ตอนที่ 6 คนเดียวหรือเข้าร่วมทีม
โครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ไม่มีความแตกต่างกันกับโครงกระดูกที่เขาอัญเชิญขึ้นมาเมื่อช่วงบ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวของกระดูกหรือรูปร่างของมันที่เหมือนกับว่าเพิ่งออกมาจากกองขยะ
แต่ลักษณะภายนอกนั้นไม่ได้บอกทุกอย่างเสมอไป
[นักรบโครงกระดูกเหล็กดำ]
[ความแข็งแกร่ง: 150]
[ความว่องไว: 150]
[วิญญาณ: 150]
[ร่างกาย: 150]
[สกิล: ไม่มี]
ถึงจะมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ค่าสถานะของมันกลับมีการเปลี่ยนแปลงจนหากคนภายนอกได้รู้เรื่องนี้โลกใบนี้จะต้องสั่นสะเทือนด้วยความตกตะลึงอย่างแน่นอน
ค่าสถานะทั้งหมดของนักรบโครงกระดูกเหล็กดำตัวนี้ได้เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า
หากยังไม่พูดถึงเรื่องของค่าความแข็งแกร่ง ค่าความว่องไว หรือค่าวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมา 10 เท่า และพูดถึงเพียงแค่ค่าร่างกายที่เพิ่มขึ้น 10 เท่านั่นหมายความว่าโครงกระดูกตัวนี้จะมีพลังชีวิตและพลังป้องกันเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าเช่นกัน
มันหมายความว่ายังไงยังงั้นหรอ?
มันหมายความว่าหากรวมค่าพลังชีวิตและค่าพลังป้องกันนั้นเข้ากับสกิลการถ่ายโอนความเสียหายแล้ว การจะฆ่าหลินโม่อวี่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลังจากนั้นหลินโม่อวี่ก็อัญเชิญนักรบโครงกระดูกออกมาอีกหนึ่งตน และพบว่าค่าสถานะของมันก็ถูกเพิ่มขึ้น 10 เท่าเช่นเดียวกัน
เมื่อหลินโม่อวี่รู้ว่าไม่ว่าเขาจะอัญเชิญมันมากแค่ไหน ค่าสถานะของมันก็จะเพิ่มขึ้น 10 เท่าเช่นเดิม ดังนั้นหลินโม่อวี่จึงใช้ค่าวิญญาณที่เหลืออีก 10 หน่วยจากการอัญเชิญเมื่อสักครู่เพื่อเรียกนักรบโครงกระดูกออกมาอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็นั่งลงและเริ่มทำสมาธิ เพราะการทำสมาธิเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูพลังวิญญาณแทนการนอนหลับ
แต่ถึงกระนั้นก็มีนักเรียนไม่กี่คนในโรงเรียนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะไม่ใช่ว่าเพียงแค่นั่งสมาธิแล้วจะสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เลย เขาจะต้องมีสมาธิและจิตใจที่แน่วแน่จริงๆถึงจะฟื้นฟูพลังวิญญาณได้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินโม่อวี่ก็ตื่นขึ้นมาตรงเวลาเช่นทุกวัน และพลังวิญญาณของเขาก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว
ณ ตอนนี้นักรบโครงกระดูกเหล็กดำทั้งสามได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างซื่อสัตย์ มันยืนนิ่งราวกับทหารยามที่กำลังปกป้องเจ้านายของมัน
ในกะโหลกศีรษะของนักรบโครงกระดูกทุกตัวนั้นมีไฟวิญญาณลุกไหม้อยู่ มันเป็นไฟวิญญาณที่มีอุณหภูมิที่เย็นไม่สมกับการเป็นไฟ และเมื่อมีลมกระโชกแรงเข้ามาในห้องของเขา อุณหภูมิในห้องของเขาก็จะลดลงหลายองศา
ไฟที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของนักรบโครงกระดูกและลมที่พัดเข้ามาได้ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องปรับอากาศให้กับหลินโม่อวี่
“ถ้าเป็นยังงี้ก็ดีเลย เราจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอากาศร้อนในฤดูร้อนอีกต่อไป”
หลินโม่อวี่คิดในใจพร้อมกับมุมปากของเขาที่ยกขึ้นเล็กน้อย
หลังจากนั้นเขาก็ได้อัญเชิญนักรบโครงกระดูกอีกครั้งเพื่อเรียกนักรบโครงกระดูกตัวที่สี่ออกมา เมื่อเขาอัญเชิญมันได้สำเร็จเขาก็ได้ส่งพวกมันทั้งสี่เข้าไปยังมิติอัญเชิญ
การเก็บรักษาพลังวิญญาณไว้ 10 หน่วย และมีนักรบโครงกระดูกเหล็กดำ 4 ตนที่มีค่าสถานะเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าไว้ในมิติอัญเชิญนั้น หลินโม่อวี่คิดว่ามันเพียงพอแล้วเมื่อเขาต้องต่อสู้หรือเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
