ตอนที่ 579 ปีศาจในส่วนลึกของจิตใจ
ตอนที่ 579 ปีศาจในส่วนลึกของจิตใจ
วี้ด!
ทันทีที่หยูเผิงเปิดประตูเสียงร้องคำรามของปีศาจก็ดังขึ้นมาในทันที ซึ่งระยะห่างของเสียงร้องให้ความรู้สึกที่ใกล้มากราวกับว่ามันกำลังมีปีศาจมาส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ข้างหู
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้ชายหนุ่มเวียนหัวไปชั่วขณะ เขาจึงจำเป็นจะต้องใช้มือจับบานประตูเอาไว้ จากนั้นเขาก็หลับตาลงและพยายามทุ่มสมาธิอย่างสุดกำลังเพื่อต่อต้านการรุกรานที่พยายามมุ่งหน้าสู่เบื้องลึกของจิตใจ
หยูเผิงพยายามที่จะเอื้อมมือออกไปช่วยเซี่ยเฟยเอาไว้ แต่มือของเขากลับถูกหยุดไว้โดยหยูเจียงเสียก่อน
“ยังก่อน มารอดูกันว่าเซี่ยเฟยจะทนไหวไหม?”
ในความเป็นจริงเสียงกรีดร้องของปีศาจไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าคลั่งคล้ายกับว่าปีศาจภายในตัวของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้ในชั่วพริบตาต่อมาดวงตาของเซี่ยเฟยก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า
“ผมว่าท่าทางของเขาไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นะครับ” หยูเผิงก้าวถอยหลังไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี
“ไม่ต้องห่วง มันเป็นเรื่องปกติแล้วที่เขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้” หยูเจียงกล่าวอย่างใจเย็น
“ปกติ?” ไม่ว่าหยูเผิงจะมองยังไงปฏิกิริยาของเซี่ยเฟยก็ไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาก็เหมือนกับปีศาจภายในร่างของเขากำลังถูกปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนทำให้จิตสังหารอันรุนแรงแผ่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ปกติสิ เพราะเขาคือคนจากตระกูลสกายวิง” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับดวงตาอันเป็นประกาย
ครั้งหนึ่งเขาเคยสัมผัสถึงสายเลือดสกายวิงในร่างของเซี่ยเฟยมาก่อนแล้ว ยิ่งปีศาจภายในร่างของชายหนุ่มถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาแบบนี้ มันยิ่งยืนยันการตัดสินใจของหยูเจียงมากขึ้นไปอีกว่าเซี่ยเฟยคือทายาทของตระกูลสกายวิงจริง ๆ
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มก็จำเป็นจะต้องพยายามควบคุมความบ้าคลั่งภายในจิตใจของเขาเอาไว้ ซึ่งหลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปนานกว่า 10 นาทีเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นว่าดวงตาของเขากลับมาเป็นดวงตาตามปกติแล้ว
หยูเจียงกับหยูเผิงไม่รู้ว่าเซี่ยเฟยได้ผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายอะไรมา แต่เมื่อสังเกตจากปฏิกิริยาที่เจ็บปวดของชายหนุ่มแล้ว พวกเขาก็สามารถอนุมานได้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ภายในจิตใจของเซี่ยเฟยย่อมเป็นการต่อสู้ที่ทุกข์ทรมานสาหัสมากแน่ ๆ
ชายหนุ่มพยายามก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ก่อนที่เสียงกรีดร้องของปีศาจจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่ว่าเสียงกรีดร้องของปีศาจจะโหยหวนมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่สามารถที่จะหยุดรั้งชายหนุ่มเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
ห้องขังของปราสาทถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย โดยที่บนผนังถูกฝังคริสตัลทำให้มันยังคงมีแสงสลัว ๆ ให้มองเห็นบรรยากาศรอบ ๆ ตัวบ้าง แต่แสงสว่างยังคงสั่นไหวไปมามันจึงทำให้ห้องขังแห่งนี้ยิ่งดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
