บทที่ 604: ท่านช่วยย่างเนื้อให้ก่อนไปจับตัวพวกเขาได้ไหม?
ทันทีที่เตี๋ยฉ่ายยัดเนื้อแห้งคำใหญ่เข้าไปในปาก นางก็เห็นเงาดำทะมึนยืนอยู่ที่ประตู
หญิงสาวตกใจผุดลุกขึ้นจากพื้นทันที
“เจียวเจียวเรียกให้เจ้าเข้าไปข้างใน” หลงโม่มองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าบ้านด้วยสายตาเย็นชา
แค่ดูจากท่าทางนั้นก็บอกได้แล้วว่ามังกรหนุ่มไม่เต็มใจที่จะออกมาพูดคุยกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน
“รู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เตี๋ยฉ่ายไม่ลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น นางรีบตอบรับและเดินเข้าไปทันที
ในห้องนั่งเล่น
ยามนี้หูเจียวเจียวพูดเกลี้ยกล่อมให้พวกเด็ก ๆ กลับไปนอนกันก่อน
แน่นอนว่าเธอไม่ได้เข้าไปตรวจสอบว่าพวกเขา ‘นอน’ จริง ๆ หรือเปล่า
พอจิ้งจอกสาวเห็นเตี๋ยฉ่ายเดินเข้ามา เธอก็ยิ้มขอโทษนางแบบแกน ๆ “ข้าขอโทษด้วย เรื่องราวที่เกิดในวันนี้มันค่อนข้างหนักทีเดียว ข้าเลยไม่มีเวลาต้อนรับเจ้าให้ดี”
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องคิดมาก” เจ้าของนัยน์ตาสีชมพูโบกมือเบา ๆ พลางเหลือบมองใบหน้าบูดบึ้งของหลงโม่ “แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ข้าจะออกไปพักผ่อนที่บ้านไม้ข้างนอกก่อน พวกเจ้าก็รีบพักผ่อนล่ะ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก”
วันนี้ภูตที่หูหลินส่งมาได้สร้างบ้านไม้ที่เรียบง่ายไว้ให้เตี๋ยฉ่ายเรียบร้อยแล้ว
ถึงจะบอกว่ามันเป็นบ้านไม้ แต่ความจริงมันไม่ต่างจากห้องที่มีพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่เพียงพอจะให้คนคนหนึ่งนอนได้เท่านั้น
ทว่าเพียงแค่นี้หญิงสาวก็พอใจมากแล้ว
พอเตี๋ยฉ่ายพูดจบ นางก็ตั้งท่าจะหันหลังกลับไปพักผ่อนที่บ้านไม้ของตัวเอง
“ช้าก่อน” หลงโม่เรียกนางเสียงเย็นชา
จังหวะนั้นหูเจียวเจียวเข้าไปคว้าแขนของสามีหนุ่มเอาไว้ทันที เตี๋ยฉ่ายไม่ใช่นักโทษ ทำไมเขาถึงพูดเสียงไม่เป็นมิตรกับนางแบบนั้น?
ในเวลาเดียวกัน มังกรหนุ่มมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าและพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่รู้จักกู่สือดีที่สุด ข้าอยากรู้ข้อมูลของมันเพิ่มเติม เจ้าจะบอกข้าได้ไหม?”
ปัจจุบันเขาไม่อาจนั่งอยู่เฉย ๆ เพื่อรอให้ศัตรูกลับมาลงมือทำอะไรอีกครั้งได้จริง ๆ
“ได้สิ!” เตี๋ยฉ่ายพยักหน้ารับระรัว
ครู่ต่อมา นางเล่าทั้งข่าวลือและข่าวจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกู่สืออย่างละเอียดยิบ
“จากที่ข้าได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชายคนนั้น มันเป็นคนที่อวดดีคนหนึ่ง ครั้งต่อไปมันอาจจะถึงขั้นมาเหยียบที่บ้านของพวกเจ้าเพื่อขโมยเด็กไปเพิ่ม” หญิงสาวคาดการณ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
นี่เป็นวิธีที่หยามหน้าภูตมังกรมากที่สุด
คงไม่มีอะไรที่จะทำให้คนจิตวิปริตรู้สึกมีความสุขได้มากเท่ากับการจับตัวลูกของภูตมังกรจากในบ้านของเขาเอง
“จริงหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะมา?” หูเจียวเจียวเลิกคิ้วถาม
เตี๋ยฉ่ายพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง “จริงแท้แน่นอน!”
ขณะนั้นดวงตาของหลงโม่ฉายแววอำมหิต ในขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้ามันคิดที่จะกลับมา ก็ให้มันมา!”
