหรอ!? มาดูสิว่าแกจะยังอยู่เฉยต่อไปได้สักกี่น้ำ กัดมันซะ! เอาให้ตายคาเขี้ยวไปเลย!”
เจ้าของหนูเปิดเผยเจตนาฆ่าของเขาในขณะที่เขาสั่งให้สัตว์เลี้ยงของเขาโจมตีหลินจิน
“ผู้ประเมินหลิน ระวัง!” ผู้คุมจางตื่นตระหนกทันที
ในขณะนี้เองที่ตระกูลเฉียวเริ่มตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
“ผู้ประเมินหลิน?”
“เขาเป็นคนที่ผู้คุมจางพูดถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ? คนที่ปล้นสินค้าของเรา?”
“เขาจะเป็นใครได้อีกล่ะ? ต้องเป็นเขาแน่นอน”
ดวงตาของเฉียวเฟยกงเบิกกว้างในขณะที่เขาจ้องมองหลินจินอย่างละเอียดมากขึ้น แม้เขาสังเกตเห็นชายคนนั้นก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่คิดว่าชายคนนั้นคือผู้ประเมินหลินจากเมืองเมเปิ้ลที่ผู้คุมจางเคยพูดถึงมาก่อน
ณ ตอนนี้ เจ้าหนูก็กระโจนเข้ามาใกล้แล้ว
หลินจินไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อต้องต่อสู้กับหนูดำระดับสาม หลินจินไม่จำเป็นต้องลงมือเองด้วยซ้ำ ด้านหลังเขา วานรยักษ์ขาวพุ่งไปข้างหน้า โดยตัวมันใหญ่ขึ้นจนสูงถึงสามเมตร เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็กลายร่างเป็นลิงสีขาวร่างกายกำยำแล้ว
นี่ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ หากเขากลับคืนสู่ขนาดเดิม เขาจะสูงอย่างน้อยเก้าเมตร และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะกระทืบสถานที่แห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง
ถึงกระนั้น ขนาดนี้ก็น่ากลัวมากพอแล้ว วานรยักษ์ขาวยกกำปั้นขึ้นและทุบหนูที่เข้ามาลงไปที่พื้น พื้นใต้เท้าของพวกเขาสั่นสะเทือน และเจ้าหนูก็แน่นิ่งด้วยกำปั้นเดียว
แต่เนื่องจากมันเป็นระดับสาม เจ้าหนูจึงไม่ตายในทันที ดังนั้น วานรยักษ์ขาวจึงทุบมันอีกสองสามครั้ง
เมื่อมองดูอีกครั้ง เจ้าหนูก็ถูกทุบจนเละเป็นโจ๊ก พื้นที่โดยรอบเป็นหลุมเป็นบ่อ โต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถูกทำลาย มีแม้กระทั่งรอยแตกบนกำแพงหินใกล้เคียง
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของวานรยักษ์อยู่ในสายตาของทุกคนแล้ว
หลังจากกลับมาจากเมืองหลวง หลินจินก็ค้นพบว่าหมัดของวานรยักษ์ขาวทรงพลังเพียงใด ดังนั้นเขาจึงแน่ใจว่าวานรยักษ์ขาวควรเอาดีในทักษะในด้านนี้ ณ ตอนนี้ มีสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัวที่สามารถทนต่อการโจมตีของวานรยักษ์ขาวเพียงครั้งเดียวและเดินจากไปแบบมีชีวิตได้
รวมถึงหนูดำตัวใหญ่ตัวนี้ด้วย
แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะข่มขู่ผู้คนที่นี่ แต่วานรยักษ์ขาวก็เอาชนะมันได้ด้วยพละกำลังอันโหดเหี้ยม ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างตกตะลึง
มันทรงพลังมากจนเหล่าผู้ประเมินมารไม่เชื่อสายตา
พวกเขาเป็นผู้ประเมินเหมือนกัน และเห็นว่าวานรยักษ์ขาวอยู่ในระดับสูงสุด นั่นก็คือระดับสาม อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งที่เขาเปิดเผยก่อนหน้านี้ได้เกินขีดความสามารถที่สัตว์วิเศษระดับสามไปอย่างสิ้นเชิง