ภายในห้องขังมีเก้าอี้โลหะตั้งอยู่หลายตัว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาเก้าอี้ตัวหนึ่งเพื่อนั่งพักและมองไปรอบ ๆ
พื้นที่ในห้องขังมีความกว้างประมาณ 500 ตารางเมตร ทั่วทั้งห้องขังถูกแบ่งออกเป็นห้องย่อย 13 ห้อง มีอุปกรณ์ทรมานแขวนอยู่บนผนังทุกชนิด ทำให้ภาพภายในห้องขังแห่งนี้ดูน่าขนลุกมากขึ้นกว่าเดิม
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากพื้นที่ใต้ห้องขังอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่เขาก็ยังหาแหล่งกำเนิดเสียงร้องโหยหวนนี้ไม่ได้
“ฉันขอบอกเลยนะว่าสมัยก่อนเคยมีคนขุดดินลงไปลึกกว่า 3 กิโลเมตร แต่พวกเขาก็ยังหาแหล่งกำเนิดเสียงไม่พบ คล้ายกับว่าเสียงกรีดร้องของปีศาจดังขึ้นมาจากอากาศเฉย ๆ และไม่ว่านายจะคิดวิธีแบบไหนอยู่แต่ฉันก็เชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลหยูเคยทดสอบวิธีที่นายกำลังคิดอยู่มาหมดแล้ว” หยูเจียงกล่าวเมื่อได้เห็นสีหน้าอันสงสัยของเซี่ยเฟย
“ยินดีด้วยเซี่ยเฟย ตอนนี้นายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 9 คนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของตระกูลที่สามารถทนอยู่ภายในห้องนี้ได้ ศักยภาพของนายจะต้องพัฒนาไปไกลกว่าการเป็นราชากฎอย่างแน่นอน” หยูเผิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ตอนแรกผมก็เกือบจะเสียสติไปแล้วเหมือนกัน ยังดีที่ผมยังสามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พูดตามตรงนะว่าฉันมักจะพาผู้มาใหม่มาที่นี่อยู่เสมอ แต่ปฏิกิริยาของนายดูดีกว่าคนอื่น ๆ มากและมันก็ไม่น่าเชื่อเลยที่นายจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้แบบนี้” หยูเผิงกล่าว
“ผู้อาวุโส ผมขอใช้ที่นี่เป็นที่ฝึกของผมได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามเบา ๆ
คำร้องขอของเซี่ยเฟยถึงกับทำให้หยูเจียงและหยูเผิงตกตะลึง เพราะถึงแม้ว่าในอดีตจนถึงปัจจุบันจะมีนักรบพรสวรรค์เข้ามาทดสอบจิตใจในกรงขังปีศาจเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็สามารถบอกได้เลยว่าเซี่ยเฟยเป็นคนแรกที่ต้องการจะใช้กรงขังปีศาจเป็นสถานที่สำหรับการฝึกฝน
มีห้องฝึกชั้นยอดแต่ไม่คิดจะใช้งาน!?
ต้องการฝึกในคุกใต้ดินที่น่ากลัว??
การกระทำของเซี่ยเฟยบ้าบิ่นมากจนเกินไปแล้ว เพราะในความเป็นจริงเมื่อนักสู้คนอื่น ๆ ได้ยินเพียงแค่ชื่อของกรงขังปีศาจ มันก็เพียงพอที่จะทำให้คนพวกนั้นหน้าซีดด้วยความหวาดกลัวแล้ว
“นี่น้องชายลองคิดดูใหม่ก่อนไหม? ที่ห้องนี้มีเสียงกรีดร้องดังตลอดทั้งวัน และมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับนักรบที่ต้องใช้สมาธิสำหรับการฝึกฝน” หยูเผิงพยายามโน้มน้าวใจให้เซี่ยเฟยไปฝึกฝนในห้องฝึกที่เขาได้จัดเอาไว้ให้
ทางด้านหยูเจียงยังคงขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร แต่ภายในแววตาของเขากลับกำลังเต็มไปด้วยคำถาม
“แต่พลังงานในห้องนี้หนาแน่นมากที่สุดภายในปราสาทเลยนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวโดยพยายามให้เหตุผล
“เพราะเรื่องนี้เหรอ?” หยูเผิงถามอย่างสงสัย
“ความจริงมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องพลังงานซะทีเดียว แต่ผมรู้สึกเหมือนมีปีศาจอยู่ในส่วนลึกของจิตใจและถึงแม้ว่าผมจะพยายามกดมันเอาไว้ แต่ผมก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้จริง ๆ ผมจึงต้องการที่จะอยู่ที่นี่จนกว่าผมจะสามารถปราบปีศาจในส่วนลึกของจิตใจของผมได้” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับอย่างใจเย็น
