บทที่ 146 เฟิงซินหยูจากไป
บทที่ 146 เฟิงซินหยูจากไป
เฟิงซินหยูรู้สึกดีขึ้น เมื่อนางได้ยินว่าหลินเป้ยจะเข้าร่วมการประลองรุ่นเยาว์ เมื่อได้ยินที่เขาพูดนางก็รู้สึกโล่งใจ
ทำให้เฟิงซินหยูคิดว่า นางยังคงมีโอกาสที่จะเอาชนะหลินเป้ยในการประลองครั้งหน้าเพื่อล้างอายได้
“หลินเป้ยข้าขอเตือนเจ้าก่อนนะว่า อาณาจักรชิงหยานนั้นกว้างใหญ่มาก และมีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน เป็นเรื่องปกติที่อัจฉริยะระดับขอบเขตราชานักรบจะปรากฏตัว ถ้าเจ้ายังคงมีระดับอยู่แค่นี้ ในการประลองครั้งหน้าเจ้าย่อมพ่ายแพ้แน่นอน!” เฟิงซินหยูกล่าวเตือน
“ฮ่าฮ่า เจ้าเตือนข้าโดยเฉพาะ หรือว่าเจ้าห่วงใยข้าหรือไง?” หลินเป้ยพูดสวนกลับทันที
เฟิงซินหยูตะลึง นางไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนหน้าด้านขนาดนี้ เขาคิดจริงหรือว่าหลังจากเอาชนะนางได้แล้ว นางจะตกหลุมรักเขา?
หลังจากที่เจ้าทุบตีข้าอย่างสาหัส และทำให้ข้าอับอายมาก เจ้ายังจะได้รับความโปรดปรานจากข้าอยู่หรือ?
“ไอ้บ้า เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่ผิดสัญญา ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่การปนะลองรุ่นเยาว์ ครั้งต่อไปข้าจะเอาชนะเจ้าอย่างแน่นอน” เฟิงซินหยูกล่าวอย่างขมขื่น
เฟิงซินหยูไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่แพ้ให้กับนักรบแท้จริงขั้น 4 ทั้งๆ ที่ผ่านมา นางถือว่าเป็นธิดาแห่งสวรรค์และเป็นอัจฉริยะสัตว์ประหลาดแห่งเมืองหลวง แม้แต่ขอบเขตเดียวกัน นางก็ถือว่าไร้พ่ายด้วยซ้ำ แต่นี่นางต้องมาเสียหน้าถึงที่นี่ เมืองเล็กๆ แห่งนี้
หากระดับฐานบ่มเพาะของหลินเป้ยเท่ากับนางหรือดีกว่านาง เฟิงซินหยูอย่างน้อยก็ยังพอรับได้ว่าสู้เขาไม่ได้ แต่นี่คืออะไร เขาอยู่ขอบเขตต่ำกว่ามาก แล้วอย่างนี้ยังจะเรียกนางว่าอัจฉริยะได้อยู่งั้นเหรอ?
สิ่งนี้ทำให้นางดูไร้ประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ อันที่จริงเฟิงซินหยูถือว่าเป็นผู้มีความเย่อหยิ่งในตนเองอยู่มาก!
หลังจากที่เฟิงซินหยูพูดจบ นางก็ขอให้ผู้อาวุโสโม่พานางกลับไป
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ผู้อาวุโสโม่ก็ถอนหายใจ เขาช่วยประครองเฟิงซินหยู และออกจากตระกูลหลินไปทันที
พวกเขาทั้งสองดูเศร้าเล็กน้อย เมื่อยามพวกเขาจากไป มันดูเงียบเหงามาก มันดูไม่ยิ่งใหญ่เหมือนตอนขามา
หากเฟิงซินหยูแสดงความเคารพต่อตระกูลหลินสักนิดเมื่อนางมาถึง ตระกูลหลินก็คงรู้สึกดีและคงเดินมาส่งพวกนางเหมือนดั่งแขกผู้มีเกรียติไปแล้ว
“หลินเป้ย เจ้าเป็นอะไรบ้างไหม?” หนิงเสวี่ยเข้ามาหาหลินเป้ยและประคองเขา
หลินเป้ยพ่นเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าของเขาซีดเซียว และอยู่ในสภาพที่แย่มาก
“นายน้อย ท่านรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?” หลินหลิงเอ๋อ ก็เข้ามาหาหลินเป้ยและจับมืออีกข้างของเขาไว้ด้วย
“ไม่เป็นไร ข้าแค่ใช้ปราณเยอะไปนิดหน่อย ถ้าได้พักผ่อนสัก 2-3 วัน ก็คงดีขึ้น” หลินเป้ยพูดด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ กองกำลังอื่น ๆ ก็ออกจากสนามประลองของตระกูลหลินทีละคน การต่อสู้ครั้งนี้ตื่นเต้นมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหลินเป้ยและเฟิงซินหยูได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอน หลินเป้ยทำให้พวกเขาตกใจมาก หลังจากวันนี้ ทุกคนในเมืองชิงหลินจะมีแต่เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเขาแน่ๆ
