บทที่ 149 กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตมาถึง
บทที่ 149 กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตมาถึง
หลังจากฟังคำพูดของเฟิงซินหยูแล้ว ไป๋หยูหลานก็นิ่งเงียบไปสักพัก
ไป๋หยูหลานไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องสัญญาหมั้นหมายมาก่อน นางสรุปว่าเฟิงซินหยูต้องการรังแกผู้ที่อ่อนแอที่ใครๆ ก็เรียกว่าเป็นขยะ แต่นางคิดไม่ถึงว่าขยะที่เขาลือกันกลับกลายเป็นมังกร
เฟิงซินหยูวิ่งชนกำแพงและพ่ายแพ้กลับมา นางอายมาก นางจึงรู้สึกถึงการสูญเสียครั้งใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้น ไป๋หยูหลานก็เข้าใจความคิดลูกศิษย์นางดี เฟิงซินหยูเป็นอัจฉริยะ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว นางไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับขยะที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ แต่ผลที่ได้ก็คือ ผู้ที่นางปรามาสกลับแข็งแกร่งกว่านางอย่างน่าขัน!
แต่หากเป็นตัวไป๋หยูหลานเอง แล้วอยู่ในสถานการณ์แบบเฟิงซินหยู นางก็จะยุติการหมั้นหมายเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากข่าวลือที่ว่าหลินเป้ยเป็นขยะ เฟิงซินหยูจึงถูกผู้คนในเมืองหลวงเยาะเย้ย ซึ่งทำให้นางเป็นรู้สึกอับอายจนเกือบจะเป็นบ้า มันเลยเป็นเรื่องปกติที่นางจะรู้สึกไม่พอใจหลินเป้ยอยู่แล้ว
ถ้าพูดถึงความเป็นจริง เรื่องราวที่คู่นี้เจอมาเกือบจะเหมือนๆ กัน ในตอนแรก หลินเป้ยไม่สามารถบ่มเพาะได้ และมักจะถูกดูถูกและเยาะเย้ยบ่อยครั้ง ทำให้ชีวิตของเขายากลำบากมาก ด้วยเรื่องนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองประสบปัญหาเดียวกัน แต่ตอนนี้พวกเขากลับต่อสู้กันเอง และพวกเขาก็เกือบจะเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้ว
ในตอนนี้สัญญาหมั้นหมายสิ้นสุดลง แต่เฟิงซินหยูกลับก็ไม่รู้สึกมีความสุขเลยแม้แต่น้อย
“ซินหยู ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดี เรื่องนี้ข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดถูกหรือผู้ใดผิด แต่เนื่องจากหลินเป้ยผู้นี้จะเข้าร่วมงานประลองรุ่นเยาว์ของอาณาจักรชิงหยาน เจ้าก็ควรบ่มเพาะให้หนักมากขึ้น แล้วพยายามเอาชนะเขาในงานประลองรุ่นเยาว์ให้ได้ ในอีกสามปีข้างหน้า” ไป๋หยูหลานทำได้เพียงปลอบใจนางเท่านั้นในเรื่องนี้
ในความเป็นจริง ไป๋หยูหลายรู้สึกตกใจทากกับพรสวรรค์ของหลินเป้ยจากคำพูดของเฟิงซินหยู
นางคิดว่า การที่หลินเป้ยแข็งแกร่งเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยพลักดันจนเขาประสบความสำเร็จ
บางทีหลินเป้ยอาจมีอาจารย์ที่ทรงพลังเหมือนอย่างเช่นเฟิงซินหยูก็เป็นได้ และเป็นผู้ให้การสนับสนุน เขาได้ทุกอย่าง
ไป๋หยูหลานเพียงทำได้เพียงให้คำแนะนำเฟิงซินหยูเท่านั้น สำหรับทรัพยากรบางอย่าง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากตระกูล เฟิงแล้ว นางต้องหามาด้วยตนเอง
เนื่องจากชิงชิงหลวนซิน(หัวใจนกชิงหลวน)นั้น ต้องใช้ทรัพยากรมากเกินไป ไป๋หยูหลานจึงไม่สามารถช่วยเฟิงซินหยูในเรื่องนี้ได้ นางได้เพียงให้คำแนะนำในบางจุดที่เฟิงซินหยูไม่เข้าใจได้เท่านั้นเอง
