นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 230 - ความทรงจำเหนือธรรมดา
หลังจากที่เดินออกมาจากชั้นเรียน เดวิดรีบหาเก้าอี้ว่างที่อยู่บริเวณนั้นทันที หลังจากนั่งลงแล้วก็รีบเปิดโฮโลแกรมของระบบส่วนตัวอย่างไม่รีรอ
และทันทีที่แสงสว่างพุ่งออกมาจากข้อมือซ้ายมารวมตัวกันเป็นหน้าจอ เขาก็รีบขยับมือกดเลือกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเดวิดก็เปิดหน้าต่างที่ระบุเอาไว้ว่า ‘ห้องหนังสือ’ ในระบบช่วยเหลือส่วนตัวได้ ในนั้นมีรายชื่อไฟล์หนังสือระบุเอาไว้จำนวนหนึ่ง เดวิดเลือกเปิดไฟล์ที่ระบุชื่อว่า ‘ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพันธุศาสตร์’ ขึ้นมา และเมื่อเห็นขนาดของหนังสือเสมือนที่ปรากฏขึ้น เขาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาอย่างสิ้นหวัง
แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เดวิดกลั้นใจพลิกเปิดหนังสือเล่มยักษ์ที่ลอยอยู่ตรงหน้า กวาดสายตาอ่านผ่านเนื้อหาที่เขียนเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่รับรู้เนื้อหาอย่างคร่าว ๆ ได้แล้ว เขาก็รีบพลิกหน้าต่อไป และหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เท่าที่เดวิดประมาณเอาไว้ เขาสามารถยื้อเวลาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าหลังจากนั้นแล้วยังเดินทางไปไม่ถึงห้องทำงานของท่านอาจารย์สุดที่รัก ใครจะไปรู้ว่าตาแก่บ้านั่นจะทำอะไรกับเขาบ้าง?
“ให้ฟ้าถล่มดินทลาย ให้ฝนตกลงมาจนน้ำท่วมโลกเถอะ! เดวิด นายคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?” เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ถ้าฟังไม่ผิดมันเป็นเสียงของไนฮุนนั่นเอง
ถูกแล้ว! เป็นไนฮุนที่กำลังยืนอยู่ด้วยหน้าตาที่เหรอหราอย่างไม่ได้เสแสร้ง หลังจากเดินฝ่าฝูงชนออกมาถึงด้านนอกของอาคารเรียนได้ เขาก็ต้องเจอกับภาพที่ทำให้ต้องตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
เดวิด! เดวิดผู้ไม่ยอมอ่านคู่มือสำหรับนักเรียนใหม่! เดวิดผู้เกลียดการอ่านหนังสือจนแทบจะเข้าไส้? ไนฮุนเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างกลัวว่าฝนจะตกลงมาห่าใหญ่จริง ๆ
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นเนื้อหาที่อยู่ในหน้าจอโฮโลแกรมของเดวิด แต่ท่าทางของเจ้าจอมขี้เกียจที่อยู่ตรงหน้า มันคือท่าทางของคนที่กำลังคร่ำเคร่งอ่านหนังสืออยู่ชัด ๆ นี่มันเป็นไปไม่ได้!!!
“จะไปไหนก็ไป อย่างเพิ่งกวน!” คำตอบสั้น ๆ พร้อมกับมือที่โบกออกมาเป็นเชิงขับไล่ เดวิดทำแค่นั้น แม้แต่หน้าของเขาก็ไม่ได้หันกลับมามองเลยด้วยซ้ำ
นั่นทำให้ไนฮุนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ และตัดสินใจเดินมายืนอยู่ด้านหน้า ตั้งใจจะดูว่าเดวิดนั้นมีความจริงจังแค่ไหน และหลังจากที่ผ่านไปเกือบ 2 นาที ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เดวิดตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ แม้จะดูเหมือนว่ามันจะลวก ๆ ไปหน่อยก็ตาม มือของเขานั้นพลิกเปิดหน้าหนังสือเร็วเกินไป แต่สายตานั้นแน่วแน่เป็นอย่างมาก มันจับจ้องอยู่ที่กลุ่มแสงตรงหน้าอย่างไม่วอกแวกเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งไนฮุนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้าก็ยังดึงความสนใจของเขาไม่ได้
เกือบ 5 นาที! หลังจากยืนจ้องเดวิดอยู่เกือบ 5 นาที ไนฮุนก็คำรามออกมาอย่างไม่ชอบใจนักเบา ๆ ถ้าไม่มีเรื่องที่จะต้องไปจัดการ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็เต็มใจที่จะรอดูว่าเดวิดจะเสแสร้งแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน?
