บทที่ 599: เกือบจะมีคู่แข่งหัวใจ
แม้ว่าจะเป็นตัวหูเจียวเจียวเอง การที่มีผู้ชายตัวใหญ่ 4 คนเฝ้าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวมันเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นไม่ใช่หรือ?
ขณะเดียวกัน หลงโม่เหลือบมองภูตตัวโต 4 คนที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูแล้วพูดว่า “เราไม่ได้ขังนาง นางเป็นคนเอ่ยปากขอเอง”
ใครจะบ้าไปขอแบบนี้กัน มีอะไรอย่างนี้ด้วยหรือ?
จิ้งจอกสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเชื่อมโยงการคาดเดาที่เธอคิดเอาไว้เมื่อกี้… มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
จากนั้นแม่จิ้งจอกก็หันไปมองลูกชายทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
หลงอวี้เข้าใจทันทีว่าผู้เป็นแม่ต้องการอะไร เขาจึงกล่าวว่า “ท่านแม่ พวกเราจะไปเยี่ยมท่านตากับท่านยายก่อนนะ”
บ้านของหูหลินอยู่ข้าง ๆ บ้านหินหลังนี้ ซึ่งระยะทางมันใกล้มากจนแค่เงยหน้าก็มองเห็นกันแล้ว
“ได้ ถ้าพวกเจ้ามีอะไรก็มาหาแม่ที่นี่แล้วกัน” หูเจียวเจียวตอบพลางลูบหัวลูกชายทั้ง 4 เบา ๆ
ทันทีที่พวกลูกชายรู้ว่าแม่จิ้งจอกมีธุระต้องไปทำ พวกเขาก็ไม่อยากรบกวนนาง ดังนั้นเหล่าเด็กตระกูลหลงจึงแยกตัวออกไปเล่นกับตายายของตนอย่างเชื่อฟัง
โดยธรรมชาติแล้วลูกภูตมีความกระตือรือร้นมากกว่าลูกมนุษย์ พวกเขาไม่ต่างจากสุนัขพันธุ์ฮัสกี้ เด็กพวกนี้ไม่สามารถเล่นอยู่บ้านเฉย ๆ กันได้ พวกเขาจะต้องออกไปผลาญพลังงานที่มีจนล้นในกายออกไปบ้าง
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลงอวี้และพี่น้องคนอื่น ๆ ได้อยู่แค่ในบ้าน ซึ่งพื้นที่ที่มีจำกัดมันไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขา
ในที่สุดตอนนี้ทุกคนก็ได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้างแล้ว บรรดาเด็กตระกูลหลงจึงวิ่งไปที่บ้านหินของหูหลินอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่หูเจียวเจียวกับหลงโม่มองส่งเด็กน้อยทั้งหลายจนลับตาแล้ว ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในประตูบ้านหินที่ตัวเองยืนอยู่
บ้านหินหลังนี้สร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นโกดังเก็บของจึงไม่มีเครื่องเรือนอยู่ข้างในนั้น
เมื่อหูเจียวเจียวเข้าไปด้านใน เธอก็เห็นหนังสัตว์สีเทาถูกปูเอาไว้ตรงมุมห้องและมีน้ำอาหารกองอยู่ด้านข้าง ภายในบ้านถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านเพราะพวกเขาเตรียมเอาไว้สำหรับภูตหญิงโดยเฉพาะ
พอเธอกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเหมือนขอทานกำลังนอนพิงกำแพงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ทันทีที่นางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว นางก็ลืมตาขึ้นสบกับหูเจียวเจียว
“เจ้านั่นเอง”
เตี๋ยฉ่ายจำหูเจียวเจียวได้ อีกฝ่ายเป็นแม่ของเด็กที่ตนเคยช่วยชีวิตเอาไว้
จิ้งจอกสาวเองก็รู้สึกประหลาดใจกับท่าทางของผู้หญิงตรงหน้า นางดูไม่เหมือนคนปากแข็งไม่ยอมบอกข้อมูลอะไรให้กับหัวหน้าเผ่าเลยสักนิด
เธอจึงตัดสินใจพูดตรงเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาอีก
“ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าและครอบครัวของข้าไว้ถึง 2 ครั้ง ข้ารู้ว่าเจ้าน่าจะรู้จักภูตผมแดง หากเจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่เจ้าสามารถบอกเรามาได้โดยตรงเลย แต่มีเงื่อนไขว่าเจ้าจะต้องบอกเราเกี่ยวกับภูตผมแดงคนนั้น แล้วเราจะพยายามช่วยปกป้องเจ้าให้เต็มที่”
“เจ้าจะรับปากข้าทุกอย่างเลยอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเตี๋ยฉ่ายเป็นประกาย ต่อมา นัยน์ตาสีชมพูก็มองข้ามไปด้านหลังหูเจียวเจียว
ขณะนี้สายตาของนางจับจ้องไปที่หลงโม่ แล้วนางก็ยืนนิ่งงันอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง
ที่ผ่านมาตัวนางเร่ร่อนอยู่ในเผ่ามาเป็นเวลานาน นางเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหูเจียวเจียวและคนในครอบครัวของนาง
คู่ของจิ้งจอกสาวคือภูตมังกร รวมถึงนางมีลูกสาวเป็นถึงหมอผีอีกด้วย
“แน่นอน ข้ารับปากได้ทั้งนั้น ขอแค่มันไม่ใช่คำขอที่เป็นไปไม่ได้หรือผิดต่อหลักศีลธรรม” เมื่อหูเจียวเจียวเห็นว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่ต้องการ เธอก็พยักหน้าเป็นการยืนยัน
พอเตี๋ยฉ่ายได้ยินเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มออกมา
“ข้าสามารถบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ได้ทั้งหมด แต่เจ้าจะต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าข้อหนึ่ง”
ครู่ต่อมา หญิงสาวเหลือบมองหลงโม่อีกครั้งราวกับว่านางกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง
“เจ้าพูดเงื่อนไขของเจ้ามาได้เลย” หูเจียวเจียวพยักหน้ารับ
เตี๋ยฉ่ายถอนสายตาออกจากมังกรหนุ่มพลางกระแอมในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าอยากอยู่กับเจ้า!”
