ตอนที่ 573 ยานรบเผ่ามาร
ตอนที่ 573 ยานรบเผ่ามาร
“นายต้องการเงื่อนไขแบบไหน?” โอโร่กล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“ก่อนอื่นผมอยากรู้ว่าผมจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง? ผมไม่อยากติดอยู่ในดาวดวงนี้ไปตลอดชีวิต” เซี่ยเฟยกล่าว
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ตราบใดก็ตามที่นายสัญญาว่าจะช่วยฉัน ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้นายออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย” โอโร่กล่าว
“อย่างที่ 2 คุณจะต้องหาวิธีซ่อนร่องรอยของคุณไม่ให้ศัตรูรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะถ้าหากว่าคุณถูกศัตรูตามล่าหลังจากที่ผมช่วยคุณไป มันก็จะนำอันตรายมาให้ผมด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
“เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา ไหนนายยังมีเงื่อนไขอะไรอีก?” โอโร่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“เงื่อนไขข้อที่ 3 คือเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งถ้าหากว่าคุณไม่ตกลงพวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันอีก” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง
“เงื่อนไขอะไร? รีบบอกมาเร็ว ๆ เข้า! ตราบใดก็ตามที่ฉันทำได้ฉันสัญญาว่าฉันจะทำให้นายแน่นอน” โอโร่กล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ผมจะยังไม่ฆ่าคุณในตอนนี้ แต่ผมจะเก็บคุณเอาไว้ในแหวนมิติจนกว่าผมจะยืนยันได้ว่าศัตรูของคุณจะไม่มีทางติดตามคุณมาได้แล้วจริง ๆ หลังจากนั้นผมค่อยฆ่าคุณและปล่อยให้คุณไปเกิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีหรือ 10 ปีก็ได้ แล้วแต่ว่าผมจะตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ถึงจะเรียกว่าปลอดภัย”
“ในช่วงเวลาที่คุณอยู่กับผม คุณจะต้องคอยสอนเรื่องต่าง ๆ ให้ผมรู้โดยที่ผมไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยปากถามคุณก่อน แน่นอนว่าต่อให้คุณจะเลือกโกหกก็ได้ แต่ถ้าหากว่าผมรู้ว่าคุณโกหกผมขึ้นมาเมื่อไหร่ผมก็จะหาทางกลับมาทิ้งคุณเอาไว้ที่นี่ทันที หลังจากนั้นคุณก็ต้องรอคนแบบผมไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกกี่หมื่นกี่แสนปีคุณถึงจะมีโอกาสได้รับอิสระอีกครั้ง” เซี่ยเฟยพูดเงื่อนไขของตัวเองขึ้นมาอย่างใจเย็น
เงื่อนไขนี้ถึงกับทำให้โอโร่ชะงักค้างไป โดยเฉพาะเงื่อนไขที่เขาจะต้องคอยสอนเรื่องต่าง ๆ ให้กับเซี่ยเฟยในช่วงเวลาที่เขาต้องอยู่กับเด็กหนุ่มคนนี้ ซึ่งมันไม่ต่างจากการที่เซี่ยเฟยกำลังพยายามปล้นความรู้ไปจากเขาชัด ๆ
วิชาความรู้ของนักรบแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นความลับที่จะสืบทอดให้ลูกศิษย์หรือทายาทของตัวเองเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถนำความรู้พวกนั้นไปบอกเล่าให้กับใครง่าย ๆ
หลังจากพูดจบเซี่ยเฟยก็เดินจากไปเพื่อปล่อยให้โอโร่มีเวลาคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เงื่อนไขของนายรอบคอบดีนี่ ตราบใดก็ตามที่โอโร่จำเป็นจะต้องติดตามนายไป เขาจะไม่กล้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากศัตรูพบร่องรอยจนไปเจอนาย ศัตรูก็จะค้นพบตัวตนของเขาด้วยเหมือนกัน ในเวลานั้นเขาก็คงจะต้องถูกขังเอาไว้ในสุสานอีกเป็นเวลานานแสนนาน ซึ่งเขาก็คงจะไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวแบบนี้อีกต่อไปแล้ว” อันธกล่าว
