ตอนที่ 571 ฝ่ามือใบไม้ร่วง
ตอนที่ 571 ฝ่ามือใบไม้ร่วง
การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาดยังคงดำเนินต่อไป และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างหนอนด้วงมิติมาก่อน แต่หนอนด้วงตัวนั้นก็ยังไม่ได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแมงมุมประหลาดตัวนี้
กำแพงมิติที่หนอนด้วงมิติเรียกใช้ออกมาปกป้องร่างกายเทียบชั้นกับกำแพงมิติของแมงมุมตัวนี้ไม่ได้เลย เพราะในตอนนั้นเพียงแค่เซี่ยเฟยใช้พลังทำลายของหมัดพายุคลั่งแฝงไปด้วยกฎแห่งความโกลาหล เขาก็สามารถเจาะทะลุการป้องกันเข้าไปภายในร่างกายของมันได้
แต่สำหรับสัตว์ประหลาดตัวนี้มีระดับการป้องกันที่แตกต่างจากหนอนด้วงมิติอย่างสิ้นเชิง และถึงแม้ว่าการจู่โจมด้วยกฎแห่งความโกลาหลจะสามารถทำลายกำแพงมิติที่ปกป้องร่างกายของมันได้ แต่กว่าที่ชายหนุ่มจะจู่โจมเข้าใส่เป็นครั้งที่ 2 กำแพงมิติชุดใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาปกป้องร่างกายของมันเอาไว้แล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี และมันก็มี 2 ทางแยกให้เขาต้องเลือกในสถานการณ์ปัจจุบัน
วิธีการแรกคือการต่อสู้ต่อไปและพยายามหาวิธีเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ให้ได้ ส่วนอีกวิธีคือการถอยกลับไปยังสุสานของโอโร่และซ่อนตัวภายในสุสานนั้นระหว่างพยายามหาวิธีกลับมาเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้
เปิดโอกาสให้ศัตรูได้พักหายใจงั้นเหรอ?
สถานการณ์ปัจจุบันสัตว์ประหลาดแมงมุมยังไม่ได้อยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งถ้าหากว่าเขาปล่อยให้มันได้มีโอกาสพักผ่อน เขาก็อาจจะต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้เพื่อจะมีโอกาสสังหารมันอีกครั้ง
วันนี้มันจะต้องตาย!!
แม้ว่าเซี่ยเฟยจะยังไม่สามารถหาวิธีเจาะการป้องกันของศัตรูเข้าไปได้ แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะถอยกลับไปตั้งหลักเลยแม้แต่นิดเดียว
กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่าการต่อสู้จะได้ดำเนินไปมากกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว แต่การปะทะระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาดก็ยังไม่หยุด
นี่คือการแข่งขันระหว่างกฎแห่งการหลอมรวมและกฎแห่งความโกลาหล ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นการแข่งขันด้านความอดทนของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
คนที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย ฝั่งนั้นก็คือฝั่งที่จะได้รับชัยชนะ!
การใช้กฎแห่งความโกลาหลออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้พลังงานภายในร่างของชายหนุ่มถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาคริสตัลต้นกำเนิดในการเติมเต็มพลังงาน ซึ่งในเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เขาได้ใช้คริสตัลต้นกำเนิดระดับ 3 ไปมากกว่าพันก้อนแล้ว
สัตว์ประหลาดแมงมุมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและจู่โจมอย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกันยิ่งการต่อสู้ดำเนินต่อไปเซี่ยเฟยกลับรู้สึกประหลาดใจกับพลังของตัวเอง
ระหว่างการต่อสู้เซี่ยเฟยได้ค้นพบว่ายิ่งเขาได้ใช้กฎแห่งความโกลาหลออกไปมากเท่าไหร่ เขายิ่งควบคุมพลังของกฎนี้ได้อย่างละเอียดอ่อนมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งในทุก ๆ วินาทีที่ผ่านพ้นไปมันก็มักที่จะมีประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เขาได้สัมผัสอยู่เสมอ
