ตอนที่ 577 แววตาอาฆาต
ตอนที่ 577 แววตาอาฆาต
“ถึงจะเข้าใจแต่นายก็ยังเลือกที่จะเป็นนักสู้มากกว่าปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานงั้นเหรอ?!” มู่หนานเฉินเริ่มถามด้วยความหงุดหงิด
เหตุการณ์นี้ทำให้มู่ฟู่ผิงรู้สึกสับสนมาก เพราะเธอไม่สามารถทำความเข้าใจได้จริง ๆ ว่าทำไมเซี่ยเฟยถึงได้ปฏิเสธโอกาสที่ดีแบบนี้ไป
“มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่ผมจะเลือกเดินในเส้นทางสายนักสู้ และอย่างที่ผมได้บอกเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าผมจะต้องเป็นนักสู้ที่ดีก่อนเท่านั้น ผมถึงจะเอาเวลาว่างไปฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงาน”
“ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ผมก็ยังอาศัยอยู่ในตระกูลหยู มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกมากนักถ้าหากว่าผมต้องเดินทางออกไปศึกษาเรื่องกฎแห่งการกลั่นพลังงานในตระกูลอื่น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยเผยให้เห็นด้านที่ดื้อด้านของเขาอีกครั้ง
คำพูดของเขาชัดเจนมากราวกับจะบอกทุกคนว่าเขาจะเป็นผู้เลือกเส้นทางการเติบโตด้วยตัวเอง และคนอื่นไม่จำเป็นจะต้องมาตัดสินใจในเรื่องนี้แทนเขา
คำตอบของเซี่ยเฟยทำให้มู่หนานเฉินรู้สึกเสียหน้ามาก เขาจึงปล่อยเสียงลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะกล่าวคำลาและรีบเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
—
ระหว่างทางกลับบ้านหยูฮัวก็ได้เดินตามชายหนุ่มมาตลอดทาง
“จริง ๆ นายควรตอบรับคำเชิญของคุณมู่หนานเฉินเขานะ ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนที่มีแนวโน้มจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต และตระกูลวิทเทอร์ก็ยังเป็นตระกูลชั้นยอดในดินแดนนี้ การเข้าไปพัฒนาในตระกูลวิทเทอร์มันย่อมดีกว่าการอยู่ในตระกูลหยูอยู่แล้ว” หยูฮัวกล่าว
“ถ้าหากว่าพวกเขาเชิญผมมาด้วยความจริงใจตั้งแต่แรกผมก็อาจจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ แต่นี่พวกเขาเริ่มจากการดูถูกผมก่อนแล้วค่อยมาให้ความสนใจผมในภายหลัง ผมไม่สามารถทำใจอยู่กับคนกลับกลอกแบบนั้นได้จริง ๆ นอกจากนี้ผมยังเกลียดการถูกคนอื่นหลอกใช้มากที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เมื่อเซี่ยเฟยพูดมาจนถึงคำว่าเขาเกลียดการถูกคนอื่นหลอกใช้มากที่สุด หยูฮัวก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่การเคลื่อนไหวของเขาจะกลับมาเป็นปกติในพริบตา
“แต่ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าสิ่งที่นายแสดงออกไปจะเป็นความลับทั้งหมดของนายแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ที่ฉันรู้จักนายมาฉันก็ได้รู้แล้วว่านายคือพวกชอบเก็บซ่อนความลับเอาไว้ในมุมมืด และถึงแม้ว่าฉันจะเคยรู้จักคนนิสัยแบบนายมาแล้วหลายคน แต่ฉันก็ยังไม่เคยเห็นใครเก็บซ่อนความลับเอาไว้อย่างซับซ้อนเหมือนกับนายเลย” หยูฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่ออันนั้นมันก็เรื่องของคุณ ผมคงบอกได้แค่ว่าเรื่องทุกอย่างในวันนี้คือความลับทั้งหมดของผมแล้วจริง ๆ และที่ผมเผลอพลั้งพูดออกไปนั่นก็เพราะว่าผมทนให้คนพวกนั้นมาดูถูกผมต่อไม่ไหวแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวตอบก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่น
“พรุ่งนี้ผมจะต้องไปเมืองอีกาดำ คุณพอจะมีคำแนะนำอะไรให้ผมไหม?”