คนหนุ่มสาวหมายมากมายในเมืองชิงหลิน ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเป้ยอย่างแน่นอน ทำให้เขาถือว่าเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในเมืองนี้ได้
เขาเองก็สมควรได้รับตำแหน่งนี้ เพราะว่าเขาสามารถท้าทายและเอาชนะ อัจฉริยะปรมาจารย์นักรบขั้น 7 จากเมืองหลวงได้
หลายคนเปรียบเทียบหลินเป้ยกับผู้เชี่ยวชาญรุ่นเก่าด้วยซ้ำ บางคนถึงกับบอกว่า หลินเป้ยมีพลังเทียบเท่ากับหลินวู่จี้ หัวหน้าตระกูลหลินเลยทีเดียว
ใบหน้าของหลินเฉิงซีดลงในเวลานี้ เขาตกใจมาก เขาไม่คิดว่าพลังการต่อสู้ของหลินเป้ยจะเหลือเชื่อขนาดนี้ เขาเองก็เคยยั่วยุหลินเป้ยมาก่อน
ในตอนแรก เขาคิดว่าหลินเป้ยคงกลัวเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า หลินเป้ยเพียงแต่ไม่ใส่ใจเขาเท่านั้น
เมื่อตอนเผชิญหน้ากับโจวหยวน หลินเป้ยสามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว หลินเฉิงย่อมอ่อนแอกว่าโจวหยวน
ปัจจุบันหลินเฉิงอยู่ที่ขอบเขตนักรบฝึกหัดขั้น 10 เท่านั้นเอง
กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลินเฉิงทะลวงขอบเขตมาจากนักรบฝึกหัดขั้น 8 มันคือผลจากโอสถรวบรวมปราณระดับหนึ่งที่ตระกูลให้เขาใช้ ซึ่งมันปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาและทำให้เขาสามารถทะลวงได้ถึงสองขั้นเลยทีเดียว
แต่ถึงยังไง เขาก็ยังไม่ได้เป็นนักรบแท้จริง เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับหลินเป้ยได้เลยแม้แต่น้อย
หลินเฉิงตัดสินใจแล้วว่า เขาจะไม่รุกรานหลินเป้ยอีกในอนาคต และพยายามจะอยู่ห่างจากเขา และภาวนาไม่ให้หลินเป้ยหันมาสนใจและคิดบัญชีกับเขาในที่สุด
ส่วนหลินหลงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลิน ก็มีใบหน้าที่ซับซ้อนในเวลานี้ เขาคิดเสมอว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลหลิน แต่ปรากฏว่า กลายเป็นหลินเป้ย ที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลแทน
นี่มันใช่ขยะที่ทุกคนเรียกที่ไหน? นี่มันเสือร้ายชัดๆ!!
แน่นอน ตระกูลหลินทุกคนที่เหลือก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน
“หลินเป้ย การแสดงของเจ้าวันนี้ยอดเยี่ยมมาก เจ้าเอาชนะเฟิงซินหยูจนทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย ฮี้ม! คนเช่นนี้สมควรได้รับมันแล้ว” หนิงเสวี่ยหัวเราะ
หนิงเสวี่ยรู้สึกดีมาก เมื่อเห็นว่าเฟิงซินหยูอัจฉริยะสัตว์ประหลาดแห่งเมืองหลวงได้รับความพ่ายแพ้
อัจฉริยะเหล่านี้ในเมืองหลวงมักจะเย่อหยิ่ง และพวกเขาก็มักดูแคลนคนที่ไม่มีความแข็งแกร่ง
หนิงเสวี่ยไม่เคยอยู่ในกลุ่มและสุงสิงกับพวกเขามาก่อน แต่นางเคยได้ยินถึงเรื่องความเย่อหยิ่งของคนเหล่านี้
“วันนี้ถือข้าโชคดีเท่านั้น ข้าคิดไม่ถึงว่าเฟิงซิงหยูจะรับมือได้ยากมากเช่นนี้”หลินเป้ยยิ้มอย่างขมขื่น ตอนนี้เขาไม่มีแรงที่จะต่อสู้ต่อแล้ว และจำเป็นต้องพักผ่อนสักพักเพื่อฟื้นตัว
มันอาจจะใช้เวลาอย่างน้อยสองหรือสามวันในการฟื้นคืนปราณที่สูญเสียไป
“หลินเป้ย…”
ในเวลานี้ ผู้คนจากตระกูลหลิวก็เข้ามา แน่นอนหลิงเหยียนและหลิวหยินย่อมติดตามมาด้วยอยู่แล้ว
หลิวหยินไม่กล้ามองหลินเป้ยในเวลานี้ ใบหน้าของนางแดงก่ำ เป็นเพราะนางเคยจูบเขาในที่สาธารณะมาก่อน
ถึงนี่จะเป็นเพียงการแสดงเท่านั้นก็ตาม แต่จูบ…มันก็คือจูบจริงๆ!