เพราะด้วยค่าความแข็งแกร่งที่มีอยู่ถึง 150 หน่วยของนักรบโครงกระดูกเหล็กดำ นั่นก็เทียบได้กับอัศวินที่มีเลเวล 7 หรือ 8 หรือมากกว่านั้นแล้ว
เมื่อเขาเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้เดินออกจากบ้านและเดินทางไปที่โรงเรียน เมื่อเขามาถึงโรงเรียนเขาก็ได้พบว่ามีรถบัสจอดอยู่ที่ประตูโรงเรียนเพื่อพาพวกเขาไปยังดันเจี้ยนแล้ว และเมื่อพวกเขามาถึงดันเจี้ยน สถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
ไม่ใช่แค่โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งซีไห่เท่านั้นที่มาที่ดันเจี้ยนมือใหม่ นักเรียนเกือบทั้งหมดที่ได้รับการเปลี่ยนคลาสของเมืองซีไห่ก็มาที่นี่เช่นเดียวกัน
มีโรงเรียนมัธยมทั้งหมด 6 แห่งในเมืองซีไห่ และเมื่อวานนี้มีนักเรียนมากกว่า 800 คนที่ได้รับการเปลี่ยนคลาส และคลาสส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้รับคือคลาสสายชีวิต
เพราะฉะนั้นจึงมีคนมาที่นี่ไม่ถึง 200 คน ซึ่งนั่นเป็นจำนวนไม่ถึงหนึ่งในสามของจำนวนนักเรียนทั้งหมดที่ได้รับการเปลี่ยนคลาสด้วยซ้ำ
นักเรียนได้ยืนอยู่รวมกันในขณะที่อาจารย์ของแต่ละโรงเรียนก็ได้มาทำเรื่องการผ่านเข้าไปในดันเจี้ยน
“อาจารย์ลู่ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของคุณจริงๆ”
“ไม่เพียงแต่จะมีคลาสสายต่อสู้ระดับหายากปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียนของคุณเท่านั้น แต่ยังมีคลาสลับเอกลักษณ์ปรากฏขึ้นอีก นั่นมันเป็นอะไรที่หาได้ยากมากเลยนะ”
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมา โรงเรียนมัธยมอันดับ 1 ของคุณน่าทึ่งมาก ปีที่แล้วหลินโม่ฮานก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิง ในปีนี้คุณก็จะเคาะประตูของมหาวิทยาลัยเซี่ยจิงอีกครั้งงั้นหรอ?”
อาจารย์ใหญ่หลายๆคนที่รวมตัวกันอยู่พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น
ในตอนนี้ใบหน้าของลู่หยุนเต็มไปด้วยสีแดงด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจ
“เซี่ยเสวี่ยและหลินโม่อวี่เป็นคนที่เก่งจริงๆ หากมีโอกาสฉันก็หวังว่าพวกเขาจะได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิงเหมือนกัน”
“เซี่ยเสวี่ย? เธอคือลูกสาวของตระกูลเซี่ยหรือเปล่า?”
“แล้วหลินโม่อวี่ ทำไมชื่อนี้ถึงคล้ายกับชื่อของหลินโม่ฮานนักล่ะ?”
ลู่หยุนตอบว่า
“เซี่ยเสวี่ยเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเซี่ย และหลินโม่อวี่เป็นน้องชายของหลินโม่ฮาน”
“ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะสายเลือดของตระกูลเซี่ยนั้นดีมาก สำหรับหลินโม่อวี่กับหลินโม่ฮานพี่น้องคู่นี้นี่น่าทึ่งจริงๆ”
เกาหยางสะกิดหลินโม่อวี่ก่อนจะถามเขาว่า
“นายอยากจะร่วมทีมด้วยกันกับฉันไหม?”
เมื่อเขาได้ยินคำถามของเกาหยาง หลินโม่อวี่ก็ส่ายหัวเป็นคำตอบของเขา
เกาหยางแสร้งทำเป็นโกรธก่อนจะตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า
“นายกำลังดูถูกฉันอยู่หรือไง? นายคิดว่าฉันไร้ฝีมือยังงั้นหรอ?”
“ฉันคนนี้เชิญนายด้วยความจริงใจ หากนายไม่ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลกับฉันคนนี้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยนายไปเด็ดขาด”
เขาทำท่าเหมือนโกรธ แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขาไม่ได้ทำให้เขาดูเหมือนโกรธเลยแม้แต่น้อย
หลินโม่อวี่ไม่สนใจเขา และภายในสองวินาทีหลังจากนั้นเกาหยางก็เปลี่ยนสีหน้าของเขาอีกครั้งก่อนจะถามออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“นี่ทำไมนายถึงไม่ตั้งทีมกับฉันล่ะ?”
หลินโม่อวี่ตอบกลับไปเบาๆว่า
“การร่วมทีมกันมีแต่จะทำให้การเพิ่มเลเวลช้าลง”
เกาหยางถามด้วยความสงสัยว่า
“นายรู้ได้ยังไง?”