นับว่าเป็นโชคดีที่ไนฮุนไม่เลือกที่จะรอจนเดวิดเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ เพราะนั่นกินเวลาไปมากกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาทีเลยทีเดียว และเขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะเรียกเรือเหาะสาธารณะให้มารับตามเวลาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เดวิดก็ตั้งหน้าตั้งตาพลิกหน้าหนังสืออีกครั้ง
แม้กระทั่งเมื่อเรือเหาะลงมาจอดรอรับอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือ เพียงแค่เหลือบสายตามองทางไม่ให้เดินชนไปทั่วเท่านั้น แน่นอน ระหว่างการเดินทางนั้นไม่ต้องพูดถึง เดวิดเร่งความเร็วของตัวเองขึ้นไปจนถึงขีดจำกัดเลยด้วยซ้ำ
เกือบ 20 นาทีต่อมา เดวิดเก็บหนังสือเสมือนและปิดหน้าต่างโฮโลแกรมของตัวเองเรียบร้อย เขากำลังยืนตัวสั่นน้อย ๆ อยู่หน้าอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง กลิ่นอายและบรรยากาศนั้นช่างกดดันเป็นอย่างยิ่ง เดวิดสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้า และพาตัวเองผ่านเส้นทางเดียวกันกับครั้งที่แล้ว จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ได้ในที่สุด
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
มันเป็นวิธีเดียวที่จะล้างแค้นได้ล่วงหน้า เดวิดเจตนาที่จะเคาะประตูให้หนักและรัวถี่ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเดินเข้าไป
“ทำไมแกไม่ต่อยประตูให้พังไปเลยล่ะ? จะเคาะอะไรกันนักหนา? หา!!!” เดวิดยิ้มออกมาจาง ๆ เมื่อได้ยินเสียงตะคอกดังออกมาตามคาด
ด้วยฝีเท้าที่พยายามจะทำให้มั่นคงที่สุด เขาเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อนนัก “ได้ด้วยเหรอครับ? อืม? มันก็ดูสวยดีอยู่นะครับ จะไปทำให้มันพังทำไมกันล่ะ ปล่อยเอาไว้เคาะเล่นเรื่อย ๆ จะดีกว่า” เดวิดยักไหล่ ก่อนจะดึงเก้าอี้ออกมาและทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทางสบาย ๆ
“เอาล่ะ! ท่านอาจารย์ที่เคารพ ผมมาตามคำสั่งแล้วครับ มีเรื่องอะไรสำคัญอย่างนั้นหรือครับ? หรือว่าท่านอาจารย์คิดออกแล้วว่าจะมอบอะไรเป็นของรับขวัญลูกศิษย์คนใหม่ มันเป็นอะไรครับ ผมขอเลือกก่อนได้มั้ย?” ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างมีความหวัง ชะโงกตัวไปบนโต๊ะเพื่อจ้องเข้าไปในตาของชายผมขาวอย่างชัด ๆ
“หึหึ! ปากดีอย่างแกยังคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้อะไรอีกอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ” แต่สิ่งที่เดวิดได้กลับมาเป็นแค่เสียงคำรามอย่างเหลืออดเท่านั้น
“ทำตัวให้ดี ๆ นั่งสุภาพหน่อย” เสียงนั่นสำทับมาอีกครั้ง พร้อมกับมือที่ยกขยับแว่นตาให้เข้าที่ แน่นอนสายตานั่นมองมาด้วยความดุร้ายไม่เบา
“เอาล่ะ! บอกมาหน่อยว่าหนังสือที่ฉันให้ไป เธออ่านไปถึงไหนแล้ว” หลังจากเห็นลูกศิษย์ขยับกลับไปนั่งตัวตรงอย่างว่าง่าย น้ำเสียงของศาสตราจารย์อาวุโสไวท์ก็อ่อนลงเล็กน้อย
แต่แค่นั้นมันไม่พอที่จะปลอบโยนเดวิดที่หัวใจกำลังเต้นรัวอยู่หรอก แม้ว่าจะตอบไปแบบปากดีก็ตาม “อืม? ก็ดีครับ อ่านไปได้เกือบหมดแล้ว” และเขาก็ทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้อย่างมั่นใจ ไม่หรอก! เดวิดนั่งตัวตรงไม่ให้สั่นไม่ได้แล้วต่างหาก
“อ้อ! เกือบจบแล้วอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นคงพร้อมที่จะตอบคำถามพื้นฐานง่าย ๆ แล้วใช่มั้ย?” ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อลมปากของลูกศิษย์นิสัยเสียคนนี้อยู่แล้ว ศาสตราจารย์อาวุโสโยนคำถามเด็ดออกมารุกไล่ หมายจะให้ลูกศิษย์ตัวแสบยอมสารภาพ
มุมปากของเดวิดกระตุกอย่างแรง เขาคิดอยู่แล้วว่าคงจะโดนการทดสอบปากเปล่าแน่ ความหวังที่มีอยู่น้อยนิดว่าการแสดงของตัวเองจะทำให้เป็นที่น่าเชื่อถือมลายสิ้นไปแล้ว แต่จะให้เอ่ยปากยอมรับว่าไม่ได้อ่าน? ไม่มีทางเสียล่ะ!
