ตอนที่ 150 ข้ามีสัตว์เลี้ยงเป็นหมอผี(อ่านฟรี)
ตอนที่ 150 ข้ามีสัตว์เลี้ยงเป็นหมอผี
สาวชนพื้นเมืองไม่สนใจคำถามของลุค เธอพยายามทำท่าทางหลอกล่อให้เขาคล้องเชือกที่คอ เธอพูดไม่หยุดอยู่แบบนั้นและมองด้วยความระแวงต่อคนรอบ ๆ ที่มองดูเธอไล่รับลุคอยู่
ลุคไม่เข้าใจภาษาของพวกชนพื้นเมือง แต่เขานึกถึงไอเทมชิ้นหนึ่ง
“แหวนสื่อสารมอนสเตอร์มันน่าจะใช้ได้”
ก่อนหน้านั้นไม่มีความจำเป็นต้องสื่อสารกับมอนสเตอร์ และตอนหนีชนพื้นเมืองก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอยู่แล้ว มีแต่ไล่ฆ่ากันลูกเดียว แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป
แหวนปรากฏที่นิ้วมือของลุค เขาใช้งานมันในทันที
“เดี๋ยวเธอคิดจะทำอะไร!”
หญิงสาวชนพื้นเมืองคนนั้นทำหน้าตกใจ
“ลิงไร้ขนพูดได้”
“ลิงไร้ขน...”
หน้าลุคกระตุกเบา ๆ แต่พอคิดแล้วก็ไม่ได้ถือสาอะไรเธอ
ขนาดเขายังคิดว่าพวกเธอเป็นลิงมีขน แต่เดี๋ยวก่อนลิงปกติก็มีขนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ควรเรียกว่าลิงไร้หางมากกว่า ไม่สิพวกมนุษย์ก็เหมือนลิงไร้หางด้วยนี่หว่า ช่างมันแล้วกัน...
ลุคขี้เกียจจะคิดอีก
“เธอกำลังทำอะไร จะเอาเชือกนั้นมาคล้องคอฉันทำไม?”
สาวชาวพื้นเมืองถือเชือกไว้ในมือและมองลุคอย่างสนใจ ขึ้น ๆ ลงไปไม่หยุด แต่เหมือนจะไม่คิดมากเรื่องที่ลุคพูดได้ เพราะเธอก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นตัวอะไร
“เจ้าคือสมบัติของข้า ข้าเก็บเจ้าได้”
ลุคยิ่งหน้าบิดเบี้ยวเข้าไปอีก “เก็บได้ก็กลายเป็นสมบัติกันเลยเหรอ แต่มันเกี่ยวอะไรกับเอาเชือกมาผูกคอกัน”
“ก็สัตว์เลี้ยงทุกตัวทำแบบนี้”
ปรากฏว่าเธอมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยง
“มาซะเจ้าอย่าได้คิดหนี เจ้าเป็นสมบัติของข้าแล้ว มานี่ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นจะเอาเจ้าไป สัตว์เลี้ยงที่ไม่มีเจ้าของ”
ลุคขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงจะไม่พอใจการสนทนาครั้งนี้ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่เขาอึ้งไปเรื่องหนึ่ง สติปัญญาของเธอไม่ต่างจากมนุษย์ผู้ใหญ่ หมายความว่าชนพื้นเมืองไม่ได้โง่
เรื่องนี้พอคาดเดาได้ จากการลอบโจมตีของพวกมันแต่นั่นไม่ได้ช่วยยืนยันเรื่องตรรกะความคิดที่เป็นระบบ ตอนนี้พอได้สนทนาสั้น ๆ กับสาวชาวพื้นเมืองตรงหน้าก็ทำให้เข้าใจว่าพวกเขามีตรรกะความคิดไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์โลกเลย
บางทีความต่างของมนุษย์โลกและชนพื้นเมืองอาจจะเป็นแค่เรื่องขององค์ความรู้ที่สะสมในเผ่าพันธุ์ก็เท่านั้น
เมื่อก่อนกว่ามนุษย์จะรู้จักไฟ จะสร้างที่อยู่ เลี้ยงสัตว์ และผ่านยุคต่าง ๆ จนถึงมีการผลิตไฟฟ้าขึ้นมาก็ใช้เวลายาวนานหลายหมื่นปีกันเลยทีเดียว