"อ่านหนังสือ" หลินโม่อวี่ตอบสั้นๆ
เกาหยางเกาหัวด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
ในตอนนี้เองที่เซี่ยเสวี่ยก็พูดจากข้างๆของพวกเขาว่า
“หลินโม่อวี่พูดถูกแล้ว หากตั้งทีมขึ้นโดยมีคนสองคนอยู่ในทีม แม้ว่าการฆ่ามอนสเตอร์จะเร็วขึ้น แต่มันก็จะทำให้ค่าประสบการณ์ที่ได้รับถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน”
“ความเร็วในการฆ่ามอนสเตอร์ในทีมที่มีสองคนนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 50% ถึง 60% แต่เวลาในการค้นหามอนสเตอร์นั้นไม่ได้รวดเร็วขึ้นเท่าเดิม ดังนั้นประสิทธิภาพโดยรวมจึงช้าลง”
“จากประสบการณ์ที่ถูกสรุปขึ้นโดยนักเรียนรุ่นก่อน ดันเจี้ยนที่มีเลเวลต่ำกว่าระดับ 10 เหมาะสำหรับการสำรวจคนเดียว ส่วนดันเจี้ยนที่สูงกว่าเลเวล 10 เหมาะสำหรับการสำรวจเป็นทีม”
เซี่ยเสวี่ยพูดอย่างชัดเจนและเกาหยางก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นหลังจากที่เขาคิดตามสิ่งที่เซี่ยเสวี่ยพูด เขาก็เข้าใจมันได้ไม่ยาก
ในเวลานั้นเองลู่หยุนก็เดินเข้าไปหาพวกเขา
“ยกเว้นเซี่ยเสวี่ยและหลินโม่อวี่ คลาสการต่อสู้ทุกคนจะต้องพาคลาสสนับสนุนหลายคนเข้าไปในดันเจี้ยนด้วย”
“อย่าคิดถึงการอัพเลเวลง่ายๆเพียงอย่างเดียว พวกคุณต้องรู้ว่าในอนาคตพวกคุณจะไม่สามารถสำรวจดันเจี้ยนทั้งหมดได้ด้วยตัวเองหากพวกคุณไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆเมื่อพวกคุณเข้าสู่ดันเจี้ยนที่มีระดับความยากสูงมากกว่านี้”
“แล้วอย่างที่ฉันพูดไป เมื่อเข้าสู่ดันเจี้ยนระดับสูง คลาสสายต่อสู้จะขาดคลาสสายสนับสนุนไม่ได้ และถ้าพวกคุณไม่หาทีมตั้งแต่แรกๆพวกคุณก็จะเจอการปฏิเสธจากคลาสสายสนับสนุน ยกตัวอย่างเช่น ปกติแล้วฉันก็จะปฏิเสธที่จะสนับสนุนคนอื่น และฉันจะมองหาคนที่ฉันต้องการสนับสนุนเมื่อฉันต้องการมันเท่านั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีกับฉันมาก”
“พูดตรงๆแทนที่จะมองหาคลาสสายสนับสนุนที่พวกคุณไม่รู้จัก ฉันแนะนำให้พวกคุณหาเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองดีกว่า เพราะอย่างน้อยพวกคุณก็ยังมีมิตรภาพของเพื่อนร่วมชั้น และพวกเขาจะไม่หนีไปตามลำพังหากคุณตกอยู่ในอันตราย”
สิ่งที่ลู่หยุนพูดนั้นชัดเจนมากและมันก็เป็นเรื่องจริง
หากคลาสสายต่อสู้ไม่มีคลาสสายสนับสนุน ความเร็วในการสำรวจดันเจี้ยนและความเร็วในการเพิ่มเลเวลของคลาสสายสนับสนุนก็จะช้ามาก ทุกๆอย่างจะต้องพัฒนาไปควบคู่กัน
ในตอนนั้นก็มีคนถามขึ้นว่า
“ทำไมเซี่ยเสวี่ยและหลินโม่อวี่ถึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นๆล่ะ?”
ลู่หยุนกระแอมในลำคอก่อนจะตอบนักเรียนคนนั้นไปว่า
“ทั้งสองคนแตกต่างกับคนอื่นๆ เซี่ยเสวี่ยต้องการที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิง ดังนั้นเธอจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเซี่ยเสวี่ยจะไม่อยู่ในดันเจี้ยนมือใหม่นานเกินไป ฉันคิดว่าไม่เกินสองวันเซี่ยเสวี่ยก็จะออกจากที่นี่แล้ว”
“สำหรับหลินโม่อวี่ ฉันไม่รู้ว่าคลาสและพลังในการต่อสู้ของเขาเป็นยังไง แต่เขาก็สามารถหาคลาสสายสนับสนุนเข้าร่วมทีมของเขาได้เหมือนกันหากเขาต้องการคลาสสายสนับสนุนเข้าร่วมทีมกับเขา”