ตอนที่ 4 เธอต้องการเรียนรู้ภาษาเงียบของเขางั้นหรอ?
จางเฉียนคือผู้ที่มีเลเวลอยู่ที่เลเวล 52 ดังนั้นเขาจึงมีสกิลการตรวจสอบในระดับสูง แต่ในขณะเดียวกัน หลินโม่อวี่เป็นเพียงผู้ที่เพิ่งจะได้รับการเปลี่ยนคลาสและมีเลเวลอยู่ที่เลเวล 1 ดังนั้นเมื่อสักครู่นี้จางเฉียนจึงตรวจพบว่าโครงกระดูกที่เขาอัญเชิญออกมาเมื่อสักครู่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาจริงๆ
และด้วยสกิลการตรวจสอบของจางเฉียน เขาจึงมองเห็นค่าสถานะของนักรบโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าของเขา
ค่าสถานะของนักรบโครงกระดูกนั้นธรรมดาและไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ
ท้ายที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้หลินโม่หยูยังมีเลเวลอยู่แค่ 1 เท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคลาสของเขา
บางทีนักรบโครงกระดูกนี้อาจมีพลังมากขึ้นหลังจากที่เลเวลของเขาสูงขึ้น
จางเฉียนโบกมือก่อนจะพูดกับหลินโม่อวี่ว่า
“ขอบคุณมาก หลังจากนี้ก็พยายามเข้าล่ะ บางทีในอนาคต คลาสของคุณอาจจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ก็ได้”
หลินโม่อวี่เคารพจางเฉียนอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินจากไป
นักรบโครงกระดูกเดินตามหลังหลินโม่อวี่ไปพร้อมกับเสียงแคร๊กที่เกิดขึ้นจากการสั่นคลอนของกระดูก และด้วยสายลมหนาวใบบริเวณนั้นมันจึงทำให้โครงกระดูกตัวนั้นดูน่ากลัวขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเขากลับมายืนที่เดิม นักเรียนหลายคนก็ขยับออกห่างจากตัวของเขาโดยไม่รู้ตัว
โครงกระดูกของเขาน่ากลัวมาก
หลังจากนั้นเกาหยางก็เดินเข้ามาหาเขา
“ฉันจับมันได้ไหม?”
หลินโม่อวี่พยักหน้าแสดงว่าใช่
เกาหยางเอื้อมมือออกไปแตะนักรบโครงกระดูกอย่างกล้าหาญ
เมื่อเขาสัมผัสมัน เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังสัมผัสกับแผ่นเหล็กที่มีความเย็นเล็กน้อย
เปลวไฟบนหัวของมันไม่มีความร้อน และเมื่อยิ่งอยู่ใกล้เปลวไฟนั้นมันก็ยิ่งเย็นขึ้น
หลังจากนั้นเกาหยางก็ถามว่า
“โครงกระดูกนี้แข็งแกร่งหรือเปล่า?”
หลินโม่หยูพยักหน้าของเขาก่อนจะพูดว่า
“มันน่าจะแข็งแกร่งกว่านายนะ”
“จริงหรอ? ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อแบบนั้นเลย มันดู...เปราะบางมากเลย”
ในตอนนั้นเองที่ลู่หยุนเรียกชื่อของเกาหยาง และเกาหยางก็พูดกับหลินโม่อวี่ว่า
“ฉันจะไปเปลี่ยนคลาสก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”
หลินโม่อวี่มองไปที่นักรบโครงกระดูกและคิดในใจว่า
“หวนคืน”
กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง และนักรบโครงกระดูกก็หายไปหลังจากเข้าสู่กระแสน้ำวนนั้น
หลังจากที่โครงกระดูกและกระแสน้ำวนหายไป ค่าสถานะในส่วนมิติอัญเชิญของตัวเขาเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จากแต่เดิมสิ่งที่แสดงในค่าสถานะของเขาคือ
[มิติอัญเชิญ: 0/10]
แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็น
[มิติอัญเชิญ: 1/10]
[นักรบโครงกระดูก: 1]
หลินโม่อวี่ตรวจสอบสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในหน้าสถานะของเขาอย่างระมัดระวัง
มิติอัญเชิญเป็นสถานที่สำหรับการเก็บสิ่งที่เขาอัญเชิญมา สิ่งใดที่เขาอัญเชิญมาแล้วไม่ได้ใช้จะสามารถนำมาเก็บไว้ในมิติอัญเชิญนี้ได้และจะสามารถอัญเชิญออกมาได้ตลอดเวลาเมื่อเขาจำเป็นต้องใช้