“นั่นคือเงื่อนไขเดียวที่จะทำให้ฉันยอมเสี่ยงใช้กฎแห่งความโกลาหลปลดปล่อยเขาไป เพราะศัตรูที่สามารถนำตัวเขามาขังที่นี่ได้ย่อมมีพลังในระดับที่ไม่ธรรมดา และฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูระดับนั้นในตอนนี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ตราบใดก็ตามที่เขาออกเดินทางไปพร้อมกับโอโร่ อันตรายในเรื่องนี้จะลดลงจากเดิมเป็นอย่างมาก เพราะโอโร่คงจะพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ศัตรูติดตามร่องรอยเขามาได้
ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มอย่างกำลังทำการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เพราะเขาคิดว่าโอโร่คงจะต้องเป็นมารระดับสูงในเผ่าพันธุ์ของตัวเองเหมือนกัน และการที่เขาได้รับความรู้ของมารตนนี้มา มันย่อมช่วยให้เขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิมโดยไม่ต้องสงสัย
ตราบใดก็ตามที่ความเสี่ยงคุ้มค่ากับผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับ เซี่ยเฟยก็พร้อมที่จะเข้าไปเดิมพันเรื่องราวเช่นนี้อยู่เสมอ ซึ่งถ้าหากว่าเขาเดิมพันผิดเขาก็อาจจะต้องจ่ายไปด้วยชีวิต แต่ถ้าหากว่าเขาเดิมพันถูกมันก็หมายความว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากมารชั้นยอด
“ถ้าหากว่าโอโร่ตกลงยอมรับเงื่อนไขของนายจริง ๆ มันย่อมเป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่การที่เขาได้ครอบครองร่างกายที่ไม่สามารถทำลายได้กับกฎแห่งชีวิต เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะล่อลวงคนส่วนใหญ่ได้แล้ว ส่วนพลังของกฎและทักษะการต่อสู้ที่เขาได้ครอบครองก็คงจะมีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน” อันธกล่าวอย่างตื่นเต้น
เซี่ยเฟยยังคงนั่งลงบนพื้นด้วยความสงบ ก่อนที่เขาจะหยิบไข่ของราชาแมงมุมน้ำแข็งออกมาพิจารณา
ตอนที่สัตว์ประหลาดแมงมุมฟักไข่นี้ออกมามันยังคงอยู่ภายใต้การรวมร่างของกฎแห่งการหลอมรวม ซึ่งสัตว์ประหลาดตัวนั้นย่อมเป็นสัตว์ประหลาดชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในไข่จะฟักออกมาเป็นตัวอะไรกันแน่
“นายคิดว่าไข่ฟองนี้จะเอาไปแลกกับเข็มทิศมิติได้ไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“อะไรนะ?! นายกำลังคิดถึงแอวริลอยู่งั้นเหรอ?” อันธถาม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับตอบกลับอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็พูดคุยสนทนากับอันธไปอย่างเรื่อยเปื่อย ก่อนที่โอโร่จะเริ่มส่งเสียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันยอมรับเงื่อนไขของนาย” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยแอบรู้สึกดีใจ เพราะตราบใดก็ตามที่เขามีความรู้ของมารตนนี้ มันก็ไม่ต่างจากการที่เขาได้รับกำลังเสริมจากกองทัพนักสู้ชั้นยอดนับพัน
“แต่ฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ฉันคงจะอยู่กับนายตลอดไปไม่ได้ เพราะยิ่งฉันได้ไปเกิดใหม่เร็วเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งมีโอกาสแก้แค้นศัตรูได้เร็วขึ้นเท่านั้น นายจะต้องกำหนดเส้นตายมาให้ฉันก่อนว่าฉันจะต้องไปอยู่กับนายกี่วันกี่เดือนกี่ปี นายถึงจะยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ” โอโร่กล่าว
“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา ตราบใดก็ตามที่คุณคอยอยู่เคียงข้างผม 30 ปีโดยที่ไม่มีศัตรูมาคอยรังควาน ผมก็จะยอมฆ่าคุณให้คุณได้รับชีวิตอิสระอีกครั้ง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“30 ปีมันนานเกินไป” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ผมลดให้เหลือ 15 ปี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกัดฟัน
“ฉันขอปีเดียว ในช่วงหนึ่งปีนี้ฉันจะยอมบอกทุกสิ่งที่นายอยากรู้โดยไม่มีเงื่อนไข” โอโร่กล่าวอย่างจริงจัง
เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อยและถึงแม้เวลา 1 ปีอาจจะดูยาวนาน แต่ในความเป็นจริงมันกลับเป็นเวลาที่สั้นเพียงแค่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้โอโร่จะสัญญาว่าจะยอมสอนความรู้ทุกสิ่งให้เขารู้ แต่เวลาเพียงแค่ปีเดียวย่อมไม่เพียงพอที่เขาจะสืบทอดความรู้จากอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างแน่นอน
“1 ปีสั้นเกินไป ผมขอ 10 ปี” เซี่ยเฟยพยายามต่อรอง
“5 ปี”
“3 ปี ถ้าคุณต่อรองมากกว่านี้ผมจะไม่เจรจาอะไรกับคุณแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวไม่เหลือช่องว่างให้สำหรับการต่อรองอีกต่อไป
“โอเค ตกลง” โอโร่กล่าวตอบอย่างจำใจ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ทรมานมาอย่างเนิ่นนานแล้วและเขาก็ไม่ต้องการที่จะรอต่อไปนานกว่านี้
—
3 วันต่อมา ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ทำการปกปิดร่องรอยทั้งหมดได้สำเร็จตามคำแนะนำของโอโร่
“คุณแน่ใจนะว่าหลังจากนี้ศัตรูจะตามร่องรอยผมมาไม่ได้?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันกลัวเขาจับได้มากกว่านายซะอีก” โอโร่กล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะท้ายที่สุดตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแต่เชื่อใจอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่ายังไงการเดิมพันมันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ และเขาก็ทำใจยอมรับความเสี่ยงในเรื่องนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว
“แล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง
“พวกเราจะใช้ยานอวกาศ”
“ยานอวกาศ? ที่นี่มียานอวกาศอยู่ด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจ
“มีสิและมันก็ยังเป็นยานอวกาศของเผ่ามารด้วย” โอโร่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างในสุสานสำเร็จ ชายหนุ่มก็เก็บโลงศพของโอโร่ลงไปในแหวนมิติ ก่อนที่จะเดินทางออกมาจากสุสานและมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่เขตทางเหนือ
บนท้องฟ้ามีแสงสว่างให้มองเห็นคล้ายกับเกลียวคลื่น ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับจะเป็นผลข้างเคียงของสนามแม่เหล็กชนิดหนึ่ง โดยสนามแม่เหล็กที่ก่อกำเนิดบนดาวดวงนี้ทำให้เครื่องมือสื่อสารของชายหนุ่มไม่สามารถที่จะใช้งานได้ทั้งหมด
“สาเหตุที่ผู้คนบนดาวดวงนี้ไม่สามารถติดต่อออกไปยังโลกภายนอกได้ นั่นก็เพราะว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีความรุนแรงมากเกินไป จนทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหยุดการทำงาน” โอโร่กล่าวอธิบาย
เมื่อเข้าใกล้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าแม้แต่ชุดเกราะโลหะเหลวของเซี่ยเฟยก็เริ่มเกิดอาการปั่นป่วนอย่างรุนแรง ซึ่งในบางครั้งมันก็ยื่นท่อหายใจสอดเข้าไปในปากของเซี่ยเฟยโดยตรง ทั้ง ๆ ที่พื้นที่บริเวณนั้นยังคงมีอากาศให้ชายหนุ่มหายใจเข้าออกได้ตามปกติ
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้เซี่ยเฟยไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องถอดชุดเกราะโลหะเหลวออกและนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดเก็บเข้าไปไว้ในแหวนมิติ
เมื่อพวกเขาได้เดินทางไปจนถึงบริเวณพื้นที่เขตทางเหนือ เขาก็ได้พบกับทะเลสาบน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งหนา ๆ
“วันหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังเบื่อหน่าย จู่ ๆ มันก็มียานอวกาศเสียการควบคุมพุ่งตกลงมาในทะเลสาบแห่งนี้ แต่เนื่องจากสัญญาณรบกวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่นี่แรงเกินไป ศัตรูของฉันจึงไม่ทันได้สังเกตถึงยานอวกาศลำนี้เลย นายรู้ไหมว่าทั่วทั้งดาวดวงนี้มันก็มีเพียงแค่ประตูมิติที่ถูกนายทำลายไปแล้วกับยานอวกาศลำนี้เท่านั้นที่สามารถจะนำนายออกไปจากดาวดวงนี้ได้”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งยานลำนี้มันจะต้องมีประโยชน์ และถึงแม้ว่าเวลาที่ยานตกจะได้ผ่านพ้นมานานหลายพันปีแล้ว แต่ฉันก็ยังทบทวนแผนการหลบหนีอยู่ทุกวัน จนในวันนี้มันก็ถึงวันที่ฉันได้ใช้ประโยชน์จากมันในที่สุด” โอโร่กล่าวอย่างตื่นเต้น
เห็นได้ชัดเลยว่าโอโร่ได้เตรียมแผนการหลบหนีเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อรอวันที่เขาจะได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
“เดี๋ยวก่อนนะ! ผมลืมถามไปภายในเผ่ามารก็ใช้ประตูมิติด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช้สิ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นเผ่าเทพหรือเผ่ามารต่างก็ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดเป็นกองกำลังเดียวกัน ก่อนที่จะแตกแยกออกไปเป็น 2 ฝั่งเหมือนอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าหากว่านายได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปในเผ่ามาร นายก็จะได้พบกับอุปกรณ์อีกหลายอย่างที่นายคุ้นเคย” โอโร่กล่าวตอบ
“ตอนที่ผมเดินทางมาที่นี่ผมเดินทางผ่านประตูมิติเข้ามา ศัตรูของคุณจะพบร่องรอยของผมจากประตูมิติหรือเปล่า? เพราะตอนนั้นผมเดินทางมาผ่านประตูมิติของตระกูลหยู” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างกังวล เพราะประตูมิติก็เป็นร่องรอยที่สามารถใช้ตามหาตัวตนของเขาได้ด้วยเช่นเดียวกัน
“เรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องห่วงไปใหญ่ การตรวจสอบตำแหน่งของการใช้ประตูมิติจำเป็นจะต้องสอบถามไปยังเหล่าบรรดาผู้คุมกฎ นายคงไม่คิดว่าคนจากเผ่ามารจะไปสอบถามข้อมูลของนายจากเผ่าเทพใช่ไหม?”
“ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสองเผ่าของจักรวาลจะใช้ประตูมิติเหมือนกัน แต่ประตูมิติพวกนั้นก็ไม่สามารถที่จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ ในกรณีของนายมันเป็นอุบัติเหตุที่แปลกประหลาดทำให้นายมาปรากฏตัวยังดาวดวงนี้ คนของนายจึงไม่มีทางรู้ว่านายหายตัวไปไหนและคนของทางฝั่งฉันก็ไม่สามารถที่จะตรวจหาร่องรอยของนายได้ด้วยเหมือนกัน” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
เซี่ยเฟยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาทำกับประตูมิติก่อนที่จะหลุดมายังดาวดวงนี้จะเป็นอุบัติเหตุ ที่เขาก็คงจะไม่สามารถลอกเลียนแบบเหตุการณ์นั้นได้อีกครั้งในอนาคต
ปัง!
เซี่ยเฟยกระแทกเข้ากับแผ่นน้ำแข็งใต้เท้าด้วยพละกำลังทั้งหมด ซึ่งในเวลาต่อมาเพียงแค่ไม่นานเขาก็ขุดแผ่นน้ำแข็งออกเป็นช่องขนาดใหญ่
จ๋อม!
ชายหนุ่มกลั้นหายใจกระโดดลงไปในทะเลสาบ โชคดีที่ภายใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีกระแสน้ำอุ่นชายหนุ่มจึงไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็นมากเกินไป
อย่างไรก็ตามพื้นที่ด้านล่างของทะเลสาบค่อนข้างที่จะมืดมิดมาก เซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องใช้คริสตัลต้นกำเนิดระดับ 4 เป็นแหล่งกำเนิดแสงใต้ทะเลสาบอันมืดมิด ก่อนที่เขาจะได้พบกับยานรบสีดำสนิทลำหนึ่งที่นอนอยู่ในก้นของทะเลสาบ
“นั่นไงยานรบของเผ่ามาร” โอโร่กล่าว
***************
กลับไปคราวนี้พี่เฟยได้รับคลังความรู้เคลื่อนที่ 1 ea