“ต้องการปราบปีศาจในจิตใจของตัวเองงั้นเหรอ? เอาล่ะในเมื่อนายอยากจะฝึกอยู่ที่นี่ก็ตามสบายเลย” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
—
เมื่อพวกเซี่ยเฟยกลับไปยังห้องโถงของปราสาท ชายหนุ่มก็ได้พบกับชายรูปร่างกำยำกำลังจ้องมองมาที่เขา ซึ่งชายคนนี้นั้นก็คือฮานหยูตงผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของฮานหยูเป่ย
ย้อนกลับไปในตอนที่เขาทดสอบวัดระดับการเป็นนักรบกฎครั้งแรก เขาได้ทำการสังหารฮานหยูเป่ยด้วยความโกรธ โดยมีฮานหยูตงเป็นพยานรับชมเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย แล้วในตอนนี้เมื่อเซี่ยเฟยได้เดินทางมายังเมืองอีกาดำ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่าฮานหยูตงกำลังคิดอะไร
ฮานหยูตงเริ่มทักทายหยูเจียงและหยูเผิง ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
“ในที่สุดแกก็มาแล้วสินะ ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉันจะต้องรอจนกว่าฉันจะออกจากเมืองนี้แล้วค่อยตามหาตัวแกทีหลัง” ฮานหยูตงกล่าว
“ตอนนี้นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันไม่เชื่อ! ในเมื่อแกล่าสังหารน้องชายฉัน ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแกจะต้องชดใช้ความผิดเรื่องนี้ด้วยกันทั้งหมด!” ฮานหยูตงกล่าวพร้อมกับยกกำปั้นที่ถูกบีบจนแน่นขึ้นมาบริเวณหน้าอก
เซี่ยเฟยรู้สึกว่าฮานหยูตงเป็นคนที่โง่มาก ถึงขนาดที่ไม่ยอมประเมินความแข็งแกร่งของศัตรู แต่ในเมื่ออีกฝ่ายประกาศออกมาชัดว่าเขาต้องการที่จะตั้งตัวเป็นศัตรู เซี่ยเฟยก็พร้อมที่จะกำจัดศัตรูทุกคนที่เข้ามาขวางหน้าของตัวเอง
แม้ว่าในปัจจุบันผู้นำตระกูลหยูอย่างหยูเจียงและผู้จัดการเมืองอีกาดำอย่างหยูเผิงจะยืนอยู่ตรงนี้ และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ได้เริ่มท้าทายเขาอย่างเป็นทางการ แต่ในความเห็นของเขาแล้วคนที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูของเขาจะต้องตาย
“พอแล้ว!!” หยูเผิงตะโกนออกไปเสียงดัง แต่น่าเสียดายที่เสียงของเขายังคงเคลื่อนที่ช้ามากจนเกินไป ท้ายที่สุดเซี่ยเฟยก็เป็นผู้ใช้พลังสายความเร็วและความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขามันก็เร็วยิ่งกว่าความเร็วเสียงไปเกือบ 100 เท่า
ภายในระยะทางเพียงแค่สั้น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่พริบตา และถึงแม้ว่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนชายหนุ่มยังบอกฮานหยูตงด้วยรอยยิ้มว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ในวินาทีต่อมาเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจที่จะสังหารอีกฝ่ายที่นี่ตอนนี้ในทันที มันจึงทำให้ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้
กฏแห่งความโกลาหลถูกรวบรวมเข้าใส่ฝ่ามืออย่างฉับพลัน ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะพุ่งเข้าใส่หน้าผากของฮานหยูตงโดยไม่มีความเมตตาใด ๆ
โพละ!
สมองผสมเลือดพุ่งกระจาย!
การจู่โจมด้วยกฎแห่งความโกลาหลของชายหนุ่มสามารถที่จะทำลายการป้องกันของราชากฎลงได้อย่างง่ายดาย แล้วฮานหยูตงที่เป็นนักรบกฎระดับเดียวกันกับเซี่ยเฟยจะสามารถต้านทานการโจมตีที่รุนแรงแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเฟยยังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วมากจนทำให้ฮานหยูตงเสียชีวิตก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัวเสียอีก
ตูม!
