บทที่ 147 รางวัลอันดับหนึ่ง
บทที่ 147 รางวัลอันดับหนึ่ง
“เอาล่ะ มันเริ่มดึกแล้ว หยานเอ๋อร์ เราควรไปได้แล้ว” หัวหน้าตระกูลหลิวพูด โดยใช้ข้ออ้างเพื่อขัดจังหวะการสนทนาระหว่างทั้งสองเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะกัน
“ฮึ่ม” หลิวเหยียนส่งเสียงฮึดฮัด จับมือพี่สาวของนางหลิวหยินไว้ และกำลังจะจากไปพร้อมกับบิดา
เมื่อเห็นทุกคนในตระกูลหลิวจากไป หนิงเสวี่ยก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ
สำหรับตระกูลโจว และสมาคมเงามืด พวกเขาได้จากไปนานแล้ว พวกเขายังคงตกใจกับพลังการต่อสู้ของหลินเป้ย
ทั้งสองฝ่ายต่างคิดเหมิือนกัน หากหลินเป้ยไม่ถูกกำจัดในตอนนี้ที่ยังอ่อนแอ พวกเขาจะไม่มีโอกาสกำจัดเขาอีกในอนาคต
หากหลินเป้ยได้รับอนุญาตให้เติบโตได้สักระยะหนึ่ง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาปรมาจารย์นักรบ ก็อาจไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด
ตอนนี้พวกเขามีเพียงตู๋ไคเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตมหาปรมาจารย์นักรบ แต่เขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้เพียงสองเดือนเท่านั้น ขอบเขตยังไม่มั่นคงมากนักและพลังการต่อสู้ของเขาไม่สามารถใช้ได้เต็มที่
หากเขาต้องการสังหารหลินเป้ยต่อหน้าคนทั้งตระกูลหลิน เขาจะไม่สามารถทำมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ หลินเป้ยยังมีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณระดับ3 อีกมากมาย และข้าไม่รู้ว่าหลินเป้ยยังมียันต์หุ่นเชิดอยู่อีกหรือไม่?
เมื่อไม่สามารถสังหารได้ พวกเขาจึงได้แต่จากไป โดยเฉพาะตระกูลโจว ครั้งนี้เขานำรุ่นเยาว์ของตระกูลมาด้วยมากมาย ถ้าเกิดมีการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ความสูญเสียของตระกูลจะมากเกินกว่าจะรับไหว
ทั้งสองฝ่ายต่างชั่งน้ำหนักถึงข้อดีและข้อเสีย ในที่สุด พวกเขาก็ไม่เสี่ยงที่จะโจมตีหลินเป้ย
กองกำลังทั้งสองจึงจากไปเช่นนี้
สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นในวันนี้กลับไม่ได้เห็น แต่สิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาไม่มีความสุข
หลินเป้ยเคยสังหารพวกเขาไปมากมายในเทือกเขาเทียนหยาง แต่เรื่องนี้ตระกูลหลินยังไม่รู้ อีกอย่าง เรื่องที่ทั้งงสองกองกำลังมีข้อบาดหมางกับหลินเป้ย พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
แน่นอน กองกำลังหลักทั้งสองจะไม่พูดถึงเรื่องน่าอับอายเหล่านี้อยู่แล้ว
ในความเป็นจริง เรื่องนี้ ผิดตั้งแต่กองกำลังหลักทั้งสองแอบส่งคนไปสังหารหลินเป้ยแล้ว แต่ดันถูกสังหารกลับ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา พวกเขาจะถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นก่อนทันที
หลังจากที่ตระกูลหลิวและคนอื่นๆ จากไป ผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลหลินก็เข้ามาหา
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสหก ผู้อาวุโสแปด และผู้อาวุโสเก้าซึ่งขัดแย้งกับหลินเป้ย พวกเขาได้แต่เฝ้าดูอยู่ไกลๆ พวกเขาไม่กล้าเข้ามา
“เป้ยเอ๋อ วันนี้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ เจ้าเอาชนะเฟิงซินหยูได้ ทำให้นางไม่คู่ควรกับเจ้าจริงๆ” หลินเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หลินเทียนรู้ได้ทันทีว่า บุตรของเขาแข็งแกร่งกว่าเขาเมื่อก่อนมาก เมื่อสมัยเขาอายุสิบเจ็ดปี เขายังไม่ทรงพลังเท่าหลินเป้ยเลย
นี่แสดงให้เห็นว่า หลินเป้ยเป็นอัจฉริยะมากกว่าเขาอย่างแน่นอน ในฐานะบิดา เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไรที่ได้เห็นบุตรชายของเขาเก่งขนาดนี้?