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือสิ่งที่อัญเชิญออกมาจากมิติอัญเชิญนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณในการอัญเชิญออกมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณสามารถเรียกนักรบโครงกระดูกออกมาได้ จากนั้นก็นำพวกมันเข้าไปเก็บไว้ในมิติอัญเชิญ และเรียกพวกมันออกมาอีกครั้งเมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ
ปัจจุบันมิติอัญเชิญมีความจุทั้งหมด 10 หน่วย ซึ่งนั่นหมายความว่ามิติอัญเชิญของเขาสามารถรองรับนักรบโครงกระดูกได้ทั้งหมด 10 ตน
หากสิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญได้รับบาดเจ็บ มันก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในมิติอัญเชิญ และเมื่อเลเวลเพิ่มขึ้น ความจุของมิติอัญเชิญก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
หลินโม่อวี่นึกถึงภาพที่เขาเห็นตอนที่เขาเปลี่ยนคลาสเมื่อสักครู่นี้
และภาพที่เขาเห็นระหว่างการเปลี่ยนคลาสนั้นแตกต่างไปจากที่คนอื่นเห็นอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เขาเห็นในตอนนั้นคือมังกร และมันคือมังกรตัวใหญ่
มังกรตัวนั้นได้ทะยานขึ้นไปในอากาศ และมันก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งคราว
และทันใดนั้น มันก็ตกลงสู่พื้นและกลิ้งไปมาอย่างทุรนทุราย
หลินโม่อวี่เห็นว่ามังกรตัวนั้นถูกปกคลุมไปด้วยนักรบโครงกระดูกจำนวนหลายตน อย่างน้อยก็หลายพันตน
นักรบโครงกระดูกเหวี่ยงดาบที่แหลมคมของพวกมันไปที่มังกร
การโจมตีแต่ละครั้งของนักรบโครงกระดูกทำให้เกิดบาดแผลอันน่าสยดสยองที่ร่างของมังกรตนนั้น
ไม่ว่ามังกรตนนั้นจะดิ้นรนแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์
มังกรไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากการกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ในเวลาไม่ถึงนาทีต่อจากนั้น มังกรยักษ์ก็ล้มลงพร้อมกับส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
นักรบโครงกระดูกสามารถล้มมันได้อย่างง่ายดาย
และจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลินโม่อวี่รู้ว่านักรบโครงกระดูกนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
ตราบใดที่เขาสามารถเพิ่มเลเวลและเรียกมันขึ้นมาได้ในจำนวนมหาศาล แม้แต่มังกรยักษ์เขาก็สามารถสังหารมันได้ไม่ต่างไปจากหมูหรือสุนัข
หลินโม่อวี่เชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถไปถึงระดับนั้นได้ ระดับที่เขาจะสามารถสังหารมังกรได้เหมือนกับสุนัข
ในขณะนั้นเองแสงสว่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
การเปลี่ยนคลาสของเกาหยางเสร็จสิ้นแล้ว
[คลาสสายต่อสู้ระดับสูง: อัศวินดาบโล่]
เกาหยางได้รับคลาสอัศวินตามที่เขาต้องการจริงๆ
และมันยังไม่ใช่อัศวินธรรมดา แต่เป็นคลาสระดับสูง อัศวินดาบโล่
คลาสนี้เป็นคลาสอัศวินเหมือนคลาสสายต่อสู้ธรรมดาก็จริง แต่มันก็ยังมีความแตกต่างระหว่างคลาสอัศวินธรรมดากับคลาสอัศวินดาบโล่ มิเช่นนั้นมันคงไม่มีทางถูกจำแนกเป็นคลาสระดับสูงอย่างแน่นอน
เกาหยางรีบวิ่งกลับมาอย่างตื่นเต้น
“เอาล่ะ หลังจากนี้ฉันก็สามารถพูดได้แล้วว่าฉันคืออัศวินจริงๆ”
หลินโม่อวี่แสดงรอยยิ้มที่เป็นเรื่องที่หาได้ยากออกมาและยกนิ้วให้เกาหยางในเวลาเดียวกัน
เกาหยางหัวเราะเสียงดังและตบไหล่หลินโม่อวี่
“ในอนาคตเราจะเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนด้วยกัน และฉันจะเป็นคนนำหน้าและปกป้องนายเอง”
“มันจะต้องพูดว่าอะไรนะ?”
เขาตบหัวตัวเองเบาๆก่อนจะพูดออกมาว่า
“ถ้าอยากจะฆ่าฉันก็ต้องข้ามศพของนายไปก่อน!”