“หา! เจ้าว่าอะไรนะ…” จิ้งจอกสาวแทบสำลักน้ำลายตัวเองขณะมองการแสดงออกที่ตื่นเต้นของคนตรงหน้า
นางเป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกมา?
คำพูดของภูตหญิงดวงตาสีชมพูส่งผลให้ใบหน้าของหลงโม่ขุ่นมัว แล้วเขาก็ดึงภรรยาสาวไปหลบข้างหลังตัวเอง ในขณะที่จ้องเตี๋ยฉ่ายเขม็ง
ถ้านางไม่ใช่ผู้หญิง นางคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเดิมแบบในตอนนี้แน่นอน
เมื่อเตี๋ยฉ่ายเห็นปฏิกิริยาของทั้งคู่ นางก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตระหนักว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจเจตนาของตนผิดไป
“ไม่ ๆ ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น สิ่งที่ข้าต้องการก็คือหลังจากนี้ไปข้าจะอาศัยอยู่กับเจ้า และเจ้าจะต้องรับผิดชอบจัดหาที่พักอาศัยและความปลอดภัยให้ข้า” หญิงสาวรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
หลังจากหูเจียวเจียวได้ยินคำอธิบายของอีกคน เธอก็รู้สึกโล่งใจ
“เป็นแบบนี้นี่เอง ทำไมเจ้าไม่ขอให้หัวหน้าเผ่าสร้างที่พักให้เจ้าล่ะ ตอนนี้มีคนในเผ่าตั้งมากมายที่สามารถปกป้องเจ้าได้ หรือไม่เจ้าก็ยังสามารถหาคู่จากในเผ่านี้ได้เหมือนกัน” จิ้งจอกสาวถามอย่างสงสัย
“มันไม่ได้ปลอดภัยเท่าอยู่กับเจ้า” เตี๋ยฉ่ายยู่ริมฝีปากตัวเอง
น้ำเสียงที่เจ้าของนัยน์ตาสีชมพูใช้พูดนั้นหนักแน่นราวกับว่านางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องอยู่กับหูเจียวเจียว
“คู่ของเจ้าคือภูตมังกร แล้วยังมีภูตมังกรอีกหลายคนในบ้านของเจ้า ตอนนี้คงไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าบ้านของเจ้าอีกแล้ว”
สำหรับเรื่องของการหาคู่น่ะหรือ?
มันจะไปมีผู้ชายคนไหนที่แข็งแกร่งได้เท่ากับภูตมังกรบ้างไหม?
ในตอนนี้ตัวนางยังไม่คิดที่จะมีคู่ครองเป็นของตัวเอง หากจะต้องฝากชีวิตไว้ทั้งชีวิตกับผู้ชายสักคน สู้นางอยู่คนเดียวยังจะดีเสียกว่า
ส่วนหูเจียวเจียวไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับความคิดของผู้หญิงตรงหน้าดี
ถัดมา เธอหันหน้าไปมองหลงโม่และสะกิดแขนของเขาเบา ๆ “หลงโม่ เจ้าคิดว่ายังไง?”