โดยปกติเซี่ยเฟยมักจะใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลออกไปเพียงแค่เล็กน้อย เพราะการควบคุมพลังทีละน้อย ๆ ย่อมง่ายดายกว่าการควบคุมพลังงานปริมาณมหาศาล ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ยกระดับพลังของกฎแห่งความโกลาหลขึ้นมาเป็นระดับที่ 2 ด้วยความพยายามของตัวเอง แต่การที่เขาเพิ่มระดับพลังขึ้นมามันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถควบคุมพลังนี้ได้อย่างเต็มที่
แม้ว่าในตอนนี้เขาจะใช้กฎแห่งความโกลาหลเป็นพลังในการโจมตีหลัก แต่ปัญหาแรกที่เขาเผชิญนั่นก็คือเขายังไม่มีวิชาการต่อสู้จากการใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลนี้
วิชาการต่อสู้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การกำหนดรูปแบบเพื่อปลดปล่อยพลังออกไปเท่านั้น แต่มันยังเป็นการรวบรวมเคล็ดลับการใช้พลังเพื่อเพิ่มพลังในระหว่างการจู่โจมออกไปอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การใช้วิชาพายุมิติปิดล้อมที่เมื่อเซี่ยเฟยต้องการจะใช้วิชาการโจมตีนี้ ร่างกายของเขาจะเริ่มดึงพลังออกมาจู่โจมตามแบบฉบับของวิชาด้วยตัวเอง และยิ่งเขาได้ฝึกฝนพลังของกฎแห่งมิติมากเท่าไหร่ พลังทำลายของวิชานี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นสูงมากขึ้นไปเท่านั้น
แต่สำหรับการจู่โจมด้วยกฎแห่งความโกลาหลเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป เพราะเขาจำเป็นจะต้องใช้สมาธิทุกวินาทีในการควบคุมพลังภายในร่าง แตกต่างจากการใช้วิชาที่ร่างกายจะเหมือนควบคุมพลังกฎและใช้ออกไปโดยอัตโนมัติ
นี่คือสถานการณ์ที่เซี่ยเฟยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีกฎแห่งความโกลาหลแต่เขาก็ยังไม่สามารถจะประดิษฐ์วิชาจากกฎอันแปลกประหลาดนี้ได้ มันจึงทำให้เขายังไม่สามารถที่จะใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลออกมาได้อย่างเต็มที่
ตูม!
เซี่ยเฟยชกกำปั้นออกไปและพยายามพลิกฝ่ามือโดยหวังว่าเขาจะได้พบกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการใช้กฎแห่งความโกลาหล
“มันยังไม่พอ เอาอีก!”
ชายหนุ่มเริ่มเข้าสู่สภาวะหมกมุ่นในการหาวิธีใช้กฎแห่งความโกลาหลในรูปแบบใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ และถึงแม้ว่าอันธจะรู้ดีว่าวิธีการแบบนี้ค่อนข้างจะอันตราย แต่เขาก็ยังคงเงียบเสียงเอาไว้โดยพยายามไม่ไปรบกวนสมาธิของเซี่ยเฟย
มันเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้เซี่ยเฟยพยายามทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพยายามสร้างวิชาขึ้นมาเป็นของตัวเอง
การพยายามสร้างวิชาการต่อสู้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย ๆ และแม้แต่ปรมาจารย์ผู้ใช้กฎชั้นแนวหน้าก็ยังจำเป็นจะต้องใช้ความพยายามเป็นเวลานานกว่าจะสามารถคิดค้นวิชาการต่อสู้ขึ้นมาเป็นของตัวเอง
ในทางกลับกันเซี่ยเฟยเพิ่งจะได้เรียนรู้การควบคุมพลังของกฎได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขากลับกำลังพยายามจะสร้างวิชาการต่อสู้เป็นของตัวเองแล้ว
ถ้าคนอื่นพยายามที่จะทำเหมือนเซี่ยเฟยในตอนนี้ อันธก็คงจะส่งเสียงหัวเราะเยาะและคิดว่าคนคนนั้นเป็นพวกบ้าที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว แต่สำหรับเซี่ยเฟยเป็นกรณีที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น ๆ ที่เขาเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่ที่เขาได้รู้จักชายหนุ่มคนนี้มาเซี่ยเฟยก็มักที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นความจริงได้เสมอ
ขวับ!