คนพวกนี้ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาต้องสะสมองค์ความรู้ไปเรื่อย ๆ สักวันอาจจะทรงพลังพอปกครองโลกนี้ได้เหมือนที่มนุษย์ปกครองโลกของตัวเอง ก่อนจะมีประตูมิติเปิดขึ้นมา
แน่นอนว่าในบางเรื่ององค์ความรู้พวกเขาก็สูงกว่ามนุษย์โลกแล้ว เช่นอาวุธสร้างอาวุธที่แปลงคลื่นพลังเป็นพลังธาตุได้
“ไม่รู้ว่าที่นี่มีของแบบนี้ไหม”
ลุคกำลังตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ ตอนนั้นเองสาวชนพื้นเมืองก็พยายามเอาเชือกมาคล้องคอลุคอีกรอบ
“นี่หยุดทำแบบนั้นได้ไหม ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเธอ”
“เจ้าเป็นของข้า ต้องสวมปลอกคอ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่ยอมอ่อนข้อให้กับลุคแม้แต่นิดเดียว
ตอนนั้นมีเสียงดังมาไม่ไกล
“เจ้าทำอะไร”
“มันคือตัวอะไร”
“โอ้...สัตว์เลี้ยง”
“เหมือนจะสวมปลอกคอมันไม่ได้ แย่งเลยไหม”
ชนพื้นเมืองหลายคนจับจ้องมาที่ลุค พวกเขาอยากจะเข้ามาแย่งลุคไป เพราะเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นไม่อาจจะควบคุมลุคได้
นี่ยิ่งทำให้เธอร้อนใจเข้าไปใหญ่ สุดท้ายพุ่งเข้าไปพยายามจับลุคใส่ปลอกคอเพราะกลัวคนอื่นแย่งไป
ลุคเหมือนตระหนักได้ว่าการมีปลอกคอคือการระบุความเป็นเจ้าของ
เขาไม่อยากมีปัญหาตอนนี้และอยากรู้เรื่องชนพื้นเมืองให้มากขึ้น แถมจะให้หนีไปก็คงไม่ได้ นอกจากพวกระดับ D ที่เข้ามาหาเรื่องเขาแล้วยังมีพวกชนพื้นเมืองตัวใหญ่ ๆ อีกหลายคนที่แข็งแกร่งกว่าจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจอยู่
“จะสวมก็ได้ แต่ฉันจะไม่เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ”
หญิงสาวไม่สนใจ แค่เห็นลุคหยุดนิ่งให้เอาเชือกมาสวมก็พอใจแล้ว เธอรีบดึงเชือกจูงลุคมาที่กระโจมในทันที ลุคค่อนข้างอึดอัดพอสมควรที่โดนกระทำแบบนี้
ยังดีที่นี่ไม่มีมนุษย์อยู่ ลุคทำสีหน้าเอือมเล็กน้อย
สาวคนนั้นคิดจะพาลุคไปที่กระโจมและทำท่าจะผูกไว้ที่หลังกระโจมตามเดิม แต่ลุคไม่คิดจะยอมอยู่แล้ว
“นี่ ฉันเข้าไปด้านในได้ไหมจะขอคุยด้วยได้ไหม”
“สัตว์เลี้ยงต้องอยู่ที่นี่” เธอชี้ไปที่เสาไม้ราวกับว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็นแบบนั้น
แต่ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไง...ลุคเถียงในใจ ก่อนจะกล่าวกับเธอว่า “ถ้าฉันอยู่ที่นี่แล้วเกิดมีคนมาขโมยไปอีกละ”
สาวชนพื้นเมืองได้ยินแบบนั้นก็เริ่มลังเล เหมือนเธอจะระแวงเหมือนกันว่าจะมีคนมาขโมยลุคไป สุดท้ายเธอก็ต้องจำใจพาลุคเข้าไปด้านใน