“ได้เลยครับ! ถามมาได้เลย ถึงแม้ว่าผมจะอ่านยังไม่จบดี แต่ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็อ่านมันอย่างขยันขันแข็ง อาจารย์ถามมาได้เลยครับ” ปากยังดีอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นเล็กน้อยแล้ว เดวิดได้แต่หวังว่าคำถามจะไม่ได้ยากเกินไปเท่านั้น ความรู้ดั้งเดิมที่มีอยู่บวกกับการเปิดอ่านผ่าน ๆ น่าจะทำให้เขารอดไปได้ ถ้ามันไม่ใช่คำถามที่ลึกเกินไป
ชายผมขาวจ้องมองเดวิดอย่างสงสัย เขามองอยู่เงียบ ๆ แบบนั้นหลายวินาทีเลยทีเดียว เดวิดไม่ยอมหลบสายตาเสียด้วยซ้ำ ถ้านับเรื่องความหน้าด้านไร้ยางอาย จะมีใครในโลกนี้สู้กับเขาได้ ไม่มี!!!
“ดี! ถ้าเธอมั่นใจว่าอ่านมาแล้วจริง ๆ ก็ตอบคำถามมาให้ถูกต้องก็แล้วกัน อย่างทำให้ฉันผิดหวังล่ะ” หลังจากถอนสายตาออกไป ศาสตราจารย์ไวท์ก็เอ่ยปากขึ้น ก่อนจะเริ่มยิงคำถามออกมาต่อทันที
“อธิบายเรื่อง ‘การแก้ไขยีน (Gene editing)’ ออกมาตามความเข้าใจให้ฟังหน่อย อ้อ! ไม่ต้องคิดที่จะใช้ AI ของตัวเองช่วยเหลือเลย ห้องนี้ถูกฉันจำกัดการใช้งาน AI ของบุคคลอื่นเอาไว้แล้ว” นอกจากคำถามแล้ว มันยังมีคำเตือนที่ไม่จำเป็นออกมาอีกด้วย
ซึ่งนั่นทำให้เดวิดยิ้มอยู่ในใจอย่างขมขื่น ต่อให้การใช้งาน AI ไม่ถูกจำกัด เขาก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเฮเซลจะช่วยเขาหรือไม่
แต่หลังจากครุ่นคิดถึงคำถามหลัก น่าแปลกที่ปากของเขาสามารถพูดตอบออกไปได้อย่างอัตโนมัติ “การแก้ไขยีน เป็นหนึ่งในวิธีการตัดแต่งพันธุกรรม มันถูกใช้อย่างแพร่หลายในสิ่งมีชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์และสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ด้วย โดยพื้นฐานแล้ว การแก้ไขยีนจะช่วยแก้ปัญหาลักษณะแสดงออกที่ถูกยีนเป้าหมายควบคุมอยู่เล็กน้อย เช่นสีตา สีผม หรือลักษณะผิดปกติเล็กน้อยของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขยีนที่เป็นต้นกำเนิดของโรคทางพันธุกรรมด้วย เทคโนโลยีที่นักพันธุศาสตร์ใช้สำหรับแก้ไขยีนนั้นมีอยู่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนหลักการเดียวกัน นั่นคือการคลายเกลียวของสาย DNA ที่มียีนเป้าหมายตั้งอยู่ให้แยกออกจากกัน และดำเนินการตัดต่อเฉพาะตำแหน่งเบสที่ส่งผลต่อการแสดงออกของยีนนั้น ๆ วิธีการที่ใช้ในการตัดแต่งอาจเป็นแบบเดี่ยว หรือแบบคู่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทการแสดงออกของยีนนั้น ถ้าเป็นยีนเด่น การตัดแต่งแบบเดี่ยวก็มีประสิทธิภาพที่พอเพียงสำหรับการแสดงออก แต่ถ้าเป็นยีนด้อยอ อาจจะต้องใช้การตัดแต่งแบบคู่”