การจู่โจมของมู่ฉิวโป๋เฉียดผ่านร่างของเซี่ยเฟยไปเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น เพราะในตอนนี้เซี่ยเฟยกำลังทุ่มเทสมาธิเกือบทั้งหมดไปกับการศึกษากฎแห่งความโกลาหล มันจึงทำให้การหลบหลีกการโจมตีของชายหนุ่มกลายเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวมากยิ่งขึ้น
‘สรุปแล้วมันเป็นพลังแบบไหนกันแน่?’ เซี่ยเฟยพยายามคิดกับตัวเองภายในใจ
พลังของกฎแห่งความโกลาหลมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับชื่อของมัน ซึ่งมันเป็นพลังที่มีทั้งความวุ่นวายและคลุมเครือในเวลาเดียวกัน แตกต่างจากกฎแห่งมิติที่ค่อนข้างมีความชัดเจนและมองเห็นภาพได้อย่างง่ายดาย
ช่วงเวลานี้เซี่ยเฟยพยายามใช้เซลล์สมองทั้งหมดในการวิเคราะห์กฎแห่งความโกลาหล และถึงแม้ว่าพลังของกฎนี้จะมีอยู่จริง แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะค้นหารูปแบบของการใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลได้เลย
ไม่ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามใช้กฎแห่งความโกลาหลออกมาในรูปแบบไหน แต่เขาก็ยังไม่สามารถคิดค้นหาวิธีการใช้พลังแบบใหม่ ๆ ได้ คล้ายกับเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางหมอกควันหนาและถึงแม้ว่าเวลาจะได้ผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้ แต่เขาก็ยังสามารถควบคุมพลังของกฎแห่งความโกลาหลได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงเวลาแบบนี้ความอดทนที่ไม่ธรรมดาของเซี่ยเฟยก็เริ่มมีบทบาท และความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มยังคงพยายามต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิธีการแรกที่เซี่ยเฟยพยายามทำคือการพยายามชี้นำกฎแห่งความโกลาหล แต่วิธีการนี้ก็นำมาซึ่งแรงต่อต้านในทันที และเกือบที่จะทำให้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่ 2
พลังของกฎถูกถักทอขึ้นมาจากพื้นที่สมองส่วนที่ 7 และพื้นที่เล็ก ๆ นี้ก็เป็นพื้นที่ที่กำหนดว่านักรบคนไหนจะสามารถใช้พลังของกฎได้มากน้อยสักแค่ไหน
ในเวลาเดียวกันเซี่ยเฟยคือนักรบที่สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ถึง 100% และถึงแม้ว่าเขาจะฝึกกฎไปแล้วหลายข้อ แต่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาก็ยังเหลือพื้นที่กว้างอันกว้างขวาง พลังของกฎแห่งความโกลาหลจึงทำตัวเป็นเหมือนเด็กซนที่พยายามวิ่งหนีไปรอบ ๆ และทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะจับตัวเด็กซนคนนี้ได้
พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่อย่างการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ถึง 100% กลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้นี่เอง เพราะยิ่งมีอาณาเขตกว้างขวางเท่าไหร่เขายิ่งไล่จับกฎแห่งความโกลาหลได้ยากมากขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยพยายามใช้ความคิด ร่างกายของเขาก็ยังคงเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ และมันก็โชคดีที่เขาได้ฝึกฝนวิชาเล่ห์กายามาเป็นเวลานาน มันจึงยังทำให้การโจมตีของมู่ฉิวโป๋ไม่สามารถที่จะสัมผัสร่างของเขาได้
อย่างไรก็ตามการหลบหลีกของเซี่ยเฟยในแต่ละครั้งก็ฉิวเฉียดมาก จนทำให้ทั้งขนอุยและราชาสัตว์อสูรต่างก็เริ่มรู้สึกกดดันจนหายใจไม่ค่อยออก
สิ่งที่เซี่ยเฟยทำเหมือนกับการพยายามจงใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่ามันมีเพียงแค่การไปยืนอยู่บนขอบเหวแห่งความตายเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาแสดงพลังอันน่าอัศจรรย์ออกมาได้
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว” เซี่ยเฟยพยายามบอกตัวเอง และถึงแม้ว่าการใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลออกมาอย่างรุนแรงจะเป็นเรื่องยากสำหรับการควบคุม แต่เขาก็ต้องหาวิธีที่จะควบคุมพลังพวกนั้นเอาไว้ให้ได้
การใช้พลังของกฎแห่งความโกลาหลเพียงแค่เล็กน้อยไม่เพียงพอสำหรับสถานการณ์ครั้งนี้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นจักรวาลยังมีพื้นที่อันกว้างใหญ่และมีศัตรูที่แข็งแกร่งอีกอย่างมากมายที่เขายังไม่ประสบพบเจอ
สักวันหนึ่งเขาจะต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างแน่นอน และการต่อสู้กับมู่ฉิวโป๋ในสถานการณ์ปัจจุบันก็ได้ย้ำเตือนเซี่ยเฟยว่านี่คือชะตากรรมที่เขาต้องพบเจอ หากเขายังต้องการที่จะผจญภัยในจักรวาลต่อไป
‘ในเมื่อกฎแห่งความโกลาหลเป็นพลังที่ใช้สำหรับการทำลายล้าง แล้วทำไมฉันถึงจะต้องคอยไปพยายามควบคุมพลังของมันด้วยล่ะ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ผลักฝ่ามือออกไปโดยไม่คิดที่จะควบคุมกฎแห่งความโกลาหลเลยแม้แต่นิดเดียว
ตูม!
