ตอนที่ 5 พรสวรรค์และสกิลติดตัวระดับพระเจ้า
เซี่ยเสวี่ยเป็นคนที่มีรูปร่างสูงและสง่างามเพราะเธอเป็นคนที่สูงถึง 170 เซนติเมตร อีกทั้งเธอยังมีใบหน้าที่บอบบางเป็นอย่างมากอีกด้วย หลายๆคนในโรงเรียนมองว่าเธอคือเทพีแห่งความงามของโรงเรียนแห่งนี้
ถึงกระนั้นมันก็ยังน่าเสียดายที่หลินโม่อวี่สูงกว่าเธอ เพราะเขาสูงถึง 185 เซนติเมตร ซึ่งแม้แต่เซี่ยเสวี่ยก็ยังต้องเงยหน้ามองเขา
“หลินโม่อวี่ ฉันขอท้านาย”
หลินโม่อวี่มองเธอพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงของเขา
เซี่ยเสวี่ยรู้ว่าหลินโม่อวี่เป็นคนไม่ชอบพูด เธอจึงพูดออกไปตรงๆว่า
“ระหว่างนายกับฉันใครก็ตามที่ได้คะแนนสอบปลายภาคดีกว่ากันจะเป็นผู้ชนะ นายกล้าแข่งกับฉันหรือเปล่า?”
“อืม...” หลินโม่อวี่คิดเล็กน้อยก่อนจะเดินจากเซี่ยเสวี่ยไป
เซี่ยเสวี่ยกระทืบเท้าของเธอก่อนจะพูดว่า
“ตามนี้! ฉันจะไม่มีวันแพ้นายเด็ดขาด!”
เดิมที่เซียเสวี่ยคิดว่าคลาสระดับหายากของเธอในวันนี้จะสามารถทำให้เธอเอาชนะหลินโม่อวี่ได้ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลินโม่อวี่กลับได้รับคลาสที่ดีกว่าเธอ!
เธอไม่รู้ว่าคลาสเนโครแมนเซอร์ของเขานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เธอจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด
หลังจากนั้นเซี่ยเสวี่ยและหลินโม่อวี่ก็แยกกันไปโดยที่หลินโม่อวี่ก็เดินกลับบ้านของเขา
บ้านของเขาเงียบสงบ เพราะไม่มีใครอยู่ที่บ้านของเขาเลย
หลินโม่อวี่เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารบางอย่างให้กับตัวเขาเองกิน
หลังจากทำเสร็จเขาก็เดินมาออกมาที่ห้องนั่งเล่นที่มีการตกแต่งที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก เพราะมันแทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอรน์อยู่ในห้องนั้นเลย
แต่ในห้องๆนั้นมีภาพถ่ายภาพหนึ่งที่โดดเด่นเป็นอย่างมากตั้งอยู่
ในภาพนั้นมีหลินโม่อวี่ หญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงาม และหญิงชราผมหงอกคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน
ภายในภาพนั้นหลินโม่อวี่กำลังยิ้มอยู่ภายใต้แสงแดดที่ส่องกระทบลงมาหาเขาและพวกเธอทั้งสอง
มันเป็นหลินโม่อวี่ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับหลินโม่อวี่คนปัจจุบัน
และนอกจากเขาแล้ว หญิงสาวและหญิงชราที่อยู่ในภาพต่างก็ยิ้มแย้มด้วยเช่นกัน
ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกถ่ายเมื่อสามปีที่แล้ว
หลินโม่อวี่ที่อยู่ในร่างนี้ตอนนี้คือผู้ที่เดินทางข้ามกาลเวลามา แต่เขายังคงมีความทรงจำและอารมณ์ของเจ้าของคนเดิมไว้เช่นเดิม และเจ้าของร่างนี้มีความรักต่อสองคนในภาพอย่างลึกซึ้ง
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีครอบครัวหรือไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่
แต่ในโลกนี้เขามีญาติอยู่ที่นี่และเขาก็รักญาติของเขา นั่นทำให้เขาหวงแหนญาติของเขาเป็นอย่างมาก
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆอยู่ได้ไม่นานนัก
เพราะเมื่อสองปีที่แล้วคุณยายของเขาได้เสียชีวิตลง และเมื่อปีที่แล้วพี่สาวของเขาก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิง เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เหลือเขาอยู่บ้านเพียงแค่คนเดียว
ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรอยู่นั้น หลินโม่อวี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ฉันก็จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิงด้วยเหมือนกัน”
หลินโม่อวี่พูดด้วยความมั่นใจ
ไม่ใช่เพื่อเรื่องไหนทั้งนั้น ทั้งหมดเพราะหลินโม่ฮานอยู่ที่นั่น
เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยจิงนั้นสอบเข้ายากเกินไป และเมื่อปีที่แล้วหลินโม่ฮานเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในเมืองซีไห่ที่เข้าเรียนที่นั่นได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกของบ้านหลินโม่อวี่
“อาจารย์ลู่”
ลู่หยุนยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับถุงใส่ของถุงหนึ่ง
“โม่อวี่นี่อาหาร นายเอาไปกินก่อนได้เลย แล้วอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ฉันจะเอาของสดมาให้นายเพิ่ม”
หลินโม่อวี่หยิบอาหารขึ้นมาก่อนจะกล่าวคำขอบคุณเขา
“ขอบคุณครับอาจารย์ลู่”
ลู่หยุนพยักหน้า
"พรุ่งนี้นายจะต้องไปเข้าดันเจี้ยน ดังนั้นนายก็พักผ่อนให้สบายล่ะ"
ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ลู่หยุนจะมาส่งอาหารให้เขาทุกๆสองถึงสามวันเสมอ เพราะนี่คือสิ่งที่เขาสัญญาไว้กับหลินโม่ฮาน และที่เขาต้องสัญญากับหลินโม่ฮานไว้แบบนั้นเพราะเมื่อปีที่แล้วหลินโม่ฮานได้สิทธิ์เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิงในฐานะนักเรียนอันดับหนึ่งของเมืองซีไห่ แต่ในตอนนั้นหลินโม่ฮานได้ตัดสินใจที่จะไม่รับสิทธิ์นั้นเพราะเธอต้องการอยู่ดูแลน้องชายของเขาหลินโม่อวี่
กฏของมหาวิทยาลัยเซี่ยจิงนั้นคือเมื่อคุณตัดสินใจที่จะเข้าไปเรียนที่นั่นแล้วคุณจะไม่สามารถกลับมาที่บ้านเกิดได้อย่างน้อยสามปี
ดังนั้นลู่หยุนจึงสัญญาว่าเขาจะดูแลหลินโม่อวี่แทนหลินโม่ฮานให้เป็นอย่างดี และเขาก็ยังคงทำตามสัญญานั้นตลอดมา
จากนั้นหลินโม่ฮานจึงตกลงที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิง
ในเมืองซีไห่การที่คนๆหนึ่งสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยจิงได้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรงเรียนมัธยมซีไห่และลู่หยุน
ในคืนนั้นหลินโม่อวี่ก็ได้ฝึกสกิลของเขาต่อ
พลังวิญญาณของเขาได้รับการฟื้นฟูแล้ว และเขาก็สามารถเรียกนักรบโครงกระดูกตัวใหม่ได้ตลอดเวลา
แต่ในฝ่ามือซ้ายของเขาในตอนนี้เขาได้ถืออัญมณีสีแดงสดชิ้นหนึ่งอยู่ มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้รับติดตัวมาด้วยในตอนที่เขาข้ามกาลเวลามา
เมื่อเขายกมือขึ้นและกำลังจะใช้งานมัน เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในใจของเขา
[ตรวจพบว่าผู้ใช้ได้รับการเปลี่ยนคลาสเป็นเนโครแมนเซอร์]
[คลาสตรงตามข้อกำหนด...ค้นหาพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับผู้ใช้...พบพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับผู้ใช้]
[เริ่มต้นการแยกพลังต้นกำเนิดของโลกและมอบมันให้กับผู้ใช้]
[การแยกพลังต้นกำเนิดของโลกและมอบให้กับผู้ใช้เสร็จสมบูรณ์]
[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้ที่ได้รับพรสวรรค์ระดับพระเจ้า: แปรผันทวีคูณ (เลเวล 1) (ยูนีค)]