ยามนี้ใบหน้าของมังกรหนุ่มยังคงถมึงทึงไม่เปลี่ยน แม้ว่าเขาจะได้ยินคำอธิบายของเตี๋ยฉ่าย แต่เขาก็ยังมองนางด้วยสายตาคมดุดังเดิม
เขาไม่คาดคิดเลยว่าการพาเจียวเจียวมาที่นี่มันกลายเป็นการพาจิ้งจอกสาวมาหาคู่แข่งหัวใจแบบนี้
แม้ว่านางจะไม่ใช่คู่แข่งหัวใจของเขา แต่หากผู้หญิงคนนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน เวลาส่วนตัวของเขากับเจียวเจียวที่มีน้อยอยู่แล้วก็จะยิ่งมีน้อยลงไปอีก
พอหูเจียวเจียวเห็นว่าสามีหนุ่มทำหน้าเย็นชาและยังปิดปากเงียบ เธอจึงเขย่าแขนของอีกคนพร้อมกับกระซิบพูดให้ได้ยินกันแค่ 2 คนว่า
“หลงโม่ ถ้าเราจับภูตผมแดงคนนั้นมาได้ และแก้ไขปัญหาเรื่องภัยคุกคามของนางได้ นางก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในบ้านของเราอีก แล้วอีกไม่นานฤดูร้อนก็จะสิ้นสุดลงแล้วเราก็จะกลับไปอยู่ที่เผ่าเฟิงโชวเหมือนเดิม...”
หญิงสาวทำตาแป๋วมองคนตัวสูงกว่าแล้วกะพริบตาปริบ ๆ พูดขอร้อง
ชายหนุ่มพ่นลมอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่ปากก็ยังตอบรับ “อืม”
ถ้าคนที่เอ่ยปากแบบนี้เป็นผู้ชายแล้วล่ะก็ มันไม่มีทางได้ตายดีแน่นอน!!
ทันทีที่หลงโม่เห็นด้วย หูเจียวเจียวก็ยิ้มแล้วหันไปหาเตี๋ยฉ่าย
“ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้า แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้ากลัวภูตผมแดงจะมาทำอันตรายเจ้า หลังจากที่เราจับเขาได้เรียบร้อยแล้ว เราจะจัดหาที่พักอาศัยอื่นให้เจ้าอีกครั้ง”
เพราะถึงอย่างไร สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้ตกอยู่ในอันตรายเป็นเพราะนางช่วยชีวิตพวกหลงอวี้เอาไว้ ดังนั้นจิ้งจอกสาวจึงยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายได้
ทางด้านเตี๋ยฉ่ายก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“ก็ได้ ขอแค่พวกเจ้าจับตัวเขาไว้ได้ ข้าก็คงจะปลอดภัย”
แต่ยังไงเสีย ผู้ชายคนนั้นก็จับได้ไม่ง่ายนักหรอก…
เตี๋ยฉ่ายแอบคิดในใจตัวเองเพื่อไม่ทำให้จิ้งจอกสาวไม่มั่นใจ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าภูตผมแดงจับได้ไม่ง่าย แล้วนางก็จะรู้สึกเสียใจที่รับตนเข้าไปอยู่ในบ้าน
เอาเถอะ อย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า
ไม่นานหญิงสาวทั้ง 2 ก็บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกันเรียบร้อย
“ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้าแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องบอกเราเกี่ยวกับภูตผมแดงคนนั้นได้แล้ว” หูเจียวเจียวกล่าว
ในครั้งนี้เตี๋ยฉ่ายไม่ได้บ่ายเบี่ยงอีก
“ภูตผมแดงที่พวกเจ้าพูดถึง ชื่อของเขาคือกู่สือ เขาเป็นภูตแมลง”
หูเจียวเจียวพยักหน้ารับเพราะข้อมูลนี้ตรงกับการคาดเดาของหลงโม่
“เขามีพฤติกรรมแปลก ๆ ซึ่งก็คือการดูดกินสมองของเด็ก พวกเด็ก ๆ ที่ถูกเผาตายในเผ่าก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือของเขาจริง ๆ เขาจุดไฟเผาศพพวกนั้นเพื่อเป็นการอำพรางสิ่งที่เขาก่อเอาไว้”
“ดูด… กินสมองหรือ?!” จิ้งจอกสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นี่มันเป็นพฤติกรรมแบบไหนกันแน่ โรคจิตชัด ๆ!
“ใช่” เตี๋ยฉ่ายคาดเดาเอาไว้แล้วว่าหูเจียวเจียวจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรและยังคงพูดต่อไปว่า
“นอกจากนี้ เขาอาจจะกำลังมุ่งเป้าหมายไปที่ลูกของเจ้าอยู่ เจ้าควรระวังเอาไว้หน่อยก็ดี เขาเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้และเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาจะต้องหาทางแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน แล้วเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ถ้าเขายังจัดการเป้าหมายไม่สำเร็จ”
นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมนางจึงอยากจะอยู่ข้างกายจิ้งจอกสาวตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้นางเพิ่งไปขัดขวางแผนการของภูตผมแดงจนทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน ตอนนี้นางกลัวว่าเขาจะรู้แล้วและคิดหาทางแก้แค้นนางอยู่