ทางด้านจิ้งจอกสาวใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็ส่ายหัวเบา ๆ
“ไม่! ถ้ามันมาที่นี่จริง ๆ เราต้องปล่อยมันไป”
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็หันไปมองหูเจียวเจียวด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไม?” เตี๋ยฉ่ายรู้สึกสับสนกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ถ้าเราไม่ปล่อยมันไป แล้วเราจะตามหาเหยาเอ๋อพบได้ยังไง?” จิ้งจอกสาวพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น
กู่สือเป็นคนที่น่ารังเกียจมากจนทำให้ทุกคนคิดอยากจะกำจัดเขาให้เร็วที่สุด แต่เธอก็ยังยึดถือลำดับความสำคัญเป็นที่ 1 เพราะตอนนี้การช่วยชีวิตลูกชายคนเล็กเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จากนั้นหูเจียวเจียวก็บอกถึงแผนการของตัวเองให้หลงโม่และเตี๋ยฉ่ายฟัง
หลังจากหญิงผู้มีดวงตาสีชมพูได้ยินคำพูดของจิ้งจอกสาวแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชม
ทางด้านหลงโม่ เขาคุ้นเคยกับความคิดแปลก ๆ รวมถึงสิ่งที่แปลกประหลาดทั้งหลายของหูเจียวเจียว ดังนั้นเขาจึงไม่ตกใจอะไรมากนัก
“แต่ว่า..เราจะไปหาของที่เจ้าพูดถึงได้ที่ไหน?” เตี๋ยฉ่ายเกาหูถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้องกังวล ข้ามีมันอยู่แล้ว” จิ้งจอกสาวเผยรอยยิ้มลึกลับ
หลังจากนั้นหูเจียวเจียวกับหลงโม่ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 2 วันติดต่อกัน
ช่วงเวลาดังกล่าวมังกรหนุ่มไม่แม้แต่จะออกไปล่าสัตว์เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม หลงโม่ได้เห็นภรรยาสาวนำสิ่งของออกจากมิติกับตา แถมไม่พอเขายังช่วยนางคิดหาเหตุผลมาอธิบายกับคนอื่นอีก
ดังนั้นหูเจียวเจียวจึงไม่จำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องมิติอีกต่อไป เธอจึงนำอาหารออกมาจากมิติตรง ๆ โดยไม่ปิดบังผู้เป็นสามี
ทว่าเธอไม่ยอมให้เตี๋ยฉ่ายรู้ว่าอาหารเหล่านี้มาจากไหน เธอยังคงนำอาหารที่ถูกเก็บไว้ในโกดังไปให้หญิงสาวอยู่ตลอด
ถึงแม้ว่าจิ้งจอกสาวจะเชื่อใจมังกรหนุ่มอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อใจคนอื่นได้โดยไม่มีเงื่อนไข
การระวังตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเคย เมื่อเป็นแบบนี้แล้วตัวเธอและครอบครัวก็จะปลอดภัย
หลังจากหลงโม่ได้ทราบ ‘ความสามารถพิเศษ’ ของหูเจียวเจียว เขาก็ไม่เข้าไปรบกวนนางในห้องครัวอีก เขาจะเข้าไปในครัวเฉพาะตอนที่นางเรียกให้ตนไปช่วยเท่านั้น
การทำแบบนี้มันถือว่าเป็นการไม่ทำให้ภรรยาสาวรู้สึกอึดอัดจนเกินไป
ด้วยสถานการณ์ ณ ปัจจุบันมันทำให้จิ้งจอกสาวไม่สามารถเล่าเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับมิติให้กับมังกรหนุ่มฟังอย่างละเอียด
แถมยังมีเรื่องที่หลงเหยาถูกจับตัวไปอีก ดังนั้นหญิงสาวจึงพับเก็บเรื่องมิติเอาไว้ชั่วคราว
นอกจากนี้พวกลูก ๆ เองก็อยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหนมา 2 วันแล้วเหมือนกัน
กลายเป็นว่าครอบครัวตระกูลหลงแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย
แม้แต่หลงหลิงเอ๋อที่ต้องไปประจำการรักษาคนอยู่ที่ประตูเผ่าทุกวันก็ยังหยุดอยู่ที่บ้าน มันทำให้ภูตของเผ่าเยว่หูไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเด็กหญิงเป็นเวลา 2 วัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดกันไปเองว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาง
บางคนถึงขั้นมาหาที่บ้านเพื่อมาดูด้วยตาของตัวเองว่านางเป็นอะไรหรือไม่
หูเจียวเจียวไม่ได้บอกเรื่องที่หลงเหยาถูกภูตผมแดงจับตัวไปให้คนในเผ่ารู้ เธอพยายามให้มีคนรู้เรื่องนี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และภายใต้คำแนะนำอย่าง ‘เป็นมิตร’ ของหลงโม่ คนที่รู้เรื่องนี้ก็พากันปิดปากเงียบไม่บอกใครอีก
สำหรับการมาถามไถ่ของใครหลาย ๆ คน แม่จิ้งจอกยังเตรียมคำอธิบายที่สมเหตุสมผลเอาไว้ว่า ช่วงนี้หลงหลิงเอ๋อทำงานหนักมากเกินไป นางจึงต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านสัก 2-3 วัน
ซึ่งคนในเผ่าก็เข้าใจกันไปในทิศทางนั้นและบางคนก็นำอาหารมาให้ครอบครัวตระกูลหลงมากมาย
หูเจียวเจียวยอมรับของทั้งหมดมาจากแขก แต่เธอก็ยังไม่ก้าวออกจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว
ในเวลาเดียวกัน ภูตบางคนก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติว่าครอบครัวของจิ้งจอกสาวกับมังกรหนุ่มไม่มีใครออกไปข้างนอกเลยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
ทันใดนั้นก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเผ่ารวมถึงมีการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา คนส่วนใหญ่กังวลว่าพวกหูเจียวเจียวจะป่วยเป็นโรคระบาดแต่ไม่ยอมให้หมอมารักษา
เวลาผ่านไปไม่นาน ข่าวนี้ก็ดังไปถึงหูของกู่สือ
เมื่อชายผมแดงได้ยินว่าครอบครัวของหูเจียวเจียวไม่ยอมก้าวออกจากบ้านของตัวเองเลยแม้แต่ก้าวเดียว เขาก็เหยียดยิ้มดูถูก
“คิดว่าพวกเจ้าไม่ออกจากบ้านแล้วจะปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว”
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ออกไปข้างนอก เขาก็ยังสามารถขโมยเด็กออกมาจากใต้จมูกของพวกมันได้อยู่ดี
แม้แต่กำแพงหินก็ยังไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้!