“นายต้องการจะถามหาเทคนิคการทะลวงผ่านไปเป็นอัศวินกฎจากฉันใช่ไหม?” หยูฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับตรง ๆ โดยไม่คิดที่จะอ้อมค้อม
“ถึงนายไม่ถามฉันก็คิดที่จะบอกนายอยู่แล้ว แต่พูดตามตรงนะว่าฉันก็ไม่แน่ใจว่าเทคนิคของฉันจะช่วยให้นายพัฒนาได้ก่อนเวลาชุมนุมหรือเปล่า ท้ายที่สุดการพยายามก้าวข้ามผ่านกำแพงของแต่ละระดับก็เป็นเรื่องที่ยากมาก และความยากลำบากในการทะลุทะลวงก็แตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน”
“จากประสบการณ์ของฉันการพยายามก้าวข้ามผ่านระดับอัศวินกฎแตกต่างจากการพยายามก้าวข้ามผ่านนักรบกฎขั้นที่ 6 มาก ซึ่งถ้าหากว่าการก้าวข้ามผ่านนักรบกฎขั้นที่ 6 จำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาล การพยายามก้าวข้ามผ่านระดับนายก็แทบที่จะไม่ต้องใช้พลังงานเลย”
“ไม่ต้องใช้พลังงาน?” เซี่ยเฟยอุทานด้วยความสงสัย
“เทคนิคการก้าวข้ามผ่านระดับอัศวินกฎให้ได้อย่างรวดเร็วคือ นายจะต้องฝึกฝนในสภาวะที่พลังงานภายในร่างกายกำลังขาดแคลน แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาแรงใจเยอะมากพอสมควร” หยูฮัวกล่าว
“อ๋อ ในระหว่างที่พลังงานขาดแคลนจนถึงขีดสุดจิตใจของคนเราก็มักที่จะตกอยู่ในความว่างเปล่า ในเวลานั้นเราก็มักที่จะเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ และคุณก็กำลังจะบอกให้ผมใช้สัญญาตญาณในการทะลวงผ่านไปยังระดับอัศวินสินะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากพิจารณาเทคนิคของหยูฮัว
“ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะว่าสภาวะขาดแคลนพลังงานเป็นสภาวะที่อันตรายมาก ถ้าหากว่ามันเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงเล็กน้อย มันก็อาจจะทำให้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของนายได้รับบาดเจ็บได้เลย” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยรู้ดีว่าความเจ็บปวดของการที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้รับความเสียหายมันเป็นยังไง แต่ปัจจุบันเขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นก่อนที่งานชุมนุมมังกรฟ้าจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งถ้าหากว่าเขาพลาดรถไฟขบวนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาก็จำเป็นจะต้องสู้จนสุดใจเพื่อคว้าโอกาสที่ดีในครั้งนี้เอาไว้ให้ได้
ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เดินสวนกับชายร่างใหญ่คนหนึ่งไป แต่เซี่ยเฟยกลับสัมผัสได้ว่าชายคนนี้กับหยูฮัวมองหน้ากันภายใต้ความเงียบงัน คล้ายกับว่าพวกเขาไม่ชอบขี้หน้ากันมานานแล้ว
“ใครเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“เขาชื่อหยูจินเป็นนักสู้ที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลรองจากผู้อาวุโสเท่านั้น และเขาก็จะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลในอนาคตด้วย ความจริงในช่วงหลายปีมานี้ผู้อาวุโสก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องการจัดการของตระกูลแล้ว เพราะหน้าที่เกือบทุกอย่างถูกโอนให้หยูจินเอาไปดูแลทั้งหมด” หยูฮัวอธิบาย
“แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับคุณหรอกนะครับ แล้วทำไมเขาถึงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในตระกูล?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ถึงเขาจะไม่ได้มีพลังถึงระดับราชากฎเหมือนกับฉัน แต่เขาก็มีพลังอยู่ในระดับอัศวินกฎขั้นสูงสุด อีกอย่างอย่าลืมนะว่าฉันไม่ได้เป็นสมาชิกทางการของตระกูลอีกต่อไปแล้ว และถึงแม้ว่าฉันจะยังคอยช่วยเหลือผู้อาวุโสจัดการเรื่องต่าง ๆ อยู่บ้าง แต่นั่นมันก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่ใช่คำสั่งที่ถูกส่งตรงมาจากตระกูล” หยูฮัวกล่าว
“พวกคุณสองคนเคยมีเรื่องบาดหมางกันงั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างมันกลายเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว”