ความเงียบปกคลุมห้องทำงานแห่งนี้ไปชั่วขณะหลังจากที่เดวิดหยุดคำพูดของตัวเองลง สายตาของศาสตราจารย์อาวุโสไวท์มีประกายของความประหลาดใจปรากฏขึ้น สิ่งที่ลูกศิษย์ตัวแสบเพิ่งกล่าวออกมาคือบทสรุปที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเกี่ยวกับการแก้ไขยีน ช่วงแรกที่เดวิดกล่าวออกมา เขายังนึกว่าลูกศิษย์พยายามที่จะชักแม่น้ำทั้ง 5 ไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ใช่เลย คำอธิบายที่ออกมาแทบจะตรงกับที่เขียนเอาไว้ในหนังสือทุกตัวอักษรเลย
ไม่ใช่แค่อาจารย์เท่านั้นที่ตื่นตะลึง ตัวของลูกศิษย์เองก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เดวิดก็ประหลาดใจกับคำตอบของตัวเองอยู่ไม่น้อย เขาไม่แน่ใจว่าประโยคพวกนี้มันออกมาจากส่วนไหนของสมองกันแน่?
ตอนนี้ท่านศาสตราจารย์อาวุโสต้องตรวจสอบหน้าต่างโฮโลแกรมของตัวเองอีกครั้ง หลังจากยืนยันได้ว่าข้อจำกัดการใช้ AI ของบุคคลอื่นยังถูกเปิดอยู่ คำถามอีกข้อก็ถูกยิงออกมา
“อธิบายเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงความถี่ของพันธุกรรมอย่างฉันพลัน (Genetic drift)’ ให้ฟังหน่อย”
“การเปลี่ยนแปลงความถี่ของพันธุกรรมแบบฉับพลัน คือการเกิดปรากฏการบางอย่างที่ทำให้ความถี่ยีนในประชากรเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน เมื่อประชากรกลุ่มนั้นขยายพันธุ์ต่อไปจนความถี่ยีนเข้าสู่สภาพสมดุล ลักษณะแสดงออกของประชากรกลุ่มใหม่นี้จะแตกต่างไปจากประชากรเริ่มต้นอย่างสิ้นเชิง แต่ระดับของความแตกต่างจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ก่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของความถี่ยีนนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ‘เสือมังสะวิรัติ’ ในเกาะที่ถูกปิดตายจากสภาพแวดล้อมภายนอก เมื่อเสือที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นไม่มีอาหารที่มากเพียงพอ พวกมันส่วนใหญ่ก็จะตายลงไป เหลืออยู่เพียงส่วนหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหญ้าและหัวมันเป็นอาหารเท่านั้น หลังจากที่สืบเชื้อสายกันต่อมาจนสามารถขยายพันธุ์กลับขึ้นมามีจำนวนมากอีกครั้ง เสือฝูงนี้ก็จะกลายเป็นสัตว์กินพืชไปในที่สุด” เมื่อได้พูดแล้ว เดวิดก็สามารถอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแควอย่างน่าแปลกใจ ที่สำคัญ เขารู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ถูกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ถ้าก่อนหน้านี้มีใครมาบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดและความจำดี รับรองได้ว่าเดวิดจะท้าต่อยปากด้วยอย่างแน่นอน ล้อเล่นเรื่องอะไรก็ว่าไป อย่ามาหยามกันว่าเขาโง่... ใช่! เขาไม่โง่ แต่ไม่ได้ฉลาดถึงขนาดนี้แน่!!