หลินโม่อวี่พูดไม่ออกเล็กน้อยกับคำพูดและการกระทำของเกาหยาง เขาทนกับการกระทำแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาว่า
“นายพูดผิดแล้ว”
เกาหยางพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“ในที่สุดนายก็ยอมพูดกับฉัน! ฉันจงใจพูดกลับกันนายไม่เห็นหรอ?”
“ชิ”
หลินโม่อวี่เดาะลิ้น เขาคิดว่าจริงๆแล้วเกาหยางไม่รู้คำพูดจริงๆของคำๆนั้นแต่เขาจงใจไม่ยอมรับแล้วพูดว่าเขาจงใจพูดผิดเอง
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นายพูดแบบนี้ก็ได้หรอ?’ นั่นคือสิ่งที่หลินโม่อวี่คิด ก่อนที่เขาจะมองเกาหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม
การเปลี่ยนคลาสทั้งหมดเสร็จสิ้นลงแล้ว
หลังจากนั้นลู่หยุนก็ได้พานักเรียนทั้งหมดกลับไปที่ห้องเรียนใหญ่
ในครั้งนี้นักเรียนทั้ง 106 คนจากโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งซีไห่ได้เปลี่ยนคลาสเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วโดยที่มีหลินโม่อวี่ได้รับคลาสลับมาจากการเปลี่ยนคลาสในครั้งนี้
มีนักเรียนสิบสองคนได้รับคลาสสายต่อสู้ สิบแปดคนได้รับคลาสสายสนับสนุน ส่วนนักเรียนที่เหลือได้รับคลาสสายชีวิต
จากอัตราส่วนนักเรียนที่ได้รับการเปลี่ยนคลาสในปีนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและลู่หยุนก็พอใจกับมันมากเช่นกัน
“นักเรียนทุกคน ตอนนี้การเปลี่ยนคลาสได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”
“ไม่ว่าคลาสของพวกคุณจะเป็นอะไร พวกคุณจะต้องฝึกฝนและพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มเลเวลและพัฒนาทักษะสกิลของคุณให้ดี”
“และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ดันเจี้ยนสำหรับมือใหม่ของเราที่อยู่ในเมืองซีไห่จะเปิดให้กับนักเรียนทุกคน”
“พวกคุณทุกคนสามารถเข้าไปในดันเจี้ยนเพื่อพัฒนาตัวเองและฝึกฝนการต่อสู้จริงได้”
“ส่วนนักเรียนที่ได้รับคลาสสายชีวิตมาก็ไม่ต้องกังวล ทางโรงเรียนได้จัดห้องเรียนเกี่ยวกับคลาสสายชีวิตให้กับพวกคุณแล้ว และในสถานที่แห่งนั้นยังมีอาจารย์ที่พร้อมจะสอนให้พวกคุณเชี่ยวชาญสกิลหรือทักษะต่างๆในคลาสสายชีวิตด้วย”
“ฉันหวังว่าในการสอบครั้งใหญ่ในสัปดาห์ถัดไป พวกคุณทุกคนจะได้รับเกรดดีๆและเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องการได้”
สำหรับนักเรียนทุกคน พวกเขาล้วนรู้ข้อมูลของดันเจี้ยนมือใหม่อยู่แล้ว
มอนสเตอร์ที่อยู่ด้านในดันเจี้ยนนั้นจะมีเลเวลตั้งแต่เลเวลหนึ่งถึงเลเวลแปด อีกทั้งมันยังมีจำนวนไม่มากและความยากในการกำจัดพวกมันนั้นก็ไม่ได้ยากจนเกินไป
มันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าดินแดนร้างด้านนอกของเมืองซีไห่เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าคุณสามารถออกไปยังดินแดนร้างด้านนอกได้เลยโดยที่ไม่ต้องไปที่ดันเจี้ยนมือใหม่ แต่มันจะไม่มีใครรับผิดชอบอะไรคุณหากคุณตายในสถานที่แห่งนั้น
เมื่อถึงช่วงเวลาเลิกเรียนเซี่ยเสวี่ยก็ได้เข้ามาขวางหลินโม่อวี่ไว้
แต่ในขณะนั้นเองเกาหยางก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า
“เซี่ยเสวี่ย เธอต้องการเรียนรู้ภาษาเงียบของเขางั้นหรอ?”
เซี่ยเสวี่ยขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า
“ไปให้พ้น!”
“ก็ได้!” เกาหยางยอมไปจากเธออย่างง่ายดาย…