แม้ว่าหยูฮัวจะตอบออกมาแบบนั้นแต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้มีความคิดไปในทิศทางเดียวกันกับพ่อค้าคนนี้เลย เพราะในแววตาของหยูฮัวเต็มไปด้วยเจตนาสังหารและเขาก็ได้เห็นแววตานี้จากหยูฮัวด้วยตัวเอง
“ฉันคิดว่าที่หยูฮัวละทิ้งตระกูลแล้วไปเป็นพ่อค้าจะต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ชื่อหยูจินคนนั้นแน่ ๆ แว้บแรกที่ฉันเห็นหน้าเขาฉันก็รู้สึกได้เลยว่าเขาจะต้องเป็นพวกคนไม่ดี แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับคนทั้งจักรวาลจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยไม่ค่อยสนใจความรู้สึกจากการแรกพบมากนัก เพราะความรู้สึกพวกนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่เขาก็ยังคงจดจำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ภายในใจ
“เอาล่ะนายกลับบ้านไปก่อนเถอะ ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ บางทีเราอาจจะได้พบกันอีกครั้งก่อนที่นายจะได้เดินทางไปที่งานชุมนุมมังกรฟ้า” หยูฮัวกล่าว
“ดูเหมือนว่าคุณจะมั่นใจจังเลยนะว่าผมจะสามารถพัฒนาจนกลายเป็นอัศวินกฎได้ภายใน 15 วัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง แต่สำหรับนายมันมีโอกาสเป็นไปได้อย่างแน่นอน” หยูฮัวกล่าว
หลังจากนั้นหยูฮัวก็ปลีกตัวออกไป ก่อนที่เขาจะใช้กฎแห่งมิติหายตัวไปอย่างฉับพลันเรียกสายตาอิจฉาริษยาจากชายหนุ่มได้อยู่พักหนึ่ง ที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
กระป๋องรออยู่ในบ้านอย่างกระวนกระวาย และเมื่อมันได้พบกับเซี่ยเฟยหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมามากกว่า 10 วัน มันก็เริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าอันบึ้งตึง
“หลังจากนี้ไม่ว่าเจ้านายจะไปไหน กระป๋องจะไปด้วย! กระป๋องจะอยู่ในแหวนมิติของเจ้านายให้เป็นเหมือนบ้านของกระป๋องเลย!!”
คำพูดจากหุ่นยนต์ตัวนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปอยู่พักหนึ่ง และเขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกเสียจากจะต้องตอบตกลงกลับไปเท่านั้น
—
วันนี้ถือเป็นวันที่โชคดีมาก เพราะนอกเหนือจากเขาจะได้ของรางวัลเป็นสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้าแล้ว เขายังสามารถติดต่อกลับไปหาแอวริลในพันธมิตรได้อีกด้วย
ในหน้าจอแอวริลกำลังจดบันทึกอะไรสักอย่างโดยใช้ดินสอทัดหูเอาไว้ แต่ดวงตาสดใสทั้งสองข้างของเธอก็กำลังหรี่ลงเรื่อย ๆ คล้ายกับเธอรู้สึกง่วงนอนมาก
“นั่นเธอกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเหนื่อยก็ไปนอนพักก่อนดีไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันกำลังร่างแผนพัฒนาบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดอยู่ ตอนนี้พ่อมอบหน้าที่ให้ฉันดูแลงานบริหารจัดการในส่วนการวิจัยและพัฒนาแล้ว ดังนั้นฉันจะต้องตั้งใจทำงานไม่ให้คนอื่นมาว่าฉันได้” แอวริลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถึงยังไงงานก็คืองาน เธอไม่จำเป็นจะต้องทำงานหนักขนาดนั้นก็ได้ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะกลับไปดูแลเธอตลอดชีวิตอยู่แล้ว”
คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้แก้มของแอวริลเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งหญิงสาวทุกคนในจักรวาลแห่งนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่อยากจะได้ยินประโยคเดียวกันกับเธอทั้งนั้น
“ถ้าฉันไม่ยุ่งกับงาน ฉันก็ว่างไปคิดถึงนายน่ะสิ”
เสียงของแอวริลแผ่วเบามาก แต่เซี่ยเฟยก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อได้ยินความคิดถึงจากหญิงสาวที่เขารัก
การแยกกันอยู่ไกลกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทั้งสองคนเลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเฟยหรือแอวริลต่างก็พยายามจะทำให้ตัวเองยุ่งเพื่อไม่ให้พวกเขาคิดถึงอีกฝ่ายเหมือน ๆ กัน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเฟยก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า