แค่คิดข้าก็ดีใจจนเนื้อเต้นไปหมดแล้ว!
“เจ้าปีศาจผมแดง ท่านจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ?” หลงเหยาที่ได้ยินเสียงรบกวนก็ขยี้ตาที่ยังไม่ลืมของตัวเองแล้วลุกขึ้นมาถามด้วยความง่วงงุน
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงของคนตัวเล็ก อารมณ์ที่สดใสของเขาก็ขุ่นลงทันที
จากนั้นเขาก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าเรียกใครว่าปีศาจผมแดงกันห้ะ! ข้ามีชื่อ เรียกข้าว่ากู่สือก็ได้!”
แต่เป็นเพราะชื่อที่น่ากลัวของอีกฝ่ายต่างหากที่ทำให้หลงเหยาเรียกเขาว่าปีศาจผมแดง!
ถ้าข้าจับเด็กคนอื่นมาได้ ข้าจะต้องกินไอ้เด็กคนนี้ต่อหน้าพี่น้องของมัน ให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุด!
อาาา สมองของไอ้ลูกหมาขี้กลัวพวกนั้นเป็นอะไรที่อร่อยมากที่สุด แค่คิดข้าก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว
พอกู่สือจินตนาการถึงอาหารอันโอชะ เขาก็อดที่จะเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างมีความสุขไม่ได้
“ตกลง เจ้าปีศาจกู่สือ ท่านช่วยย่างเนื้อให้เสี่ยวเหยากินก่อนออกไปได้ไหม เสี่ยวเหยาหิวแล้ว” เจ้าตัวเล็กถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“...”
ไอ้เด็กนี่ ข้าไม่ใช่แม่เจ้านะ!
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าจับตัวเจ้ามาทำไม?” ทันทีที่ชายผมแดงได้เห็นใบหน้าไร้เดียงสาไม่มีพิษมีภัยของหลงเหยา จู่ ๆ เขาก็มีความคิดอยากจะข่มขู่ให้เด็กตรงหน้ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะเด็กคนนี้ได้กินดีอยู่ดีในบ้านของเขา จึงทำให้มันคงไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจับตัวมันมาทำอะไร
ถึงเวลาที่จะต้องทำให้มันรู้ตัวสักที!!
“ท่านจะทำอะไรหรือ?” หลงเหยาเอียงคอถามตามคำพูดของอีกฝ่าย
“ข้าจะไปจับพี่ชายของเจ้ามากิน!” กู่สือเหยียดยิ้มในแบบที่คิดว่าตัวเองน่ากลัวที่สุดพร้อมกับหัวเราะออกมา แล้วพูดข่มขู่เด็กชายต่อไปว่า
“ถ้าข้าจับตัวพวกมันทั้งหมดมาได้ ข้าจะค่อย ๆ กินพวกเจ้าทีละคน!”
“อ๋อออ” หลงเหยาลากเสียงยาวเพื่อแสดงว่าตนเข้าใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “งั้นก่อนที่ท่านจะออกไป ท่านย่างเนื้อให้เสี่ยวเหยากินก่อนได้ไหม? หลังจากย่างเนื้อเสร็จแล้วค่อยไปจับพวกเขา ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเหยาคงจะหิวตายไปเสียก่อนที่ท่านจะกลับมา”
ในตอนนี้มังกรน้อยคิดถึงเพียงเรื่องปากท้องของตัวเองเท่านั้น
แล้วสีหน้าที่ดูชั่วร้ายที่สุดของกู่สือก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า
“???”
อะไรวะเนี่ย?
ในหัวของไอ้เด็กนี่มีอะไรนอกเหนือจากเรื่องกินบ้างไหม?