“ข้าบอกแล้วว่า นางจะไม่มีวันทำให้เราขายหน้าได้สำเร็จ แล้วข้าก็ทำได้จริงๆ” หลินเป้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็นจริง มันยากมากสำหรับหลินเป้ยที่จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ แต่โชคดีที่เขาชนะได้ในที่สุด
เขาสามารถเอาชนะเฟิงซินหยูได้ เท่ากับว่าสิ่งที่นางกล่าวมันเป็นเรื่องไม่จริง
ผู้คนจำนวนมากรู้ว่านางพ่ายแพ้ต่อหลินเป้ย ซึ่งนางบอกว่า นางต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นเพราะเขาเป็นขยะ แต่ขยะกลับเป็นผู้ชนะ!
ถ้าหลินเป้ยเป็นขยะ แล้วนางที่แพ้จะเป็นอะไร?
หลังจากวันนี้ ตำแหน่งอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ในเมืองชิงหลินจะตกเป็นของหลินเป้ย
กองกำลังมากกว่าสิบคนและผู้คนหลายร้อยคนเฝ้าดูการต่อสู้ครั้งนี้ หลังจากเห็นด้วยตาตนเอง พวกเขาก็ไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของเขาเลย
ความแข็งแกร่งของหลินเป้ยเทียบได้กับหลินวู่จี้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญ หลินเป้ยยังมีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณระดับ 3 ถึง 6 ตัว หนึ่งในนั้นคือราชาหมาป่าสีครามระดับ 3 ขั้น 10 ด้วยขุมกำลังนี้ อาจกล่าวได้ว่า หลินเป้ยเหนือกว่าหลินวู่จี้ก็ได้
“หลินเป้ย เจ้าทำได้ดีมากในวันนี้ และเจ้ายังทำให้พวกเราตกใจในความแข็งแกร่งของเจ้าด้วย ข้าคิดว่าการประลองของตระกูล เจ้าได้ตำแหน่งที่หนึ่งไปได้เลย เจ้าไม่ต้องลงมาประลองให้เสียเวลาแล้ว กลับไปพักที่บ้านเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเถอะ แล้วหลังจากนี้ ข้าจะส่งรางวัลไปให้เจ้าที่บ้านเอง” หลินวู่จี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม
เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลานชายที่เขาไม่เคยสนใจ จะเป็นอัจฉริยะสัตว์ประหลาดขนาดนี้
ในเวลาเดียวกัน หลินวู่จี้ก็รู้สึกแย่กับทัศนคติของหลินเป้ยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเย็นชากับผู้คนในตระกูลมากเกินไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์ของหลินเป้ยกับหลินคังนั้น ดีกว่าความสัมพันธ์ของเขากับปู่ซะอีก
“ขอบคุณ หัวหน้าตระกูล” หลินเป้ยกล่าวขอบคุณ
เรื่องนี้หลินเป้ยไม่รู้สีกแปลกใจ ต่อให้เขาบาดเจ็บไม่มีเรี่ยวแรง รุ่นเยาว์ทั้งตระกูลหลินก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้อยู่แล้ว ดีซะอีกที่เขาได้ผักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเองด้วย
ในเมืองชิงหลิน ไม่มีรุ่นเยาว์คนไหนสามารถสู้เขาได้อย่างแน่นอน
เอาจริงๆ ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่มหาปรมาจารย์นักรบขึ้นไปละก็ เขาก็ถือว่าไร้พ่ายสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน
นอกจากนี้ บิดาของเขายังเคยกล่าวอีกว่า ตราบใดที่เขาชนะที่หนึ่งในการประลองของตระกูล หลินเทียนจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมารดาของเขาให้ฟัง
ซึ่งตอนนี้เงื่อนไขถือว่าสมบูรณ์แล้ว หลินเป้ยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้เรื่องราวของมารดาเขาจริงๆ ซะที
ในความเป็นจริง สิ่งที่หลินเป้ยต้องการทราบเพิ่มเติมก็คือ ผู้ใดกันแน่ ที่โหดร้ายถึงขนาดใช้พิษเย็นเก้าหยินทำร้ายบิดาของเขา และทำให้บิดาของเขาทรมานมานานหลายปี
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เข้ามาแสดงความยินดีกับหลินเป้ยทีละคน
หลินเป้ยพยายามตอบรับทีละคน ในอดีตผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ค่อยสนใจเขามากนัก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขาแข็งแกร่งมากขึ้น และสถานะในตระกูลก็เพิ่มมากขึ้น พวกเขาจึงอยากใกล้ชิดกับหลินเป้ยขึ้นมาทันที