ภายในกระโจมนี้เรียบง่าย มาก มีแค่กองหญ้าแห้งที่ถูกปูไว้มุมหนึ่งและด้านบนปูด้วยหนังสัตว์เก่า ๆ หนึ่งผืน ซึ่งใช้สำหรับนอน แต่ลุคก็เห็นว่าด้านบนหนังสัตว์นั้นมีเสื้อผ้าเขาอยู่ ดูเหมือนมันจะถูกถอดออกไปและเอาไปทำผ้าปูที่นอน
‘เธอแก้ผ้าเราเลย คนของโลกนี้ไม่มีความอายกันบ้างหรือไง’ ลุคบ่นอย่างหัวเสีย เพราะดูเหมือนเขาจะโดนเห็นจนหมดแล้ว
ลุคคิดว่าจะขอคืนดีใหม่ แต่ก็ช่างเถอะ
นอกจากที่นอนแล้วใจกลางก็มีกองไฟเล็ก ๆ ที่ถูกจุดอยู่ อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น แต่ด้านในอุ่นเพราะกองไฟนี้ ส่วนเรื่องการถ่ายเทอากาศไม่ต้องเป็นห่วง เพราะด้านบนมันไม่ได้ปิดทึบ แต่เว้นช่องไว้ แถมรอบ ๆ ตัวกระโจมที่ทำมาจากหญ้าก็ไม่ได้หนามาก อากาศผ่าเข้าออกได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรบังเลย
“พวกเขารู้จักใช้ไฟ” ลุคหรี่ตาลง แต่ไม่ประหลาดใจมาก ใช้พลังธาตุได้ไฟได้ เรื่องการก่อไฟคงค้นพบกันมานานแล้ว
“นั่งตรงนี้” เธอชี้ไปที่ด้านหนึ่ง ก่อนจะลังเลว่าจะผูกเชือกหรือไม่ผูก เพราะหลักไม้ที่ใช้ผูกอยู่ด้านนอก แต่สุดท้ายเธอก็ออกไปและดึงหลักมาตอกไว้ด้านใน
ลุคพูดไม่ออกเล็กน้อย แต่ปล่อยเธอทำเพราะดูเหมือนเธอจะไม่สบายใจถ้าไม่ผูกเลยเชือกนั้น แน่นอนว่าหลังจากนั่งลงเขาก็แอบถอดเชือกออกและมาพลาดไว้บนบ่า โดยที่เธอก็ไม่ทันได้รู้ตัว
สาวชนพื้นเมืองนั่งลงและเอาอาหารออกมา
“ไข่”
แต่พอเธอทุบมันบนหิน จึงรู้ว่าไม่ใช่ไข่ แต่เป็นผลไม้อะไรสักอย่าง เธอบดมันจนละเอียด ก่อนจะกวาดใส่หินที่แบนคล้ายจาน ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะเอามาให้เขากิน แต่เธอกลับนั่งกินเองอย่างเงียบ ๆ
ลุคมองอย่างสนใจ
สาวชนพื้นเมืองเห็นลุคจ้องมองมาเลยคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือตกมาและโยนลงดินตรงหน้าลุค
“กิน”
“...” ลุคพูดไม่ออก เธอทำกับเขาเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงจริง ๆ
ลุคเมินอาหารที่ตกพื้น ก่อนจะคิดว่าสาวชาวพื้นเมืองคนนี้เหมือนจะขัดสนเรื่องอาหารไม่น้อย ถึงยังงั้นก็แบ่งใช้ฉันกิน แต่มัน....เห้อ
ตอนเข้ามาเขาสังเกตว่ากระโจมอื่น ๆ เหมือนจะมีเนื้อตากแห้งไว้หน้ากระโจมไม่ก็มีพืชอื่น ๆ แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย แถมกระโจมก็ดูเก่าและอยู่นอกสุดจนเหมือนหลบอยู่ในหลืบ
“ทำไมถึงไม่กินเนื้อ เห็นกระโจมอื่นตากเนื้อไว้ด้านหน้า” ลุคเริ่มสอบถาม การทำความเข้าใจถือเป็นเรื่องสำคัญ
สาวชาวพื้นเมืองยกแขนที่เต็มไปด้วยขนเช็ดปากและตอบเขา “มีแต่กระโจมที่มีนักรบถึงได้กินเนื้อ”
“แล้วเธอไม่มีเหรอ”
“ไม่มี”
“แล้วครอบครัวเธอละ”
“อะไรคือครอบครัว” สาวชาวพื้นเมืองทำหน้างุนงง
ลุคกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย
“ก็หมายถึงพ่อแม่ คนที่ให้กำเนิดเรามาหรือพี่น้องที่มาจากพ่อแม่ก็ได้ ไม่ก็คนที่ห่วงใยเราก็ใช่”
“พ่อแม่ ครอบครัว พวกเขาโดยสัตว์ร้ายกินหมดแล้ว” เธอตอบด้วยความเศร้าเล็กน้อย
ลุคเงียบไปไม่ได้ถามต่อ
‘เด็กกำพร้า? ที่นี่เลยไม่มีใคร เธอดูไม่แข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงชนพื้นเมืองที่อาศัยคนเดียว’
‘อ่อนแอในเผ่า หากินแต่ผักผลไม้ประทังชีวิต’
ลุคนิยายสถานการณ์ของเธออย่างรวดเร็ว
“นี่...มาแลกเปลี่ยนกันไหม”
“แลกเปลี่ยนหมายถึงสิ่งของเหรอ” เธอมองไปที่กางเกงของลุค
ลุครู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร จึงรีบกล่าวห้ามทันที
“หยุดเลย ไม่ได้หมายถึงเจ้านี่ แต่เป็นสิ่งนี้”
เขาเอาเนื้อมอนสเตอร์ออกมาชิ้นหนึ่ง
“เนื้อ!” สาวชาวพื้นเมืองเบิกตากว้างรีบเข้ามาแย่งไปจากมือลุคและกินมันแบบสด ๆ
ลุคอึ้งกับสิ่งที่เห็น เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการตอบสนองที่รุนแรงแบบนี้
แต่หลังกัดไปไม่กี่คำเหมือนเธอนึกขึ้นได้เลยวางเนื้อในมือลงและกระโจนเข้ามาที่ตัวลุคและพยายามค้นตัวเขา ราวกับว่าอยากรู้ว่าเขาซ่อนเนื้อไว้ที่ไหน เพราะเธอค้นจนทั่วตัวเขาแล้วก่อนหน้านั้นก็ไม่เจอ
สุดท้ายเธอมองกางเกงเขาและล้วงมือเจ้าไป
“เฮ้ย! นั้นไม่ใช่ โอ๊ย!”
ลุคร้องออกมาด้วยความตกใจ มันไม่ได้สนุกเลยที่โดนหญิงสาวหน้าเหมือนลิงสูงเกือบสองเมตรทำอนาจารแบบนี้ สุดท้ายใช้เวลาสักพักจึงบังคับเธอให้หยุดได้ โดยการที่เขาเอาเนื้อออกมาให้อีก 10 ชิ้น
สาวชาวพื้นเมืองดีใจมากและค่อนข้างหวาดระแวงกลัวมีใครมาแย่งไป ทันทีที่ได้เนื้อไปเธอก็กอดพวกมันไว้แน่น
ลุครู้สึกปวดเป้ามาก
‘เกือบไปถ้าเอาเนื้อออกมาไม่ทัน มีหวังเธอดึงมันหลุดแน่นอน’
ลุคปลอบใจตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเนื้อ แต่ว่าเธอกลับแยกเขี้ยวยิงฟันขู่เขา
“แฮ่รรร....กินอันนั้นไป” เธอชี้ไปที่ผลไม้ที่โดนทุบจนและตกอยู่ที่พื้น
ลุคชักมือกลับขี้เกียจไปสนใจเธอ ก่อนเขาจะเอาเนื้อมอนสเตอร์ในส่วนของตัวเองออกมา
หญิงสาวชนพื้นเมืองตาเป็นประกายมองไม่ละสายตาจากเนื้อในมือ แต่ลุคไม่ได้ให้เธอ เขาเอาเหล็กออกมาเริ่มเอาเนื้อไปย่างไฟ
หญิงสาวนั่งมอง ก่อนจะโยนของตัวเองใส่กองไฟเช่นกัน
“ทำแบบนั้นก็ไหม้หมดหรอก” ลุคกล่าวเตือน
“ไม่ไหม้ทำไมถึงไหม้ไม่ได้ ในเมื่อไหม้ก็กินได้หรือไม่ไหม้ถึงกินได้” เธอกล่าวกลับเขาด้วยความสงสัย
“เออ...ตามสบายเลย” ลุคหมดคำจะพูด ก่อนจะก้มดูแหวนว่ามันเสียหรือเปล่า เพราะมันแปลชวนเขาสับสนไม่น้อย
เนื้อของสาวชนพื้นเมืองนั้นไหม้ดำจริง ๆ ถึงไฟจะไม่แรง แต่โดนถ่านและขี้เถ้าเต็ม ๆ ยังไงก็ไหม้อยู่ดี แต่หญิงสาวชาวพื้นเมืองกลับไม่สนใจเริ่มกัดกินอย่างอร่อย