[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้ที่ได้รับสกิลติดตัว: การถ่ายโอนความเสียหาย]
หลินโม่อวี่ตกใจกับหน้าต่างแจ้งเตือนที่เกิดขึ้นและรีบตรวจเช็คค่าสถานะของเขาทันที
[ชื่อ: หลินโม่อวี่]
[คลาส: เนโครแมนเซอร์ (เอกลักษณ์)]
[เลเวล: 1 (0.00%)]
[ความแข็งแกร่ง: 10]
[ความว่องไว: 10]
[วิญญาณ: 20]
[อุปกรณ์สวมใส่: ไม่มี]
[มิติอัญเชิญ: 1/10 นักรบโครงกระดูก (จำนวน: 1)]
[พรสวรรค์: แปรผันทวีคูณ (เลเวล 1) (ยูนีคเฉพาะหลินโม่อวี่)]
[สกิลติดตัว: การถ่ายโอนความเสียหาย]
[สกิล: เปลวเพลิงวิญญาณ (เลเวล 1) อัญเชิญนักรบโครงกระดูก (เลเวล1)]
[แปรผันทวีคูณ (เลเวล 1): ผลของสกิลทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เท่า]
[การถ่ายโอนความเสียหาย: ความเสียหายทั้งหมดที่จอมเวทย์ได้รับนั้นจะถูกถ่ายโอนไปที่วัตถุที่ถูกอัญเชิญมาแทน]
[เปลงเพลิงวิญญาณ (เลเวล 1): เผาเป้าหมายด้วยพลังวิญญาณและทำให้เป้าหมายเกิดความเสียหายจากการเพลิงไหม้ ความรุนแรงของเพลิงนั้นขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณและระดับสกิล]
[อัญเชิญนักรบโครงกระดูก (เลเวล 1): สามารถอัญเชิญนักรบโครงกระดูกเหล็กดำออกมาได้]
ค่าสถานะพื้นฐานของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มีเพียงพรสวรรค์และสกิลติดตัวเท่านั้นที่ถูกเพิ่มเข้ามา
แต่ทั้งสองอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาในหน้าต่างสถานะของเขานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก เพราะเพียงแค่พูดถึงพรสวรรค์แปรผันทวีคูณที่จะทำให้ผลของสกิลทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เท่าก็เป็นอะไรที่ขี้โกงมากแล้ว
ส่วนว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดไหน หลินโม่อวี่ก็ไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้เช่นเดียวกัน
แม้ว่าโดยปกติแล้วหลินโม่อวี่จะเป็นคนที่เฉยชาอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้เมื่อเขาเห็นผลของสกิลนี้ใบหน้าของเขาก็มีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นเล็กน้อย
เท่านั้นมันยังไม่พอ เพราะผลของสกิลติดตัวของเขานั้นมันก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจพอๆกัน เพราะมันถือได้ว่าเป็นสกิลที่ขี้โกงมากเช่นเดียวกัน
ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาจะถูกโอนไปยังวัตถุที่ถูกอัญเชิญมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาโดยเขายังไม่ตาย เขาก็จะไม่มีทางตายอย่างเด็ดขาด
หากคุณต้องการฆ่าเขา คุณต้องฆ่าสิ่งที่ถูกอัญเชิญมาทั้งหมดของเขาก่อน
นั่นเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าสกิลติดตัวของเขานั้นทรงพลังขนาดไหน เพราะหากสิ่งที่หลินโม่อวี่อัญเชิญมามีเป็นพันๆตน นั่นก็เทียบกับว่าหลินโม่อวี่ได้กลายเป็นอมตะไปแล้ว
ไม่มีใครเคยได้ยินว่ามีสกิลติดตัวแบบนี้มาก่อน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลินโม่อวี่ก็ฟื้นจากอาการตกใจของเขา และเขาได้พบว่าเม็ดอัญมณีสีแดงสดที่มือซ้ายของเขาได้หายไปแล้ว
“ออกมา”
หลินโม่อวี่เปิดใช้งานสกิลและเรียกนักรบโครงกระดูกเหล็กดำออกมา
กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลังจากนั้นโครงกระดูกระดับเหล็กดำเดินออกมาจากกระแสน้ำวนนั้นพร้อมกับเสียงกระทบกันของกระดูก