ในเวลาเดียวกัน หลินหยินก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า อะไรเข้าสิงนาง ที่ทำให้นางกล้าหาญถึงเพียงนี้
“นายน้อยหลินมีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ เจ้าทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ เอาล่ะ เรื่องในวันนี้ก็จบลงแล้วและถึงเวลาที่เราจะจากไป เจ้ามาเยี่ยมตระกูลหลิวของเราได้นะ เมื่อเจ้ามีเวลา” หัวหน้าตระกูลหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พรสวรรค์ของหลินเป้ยนั้นโดดเด่นจริงๆ คงจะดีไม่น้อยหากเขาสามารถเป็นลูกเขยของตระกูลหลิวได้
พรสวรรค์ของหลินเป้ยนั้นสูงกว่าอัจฉริยะสัตว์ประหลาดอย่าง้ฟิงซินหยูในเมืองหลวงเสียอีก หากเขาสามารถจับมาเป็นเขยได้จริงๆ ตระกูลหลิวถือว่าได้โชคลาภก้อนใหญ่แน่นอน
“ขอบคุณท่านหัวหน้าตระกูลหลิวอย่างมาก ที่มาช่วยเหลือข้า แล้วข้าจะไปเยี่ยมท่านแน่นอน เมื่อข้ามีเวลา” หลินเป้ยขอบคุณเขา
หลิวเหยียนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ตระกูลหลิวจะมาสนับสนุนหลินเป้ยอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ความร่วมมือระหว่างหลิวเหยียนและหลิวหยิน มันทำให้เฟิงซินหยูโกรธมาก
หลินเป้ยยังคงจำสิ่งนี้ได้
“เฮ่เฮ้ หลินเป้ย อย่าลืมมาหาเราเมื่อเจ้ามีเวลา ข้าจะขอให้พี่สาวทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้า ทักษะการทำอาหารของนางเยี่ยมมาก” หลิวเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หลิวเหยียน เจ้าพูดไร้สาระอีกแล้ว!” หลิวหยินตะโกนอยู่ด้านข้าง น้องสาวนางคนนี้ช่างจุ้นจริงๆ แต่ถ้าหลินเป้ยมาจริงๆ นางเองก็ไม่รังเกียจที่จะลงครัวเพื่อทำอาหารเพื่อเขาสักรอบได้เช่นกัน
หลินเป้ยมีความสามารถมาก เขาช่วยชีวิตนางไว้ และแม้กระทั่งเคยเห็นร่างกายนางอย่างละเอียดด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้หลินเป้ยมีสถานะพิเศษในใจของหลิวหยินจริงๆ
หลิวหยินไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับผู้ชายมาก่อน แท้จริงแล้ว พรสวรรค์ของหลินเป้ยย่อมสามารถดึงดูดหญิงสาวทุกคนได้อยู่แล้ว
ความเป็นเลิศของผู้ชายสามารถดึงดูดความสนใจของผู้หญิงได้อย่างง่ายดาย
“หยานเอ๋อ ออกหน้ามากไปแล้ว!” หัวหน้าตระกูลหลิวก็พูดเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะมุ่งมั่นที่จะอยากได้ตัวหลินเป้ย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบมากนัก แถมตอนนี้ ยังหลายคนกำลังเฝ้าดูอยู่อีกด้วย
“ฮึ่ม อาหารที่ข้าทำก็อร่อยแล้ว ตอนนี้หลินเป้ยกินอาหารที่ข้าปรุงทุกวัน” หนิงเสวี่ยวมาหาหลินเป้ยในเวลานี้ และบังเขาไว้ข้างหลังนาง ราวกับว่ากลัวใครจะมาแย่งหลินเป้ยไป
เมื่อเห็นใครบางคนพยายามเข้าหลินเป้ย หนิงเสวี่ยก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกอะไร เพราะว่ากำลังแสดงละคร แต่ตอนนี้เฟิงซินหยูจากไปแล้ว ทำไมหญิงสาวทั้งสองคนนี้ยังเข้ามาเกาะแกะกับหลินเป้ยอยู่ สิ่งนี้ทำให้หนิงเสวี่ยรู้สึกไม่พอใจ!
หัวหน้าตระกูลหลิวรู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาไม่สนใจมากเกินไป เป็นเรื่องปกติที่ชายผู้แข็งแกร่งจะมีสาวงามอยู่รอบตัว
“ฮึ่ม เจ้าเป็นอะไรกับเขา เจ้าสนใจหลินเป้ยหรือไง?” หลิวเหยียนตอบโต้อย่างไม่ยอม
“ข้า...” หนิงเสวี่ยพูดไม่ออก จริงๆ แล้วหลินเป้ยและนางเป็นเพียงเพื่อนกันธรรมดาๆ ในตอนนี้ นางเพียงมาพักอยู่ที่บ้านหลินเป้ยชั่วคราว นางเองก็ยังต้องการหาสมุนไพรให้กับท่านปู่ของนางด้วย ดังนั้นนางจะไม่อยู่ที่นี่นานเกินไปอย่างแน่นอน
หนิงเสวี่ยเองก็ไม่รู้ว่านางรู้สึกอย่างไรกับหลินเป้ย แต่นางจะรู้สึกไม่พอใจ เมื่อเห็นหลิงเหยียนกับหลิวหยินพยายามใกล้ชิดเขา