ลุคมองดูและคิดว่า ‘บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องการปรุง แค่รู้ว่าย่างให้สุกก็พอแล้ว’
เนื้อลุคยิ่งสุกช้ากว่า เพราะเขาไม่อยากให้มันไหม้ ตอนที่ย่างก็เอาเครื่องปรุงมาทาลงไปเล็กน้อย มันเป็นซอสย่างสำเร็จรูปที่เขาตุนมาเยอะมากเพราะรู้ว่าต้องมีมื้ออาหารการย่าง แม้เนื้อมอนสเตอร์จะอร่อยและเต็มไปด้วยพลังงาน แต่กินเปล่า ๆ ไม่ปรุงเลยมันก็ช่วยเบื่อได้เหมือนกัน
พอเริ่มสุกก็ส่งกลิ่นหอมออกมา
หญิงสาวชาวพื้นเมืองเหลือบมองและสูดกลิ่นพร้อมทั้งน้ำลายไหลไปด้วย
“เจ้ากินอันนี้พอ” เธอกล่าวจบก่อนจะแย่งของลุคไปหน้าตาเฉย
“เฮ้ย!...” เขากดฟันเล็กน้อย และเตือนในใจว่า ‘ให้ไปเถอะ ยังไงเธอก็ช่วยชีวิตเราไว้’
ลุคถอนหายใจ ก่อนจะหยิบชิ้นต่อไปมาและทำเพิ่ม เพราะทำใจกินเนื้ออันที่ไหม้ ๆ ไม่ลง
หลังจากนั้นสักพักสาวชาวพื้นเมืองก็มองเนื้อที่ลุคกำลังกิน เขาเหมือนจะคิดอะไรดี ๆ ออก
“อยากกินไหม?”
“อยาก” เธอหยิบเนื้อไหม้ ๆ นั้นมาจะเปลี่ยนกับเนื้อในมือเขา
“หยุดเลย” ลุคห้ามเธอ
“สัตว์เลี้ยงกินอันนี้พอ” เธอทำสีหน้าจริงจัง “ไหม้ก็กินได้ ไม่ไหม้ก็กินได้ สัตว์เลี้ยงกินได้ง่าย”
ลุคถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ
“ฉันจะให้เธอ แต่เธอต้องตอบคำถามของฉัน”
เธอก้มหน้าใช้ความคิดก่อนจะกล่าว “สัตว์เลี้ยงต้องช่วยล่าสัตว์ ถ้าล่าไม่ได้ก็โดนกิน”
แบบนี้นี่เอง...ใช่ซะที่ไหนกัน!
‘ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันอยากถามเรื่องสัตว์เลี้ยง แต่แบบนั้นก็เถอะ ทำไมฉันต้องถามเธอเรื่องนั้น หรือเพราะคิดว่าฉันจะเป็นสัตว์เลี้ยงเธอเลยจะต้องถามเพื่อให้รู้หน้าที่ตัวเองเหรอ’
ลุคบ่นในใจ
“ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น เอาเป็นว่าเริ่มจากเธอชื่ออะไร มีชื่อไหม?”
“ชื่อ....? หมอผีตั้งให้ว่า อุรัง”
‘ชื่อบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมไม่ต่อท้ายว่า อุตัง ไปด้วยเลยละ’ ลุคเหน็บแนมในใจและด่าหมอผีที่ตั้งชื่อได้ห่วยมาก แต่พอคิดว่าวัฒนธรรมต่างกัน โลกต่างกัน คำก็อาจจะต่างกันไปด้วยได้
“อุรัง ช่างเถอะฉันเรียกเธอว่า ไอรินก็แล้วกัน” ลุคทำใจเรียกแบบนั้นไม่ได้
“เจ้าตั้งชื่อไม่ได้ เจ้าไม่ใช่หมอผี...ไม่สิ! หรือเจ้าเป็น เพราะเจ้าเสกเนื้อได้ แต่เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า ข้ามีสัตว์เลี้ยงเป็นหมอผี” เธอพูดอย่างสับสนจนเริ่มอ้าปากค้างราวกับสมองโหลดความคิดไม่ทันจึงสะดุดไป
สุดท้ายก็ยังดึงดันให้เขาเป็นสัตว์เลี้ยงตามเดิม แต่จากที่ฟังก็พอเจอเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง ‘หมอผี ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวตนที่ทำธรรมดา’