ในเวลาเดียวกันกับกำปั้นของชายหนุ่มปะทะเข้ากับศีรษะของฮานหยูตง กำแพงมิติของหยูเจียงกับหยูเผิงก็ปรากฎขึ้นมาจนทำให้ร่างของชายหนุ่มถูกสะท้อนกลับไป
แม้ว่าชายชราเหล่านี้จะเคลื่อนไหวอย่างไม่ทันการณ์ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าความเร็วในการตอบสนองของพวกเขาจะเชื่องช้า ท้ายที่สุดเซี่ยเฟยก็เคลื่อนไหวเกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาไปไกล ชายชราทั้งสองจึงไม่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยได้ทัน
ชายหนุ่มพลิกตัวตีลังกากลางอากาศด้วยท่าทางอันแปลกประหลาด ก่อนที่ร่างกายของเขาจะพลิกกลับมาทรงตัวบนพื้นได้อีกครั้ง ขณะที่ร่างของฮานหยูตงก็กำลังค่อย ๆ ล้มลงไปกองกับพื้น
พลั่ก!
ร่างของศพตกกระทบกับพื้นพร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลออกไปทั่วทั้งห้องโถง แต่บรรยากาศภายในห้องนี้กลับตกอยู่ในความเงียบสงัด เพราะทุกคนต่างก็ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์มันจะดำเนินมาจนถึงตรงนี้จริง ๆ
“นายฆ่าเขาทำไม?! นายฆ่าเขาต่อหน้าฉันกับผู้อาวุโสเนี่ยนะ! แบบนี้ใครมันจะมาเชื่อถือฉันอีกในอนาคต!!” หยูเผิงตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของหยูเจียงก็ดูไม่ค่อยดีเช่นเดียวกัน เพราะเขาเป็นถึงราชากฎขั้นสูงสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดเซี่ยเฟยเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาคิดพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่สนใจทั้งเซี่ยเฟยและหยูเผิง
เมื่อเซี่ยเฟยกล้าที่จะเคลื่อนไหวต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง เขาก็ได้ทำใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะต้องถูกลงโทษ แต่หยูเจียงกลับเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ มันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก
“เซี่ยเฟยมีปีศาจในส่วนลึกของจิตใจจริง ๆ สินะ” หยูเจียงทิ้งคำพูดประโยคนี้เอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากเมืองอีกาดำด้วยรอยยิ้ม
หยูเผิงกระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ แต่ในเมื่อหยูเจียงตัดสินใจไม่ลงโทษอะไรเซี่ยเฟย เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากจะต้องเดินตามชายชราออกไปยังด้านนอก
“ท่านผู้นำ คุณจะไปแล้วงั้นเหรอ?” หยูเผิงถามอย่างกังวล
“แล้วฉันจะอยู่ที่นี่ไปทำไม? รอให้คนอื่นมาป่าวประกาศออกไปหรือยังไงว่าฉันไม่สามารถหยุดเซี่ยเฟยเอาไว้ได้” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับกรอกสายตา
คำตอบของชายชราทำให้หยูเผิงตระหนักได้ในทันทีว่ากุญแจสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่ฮานหยูตงถูกเซี่ยเฟยสังหาร แต่มันคือเซี่ยเฟยสังหารคนอื่นต่อหน้าพวกเขาต่างหาก
หากว่าข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่าพวกเขาไม่สามารถหยุดเซี่ยเฟยที่กำลังจะลงมือต่อหน้าพวกเขาได้ คนที่อับอายจากเหตุการณ์นี้มากที่สุดย่อมจะต้องเป็นพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ในความเป็นจริงหยูเจียงเชื่อว่าถ้าหากเซี่ยเฟยแสดงท่าทางว่าจะลงมือแม้แต่เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถหยุดชายหนุ่มเอาไว้ได้ทันเวลา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าเซี่ยเฟยเติบโตมากับคำสอนของนักฆ่า ชายหนุ่มคนนี้จึงสามารถลงมือสังหารด้วยท่าทางที่กำลังยิ้มแย้มได้ด้วยซ้ำ
“ท่านผู้นำแล้วแบบนี้ผมจะทำยังไง?” หยูเผิงถามด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ไม่รู้ ๆ ๆ” หยูเจียงทิ้งคำพูดไว้ 3 คำ ก่อนที่เขาจะจากไปในทันที
“คุณหนีไปได้แต่ผมหนีไปไหนไม่ได้นะ ท่านผู้นำ!!!” หยูเผิงส่งเสียงตะโกนขึ้นมาอย่างอ่อนใจ แต่ในระหว่างที่มันไม่มีใครทันสังเกต มันกลับได้มีรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา
***************
ยิ้มอะไรอีกกกกกกกก เดาไม่ไหวแล้วนะ T^T