แน่นอน ตอนนี้เฟิงซินหยูมีโอกาสดีที่ได้เข้าร่วมนิกายหมิงซิน(นิกายรู้แจ้งธรรมชาติ) ซึ่งจะทำให้นางได้รับทรัพยากรเพิ่มเติมมากขึ้น และหากมีโอกาส ไป๋หยูหลานก็อยากจะพบกับอัจฉริยะหลินเป้ยผู้นี้เช่นกัน นางอยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไง เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะชนะลูกศิษย์ของนางได้เช่นนี้
แต่คงต้องรอสักพัก นางค่อยพบกับเขาก็ยังไม่สาย ในตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องรักษาอาการบาดเจ็บของเฟิงซินหยู และคอยกระตุ้นให้นางทำการบ่มเพาะให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ไป๋หยูหลานให้คำแนะนำแก่เฟิงซินหยู จากนั้นจึงกลับไปที่สร้อยข้อมือ
ในความเป็นจริง ไป๋หยูหลานสามารถปรากฏตัวได้บ่อยขึ้นในตอนนี้ เพราะด้วยการบำรุงเลี้ยงของสมบัติสวรรค์และปฐพีมากมายที่เฟิงซินหยูนำมา ทำให้วิญญาณของไป๋หยูหลานฟื้นตัวได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ไป๋หยูหลานไม่ต้องการเสียพลังงานมากเกินไปหากไม่จำเป็น เพราะนางอยากจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งในอนาคต
ยิ่งจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นในตอนนั้น อัตราความสำเร็จในฟื้นคืนชีพก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
แน่นอนว่า สิ่งที่เกิดฟิงซินหยู หลินเป่ยย่อมไม่รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ
…
เวลาผ่านไปสี่วัน นับตั้งแต่การต่อสู้ระหว่าง หลอนเป้ยกับเฟินซินหยู
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลินเป้ยฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บมากขึ้น และโอสถก็ถูกขายตามปกติ
โอสถรวบรวมปราณระดับหนึ่งยังคงขายต่อไป และหลินเป้ยยังได้เพิ่มโอสถชนิดใหม่ นั่นคือโอสถหยางหยวนระดับสอง
โอสถรวบรวมปราณสามารถขายได้ประมาณ 2,000 เม็ดทุกวัน และทันทีที่เปิดตัวโอสถหยางหยวน ลูกค้าบางรายได้ลองสัมผัสกับประสิทธิภาพของมันแล้วเกิดความประทับใจ ดังนั้นยอดขายของโอสถหยางหยวนก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เหลือเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนการประลองของเมือง หลายๆ คนต้องการปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ฝึกตนส่วนมากจึงต้องใช้โอสถเข้าช่วยเหลือ
นอกจากนี้ โอสถของหลินเป้ยยังมีคุณภาพที่ดีมาก ทำให้ตอนนี้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างล้นหลาม
ด้วยเหตุนี้ โอสถหยางหยวนจึงสามารถขายได้ประมาณ 400 เม็ดต่อวัน
ยอดขายรวมของโอสถทั้งสองชนิดมีมูลค่ามากกว่า 100,000 ตำลึงต่อวัน ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้
เมืองชิงหลินเป็นเพียงเมืองเล็กๆ และระดับการบริโภคก็ได้เพียงเท่านี้
กำไรสุทธิของตระกูลหลินต่อเดือนเพียงไม่กี่แสนตำลึง แต่ยอดขายของหลินเป้ยสามารถทำรายได้ถึงแสนตำลึงต่อวัน ยกเว้นร้านค้าว่านเป่า ในตอนนี้ไม่มีร้านใดที่มียอดขายเท่าร้านหลินเป้ยแล้ว
ในเวลานี้ การประลองของตระกูลหลินเพิ่งสิ้นสุดลง หลินหลงสามารถเอาชนะอัจฉริยะตระกูลหลินคนอื่น ๆ และได้รับรางวัลที่สองในการประลองของตระกูลไป
แน่นอน ที่หนึ่งย่อมเป็นหลินเป้ยอยู่แล้ว!