“เมื่อกี้ฉันได้คุยกับชาร์ลีและลูกน้องฉันคนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพันธุกรรมมาก พวกเขาบอกว่าตอนนี้พวกเขากำลังวิจัยน้ำยาปรับสภาพยีนที่ปลอดภัยออกมาโดยเร็วที่สุด หลังจากที่พวกเขาทำการวิจัยเสร็จแล้วฉันจะเอามันไปให้เธอนะ” เซี่ยเฟยกล่าว
แอวริลพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“เธอไม่ถามฉันเลยเหรอว่าทำไมฉันถึงอยากให้เธอเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ล่ะ ฉันรู้ว่านายจะต้องมีเหตุผล” แอวริลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยรู้สึกอบอุ่นภายในใจอีกครั้ง เพราะความรู้สึกไว้วางใจโดยปราศจากเงื่อนไขของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก
หลังจากวางสายจากแอวริล เซี่ยเฟยก็ติดต่อไปหาชาร์ลีอีกครั้ง
“ฉันขอย้ำอีกครั้งว่าน้ำยาปรับสภาพยีนที่กำลังวิจัยอยู่จะต้องทดสอบกับมนุษย์และมีความปลอดภัย 100% เท่านั้น ฉันไม่สนว่าผู้ทดลองจะต้องตายไปกี่คน แต่ฉันจะไม่ให้แอวริลเสี่ยงอย่างเด็ดขาด!” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
แน่นอนว่าทางพันธมิตรออกกฎห้ามไม่ให้มีการทดลองกับมนุษย์แล้ว แต่เซี่ยเฟยก็มีแฮร์ริสที่พร้อมจะทำเรื่องนี้ให้กับเขาอยู่แล้ว
“ผมจำได้ที่คุณเคยบอกว่าตราบใดก็ตามที่คนของคุณรอด คุณก็ไม่สนว่าคนทั้งโลกจะต้องตายหรือไม่ ผมไม่เคยลืมประโยคนี้เลยสักครั้ง ไม่ต้องห่วงผมจะทำทุกอย่างไม่ให้มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว” ชาร์ลีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ตราบใดก็ตามที่คนของคุณรอด คุณก็ไม่สนว่าคนทั้งโลกจะต้องตายหรือไม่” โอโร่พึมพำกับตัวเองหลังจากได้ยินคำพูดของชาร์ลี
หลังจากอธิบายเรื่องต่าง ๆ กับชาร์ลีแล้ว เซี่ยเฟยก็ทำการติดต่อไปหาโซฟีเพื่อถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการสร้างไททัน ซึ่งทุก ๆ อย่างก็ยังคงดำเนินการไปอย่างราบรื่น แต่เนื่องจากว่าไททันมีขนาดใหญ่มากเกินไป มันจึงจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีจึงจะสร้างยานลำนี้ได้แล้วเสร็จ
—
ในตอนเช้าชายหนุ่มก็เดินทางไปยังท่าน้ำที่หยูเจียงชอบมาตกปลาตามที่เขาได้นัดหมายเอาไว้ และเขาก็ได้พบกับคอปเปอร์ทันทีที่เดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้
“เซี่ยเฟย!”
“ครูฝึก!”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มทักทายกันอย่างดีใจ ซึ่งคอปเปอร์ก็ดูผอมลงไปกว่าเดิมมาก ส่วนเท้าซ้ายของเขาก็ดูเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บ
“ขาคุณ…”
“ไม่มีอะไร มันก็แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย” คอปเปอร์กล่าวพร้อมกับรีบปกปิดอาการบาดเจ็บของตัวเองไว้
เมื่อได้เห็นสภาพของคอปเปอร์มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกาะอสรพิษพิทักษ์จะต้องเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก ไม่อย่างนั้นคอปเปอร์ก็คงจะไม่ได้มีสภาพเป็นแบบนี้หลังจากถูกย้ายไปอยู่ที่เกาะนั้นเพียงแค่ 2 เดือน
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วและสาปแช่งดูบาร์อยู่ภายในใจ ซึ่งถ้าหากว่าเขาไม่ได้รีบเรียกคอปเปอร์กลับมา เขาก็เกรงว่าเขาคงจะพบกับครูฝึกคนนี้ตอนที่อีกฝ่ายกลายเป็นศพไปแล้ว
เมื่อคอปเปอร์ถูกย้ายกลับมาด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยเฟย เขาจึงกล่าวขอบคุณชายหนุ่มซ้ำ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซี่ยเฟยยังได้กลายเป็นนักรบกฎขั้นสูงสุดแล้ว สถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เอาล่ะมีอะไรอยากจะคุยค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปที่เมืองอีกาดำแล้ว” หยูเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
***************