จริงๆ แล้วหลินเป้ยรู้สึกรังเกียจมาก แต่ไม่ว่ายังไง คนเหล่านี้ส่วนมากก็เป็นพี่น้องกับบิดาของเขา และ หลินเทียนเองก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อเห็นแก่บิดาของเขา หลินเป้ยจึงต้องปฏิบัติตามมารยาทบางประการ
“พวกเจ้าทั้งหมดพอได้แล้ว ปล่อยให้หลินเป้ยได้กลับไปพักผ่อนเถอะ หลินเทียน เจ้าไปส่งหลินเป้ยเลยละกัน” หลินวู่จี้กล่าว
อันที่จริงหลินเป้ยยังคงได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่วุ่นวายมากเกินไป เป็นเรื่องดีที่จะต้องกลับไปพักฟื้นโดยเร็วที่สุด
“งั้นข้าขอลา” หลินเป้ยกล่าวลาทุกคน หลังจากนั้นเขาจึงออกจากที่นี่ โดยได้รับการประคองจากหนิงเสวี่ยและหลินหลิงเอ๋อ
สักพักหลินเทียนก็เรียกรถม้า แล้วขอให้หลินเป้ยนั่งในนั้น แล้วกลับไปที่ร้านทันที
ทันทีที่เขากลับถึงบ้าน หลินเป้ยก็กลับไปที่ห้องของเขา กลืนโอสถ และเริ่มบ่มเพาะตำราจ้านเทียนเจ๋ (ตำรามหาศึกแห่งสวรรค์)
ตำราจ้านเทียนเจ๋สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ และความเร็วในการฟื้นตัวของหลินเป้ยนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมาก
ด้วยความช่วยเหลือของโอสถ เขาคงใช้เวลาเพียงสองหรือสามวันในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
หากเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะใช้โอสถแบบเดียวกัน อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบวันถึงจะฟื้นตัว
ตำราจ้านเทียนเจ๋คือระดับหงเหมิน แม้ว่าหลินเป้ยจะไม่รู้ว่ามันคือระดับใด แต่ก็มีมันพลังมากกว่าทักษะระดับ 10 อย่างแน่นอน
(鴻蒙 หงเหมิง ในสมัยโบราณของตำนานของจีน ว่ากันว่าก่อนที่ผานกู่จะสร้างโลก โลกก็อยู่ในช่วงที่วุ่นวายจึงเรียกยุคนั้นว่ายุคหงเหมิง)
ในอีกไม่กี่วัน ตระกูลหลินจะจัดการประลองของตระกูล เนื่องจากหลินวู่จี้มอบที่หนึ่งให้กับหลินเป้ยแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมเพราะมันไม่มีความหมาย
ตระกูลหลักทั้ง 4 จะจัดการประลองของตระกูลในช่วงเวลานี้ เพื่อตัดสิน 10 อันดับแรก ซึ่งจะได้เข้าร่วมการประลองของเมืองในอีก 10 วันต่อมา ในเวลานั้น ตัวแทนของสำนักนิกายจะมาชมการแข่งขันและเลือกลูกศิษย์ที่โดดเด่น
ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวในการเข้าร่วมการประลองของเมืองคือ ต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี สำหรับโควต้าของผู้เข้าร่วมประลอง มันจะได้รับการจัดสรรโดยสำนักนิกาย
โดยพื้นฐานแล้ว แต่ละกองกำลังในเมืองชิงหลินจะมีการประลองภายในกันอยู่แล้ว และเฉพาะกองกำลังที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมในการประลองของเมือง
มิฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าจะไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ที่ดี ในการประลองที่อัจฉริยะมารวมตัวกัน อย่างการประลองของเมือง ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่เข้าร่วม
ในเวลาเดียวกัน โควต้า 10 ตำแหน่งจะถูกจัดสรรให้กับคนรุ่นเยาว์ที่ไม่ได้มาจากกองกำลังหลัก
คนรุ่นเยาว์บางคนมาจากภูมิหลังที่ค่อนข้างต่ำต้อย และตระกูลของพวกเขาไม่ได้รับโควต้า ดังนั้นหากพวกเขาต้องการเข้าร่วมการประลองของเมือง พวกเขาสามารถต่อสู้กันเพื่อโควต้า 10 ตำแหน่งนี้ไ้ด้เท่านั้น
ตราบใดที่เจ้าเอาชนะคู่แข่งได้หลายราย เจ้าจะได้รับหนึ่งในสิบตำแหน่งเพื่อเข้าร่วมการประลองของเมือง
ที่จริงแล้ว ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถ การหาโควต้าเพื่อเข้าร่วมก็เป็นเรื่องง่าย
เฉพาะในกรณีที่เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าจะพบว่ามันยากที่จะได้ตำแหน่งมา
แต่หลังจากได้โควต้าการประลองแล้ว จะได้รับโอกาสจากสำนักนิกายทั้งหลายหรือไม่ สิ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคและโอกาสของเจ้าเอง!