สมาชิกในตระกูลหลายคนรู้ว่าหลินเป้ยทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจนี้
เมื่อขณะที่การประลองจบลงและกำลังแยกย้ายกันกลับ ก็มีกลุ่มคนสวมชุดสีแดงเดินเข้ามา
เมื่อหลายคนเห็นเสื้อผ้าของคนเหล่านี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป คนเหล่านี้คือคนจากกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิต ทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนจากกลุ่มนี้ถึงมาที่นี่?
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตจะปรากฏตัวที่ไหน ก็ไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้น หลายๆ คนจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งโรคระบาด
ท้ายที่สุดแล้ว กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตก็ไม่เคยทำสิ่งดีๆ เลย ใครก็ตามที่เป็นเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ มักจะเดือดร้อนมากนั่นเอง
คนกลุ่มที่มานี้มีมากกว่าสิบคน โดยห้าคนในนั้นเป็นปรมาจารย์นักรบที่แข็งแกร่ง และผู้นำที่มาเป็นปรมาจารย์นักรบขั้น 8
“ผู้ใดคือหัวหน้าตะกูลหลิน” ผู้นำของกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตถามอย่างเย็นชา
บุคคลนี้ชื่อ โฉวชิว เขาก็คือผุ้นำของกลุ่มนี้ที่มีขอบเขตปรมาจารย์นักรบขั้น 8 นั่นเอง
การแสดงออกของหลินวู่จี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตกำลังมุ่งเป้ามาที่ตระกูลหลินจริงๆ แต่เขาจำได้ไหมว่าตระกูลหลินไม่เคยรุกรานกลุ่มนี้เลยนี่นา?
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่มีอะไรดีเกิดขึ้น แต่กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตก็มาที่ประตูบ้านของเขา ในฐานะหัวหน้าตระกูล เขาไม่มีเหตุผลที่จะหลบหนีโดยธรรมชาติ
หลินวู่จี้ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า "ข้าคือหลินวู่จี้หัวหน้าตระกูลหลิน ข้าสงสัยว่าเจ้าท่ที่นี่ทำไม?"
“เจ้าคือหัวหน้าตระกูลหลิน? เยี่ยม ตอนนี้กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตของเราขอบอกว่า หลิเป้ยของเจ้าสมาชิกของกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตไปถึง 200 คน รวมถึงนายน้อยสามจงหมิง ก็เสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของหลินเป้ย ตอนนี้พวกข้ามาที่นี่เพื่อตามหาหลินเป้ย ข้าสงสัยว่าเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” โฉวชิวกล่าวอย่างเย็นชา
ทันทีที่คำพูดของโฉวชิวเอ่ยออกมา การแสดงออกของสมาชิกตระกูลหลินทุกคนในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
หลินเป้ยได้สังหารกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตไปแล้วกว่า 200 คน! รวมถึงนายน้อยสาม ซึ่งเป็นบุตรชายของหัวหน้ากลุ่มด้วย!
มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ โดยพื้นฐานแล้ว ผู้รุกรานกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตนั้น มักจะไม่มีจุดจบที่ดี
ตอนนี้หลินเป้ยนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตระกูลหลิน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในตระกูลหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว
กลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตมีหัวหน้ากลุ่มที่แข็งแกร่งสามคนในขอบเขตมหาปรมาจารย์ยุทธ ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลหลิน พวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของได้อย่างไร?
คนที่รู้จักกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิตดี ตราบใดที่พวกเขารุกราน มักจะจบลงอย่างเลวร้ายและนองเลือดเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้น หลายคนที่พบกับกลุ่มนักรบรับจ้างสีโลหิต จึงพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้มีความขัดแย้งกับสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างนี้