ปาฏิหาริย์!
ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง!
กำแพงมิติบนร่างของมู่ฉิวโป๋ถูกพังทลายในทันที พร้อมกับร่างขนาดใหญ่ที่กระเด็นออกไปไกลนับสิบเมตร
นี่คือสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายหมื่นตัน แต่การปล่อยฝ่ามือของเขาออกไปเพียงแค่เบา ๆ กลับทำให้มันกระเด็นออกไปไกลนับ 10 เมตร!!!
“เซี่ยเฟย นายทำสำเร็จแล้ว! นี่จะต้องเป็นวิธีการใช้กฎแห่งความโกลาหลที่แท้จริงแน่ ๆ!!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความดีใจ
เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจกับพลังที่เขาเพิ่งทำการปลดปล่อยออกไปเช่นเดียวกัน ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบแล้วว่ายิ่งเขาพยายามควบคุมพลังนี้มากขึ้นเท่าไหร่มันยิ่งต่อต้านตัวเขามากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเขาลดความพยายามในการควบคุมพลังของกฎแห่งความโกลาหลลง พลังอันแปลกประหลาดนี้กลับสามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่
แต่เดิมเซี่ยเฟยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายที่พร้อมจะพ่ายแพ้ได้ทุกเวลา แต่ในช่วงวิกฤติชายหนุ่มกลับได้ค้นพบวิธีการใช้พลังออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และการจู่โจมในครั้งนี้ยังมีความรุนแรงชนิดที่การจู่โจมในแบบเดิม ๆ เทียบไม่ติดอีกด้วย
แม้ว่าฝ่ามือที่เขาปลดปล่อยออกไปจะดูเหมือนเป็นฝ่ามือที่ไม่มีแรง แต่ถ้าหากว่าใครกล้าดูถูกพลังทำลายของฝ่ามือนี้พวกเขาก็จะถูกบดขยี้จนตายก่อนที่จะทันได้รู้ตัว
ชายหนุ่มยังคงปล่อยฝ่ามือออกไปอย่างแผ่วเบาคล้ายกับใบไม้ที่ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงบนพื้น แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดถูกตบกระเด้งกระดอนไปมาคล้ายกับว่ามันเป็นลูกบอล
ในที่สุดมู่ฉิวโป๋ก็ถูกตบจนกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร โดยภายในแววตาของมันยังคงจับจ้องมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยความหวาดกลัว และทั่วทั้งตัวของมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง
ในที่สุดหมอกควันที่เคยเกาะกลุ่มความคิดของชายหนุ่มก็ได้สลายหายไป พร้อมกับชัยชนะที่เขาได้รับกลับมาอย่างสวยงาม
“ตั้งชื่อฝ่ามือนั้นซะสิ! นั่นเป็นวิชาการต่อสู้วิชาแรกเลยนะที่นายเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา” อันธกล่าวอย่างมีความสุข
“ฉันขอตั้งชื่อมันว่าฝ่ามือใบไม้ร่วงก็แล้วกัน” เซี่ยเฟยตอบกลับเบา ๆ
***************