ตอนที่ 565 โอโร่ ไลอ้อนฮาร์ท
ตอนที่ 565 โอโร่ ไลอ้อนฮาร์ท
“แปลกมาก จู่ ๆ พวกแมงมุมก็หายไปหมดเลย แม้แต่คนที่อยากจะฆ่าฉันก็หายตัวไปด้วย” เซี่ยเฟยจงใจพูดขึ้นมาเสียงดัง เพราะเขาต้องการที่จะให้ผู้อาวุโสดำตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับเขา
“แต่เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันเงียบสงบ แต่การมาถึงของนายได้ทำลายความสงบสุขของที่นี่ลง แล้วมันก็ได้ไปดึงดูดเจ้าถิ่นที่นอนหลับใหลมาเป็นเวลานาน” ผู้อาวุโสดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าถิ่น?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาอย่างสับสน แต่เมื่อพิจารณาจากคำพูดของผู้อาวุโสดำแล้วมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าถิ่นที่เขาพูดถึงย่อมไม่ใช่แมงมุมขาวอย่างแน่นอน
“นายอยากรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
“อยากรู้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาทำข้อตกลงกับฉันก่อน”
“ข้อตกลงอะไร?” เซี่ยเฟยถาม
หลังจากรอมานานหลายวันในที่สุดผู้อาวุโสดำก็เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แล้วมันก็คือสิ่งที่เซี่ยเฟยอดทนรอมาโดยตลอด เพราะคนพูดก่อนคือคนที่เสียผลประโยชน์ในการเจรจามากที่สุด
“ฆ่าฉันซะ!” ผู้อาวุโสดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
อย่างไรก็ตามข้อตกลงของผู้อาวุโสดำก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตมานานกว่า 20 ปี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นคนที่มาร้องขอให้ปลิดชีวิตตัวเอง
“ร่างกายของฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีทางที่จะฟื้นฟูพลังกลับมาได้แล้ว ฉันจึงจำเป็นจะต้องตายเพื่อไปเกิดใหม่อีกครั้ง จากนั้นฉันค่อยฝึกฝนขึ้นมาใหม่เพื่อให้กลับมายืนอยู่ในตำแหน่งเดิม”
“ฟื้นคืนชีพหลังจากความตายงั้นเหรอ? การได้เรียนรู้กฎแห่งชีวิตช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉามากเลยจริง ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“ที่ฉันทำแบบนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าฉันคือผู้เป็นอมตะ” ผู้อาวุโสดำกล่าวอย่างองอาจคล้ายกับว่าท่าทางแบบนี้คือตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ถ้าคุณกลับมาเกิดใหม่ผมก็คงจะต้องเผชิญกับความโกรธของคนที่สร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะมองยังไงทางฝั่งของผมก็ไม่คุ้มสำหรับข้อตกลงในเรื่องนี้เลย”
“ฉันสามารถสอนกฎแห่งชีวิตให้กับนายได้ ซึ่งมันเป็นกฎที่มีเฉพาะในเผ่ามารเท่านั้น ถ้าหากว่านายพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปนายก็จะไม่มีสิทธิ์ได้เรียนรู้กฎ ๆ นี้ไปตลอดชีวิต”
มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ภายใต้อำนาจของเผ่าเทพ ดังนั้นถ้าหากว่าเซี่ยเฟยเดินตามเส้นทางปกติ เขาก็ควรจะต้องขึ้นไปอยู่ในเผ่าเทพเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้กฎแห่งชีวิตซึ่งเป็นกฎของทางฝั่งมารจริง ๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอุดมคติของเขาเท่านั้น เพราะเท่าที่เขาได้ใช้ชีวิตในดินแดนของผู้ใช้กฎมา การพยายามดิ้นรนในดินแดนแห่งนี้ยากกว่าตอนที่เขาอยู่ในพันธมิตรมาก
ในดินแดนของผู้ใช้กฎปราศจากความยุติธรรมที่แท้จริง สังคมในดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างไปจากสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วมันก็มีเพียงแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถเอาชีวิตรอดท่ามกลางสังคมที่โหดร้ายเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุนี้เองโอกาสในการได้เรียนรู้กฎแห่งชีวิตในครั้งนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวของเซี่ยเฟย แต่ปัญหามันก็อาจจะอยู่ที่ว่าเขาจะทำการสังหารนักรบในชุดเกราะคนนี้ยังไง
“กฎแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ผมไม่สามารถที่จะยอมรับความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ความเสี่ยง? ความเสี่ยงอะไร? ฉันสัมผัสได้ถึงพลังของกฏแปลก ๆ จากตัวของนาย และถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่ามันคือกฎอะไร แต่มันย่อมมีพลังที่เหนือเกินกว่าจินตนาการอย่างแน่นอน”
“ตราบใดก็ตามที่นายมีระดับพลังสูงมากพอ แม้แต่กฎแห่งแสงที่ปกป้องสถานที่นี้เอาไว้ก็ไม่สามารถที่จะหยุดนายเอาไว้ได้ ดังนั้นนายก็แค่จะต้องลงมือฆ่าฉันและเอากฎแห่งชีวิตกลับไป ไม่ว่าจะมองยังไงนายก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงในเรื่องไหนเลยแม้แต่เรื่องเดียว” ผู้อาวุโสดำพยายามโน้มน้าวเซี่ยเฟย
“ก่อนอื่นคุณให้ผมเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสดำมาโดยตลอดและไม่คิดที่จะเปิดเผยชื่อที่แท้จริงของตัวเองกับผมด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นการที่คุณถูกกักขังอยู่ที่นี่ มันก็หมายความว่าศัตรูของคุณจะต้องแข็งแกร่งมาก ถ้าหากว่าผมสังหารคุณไปร่างของคุณก็จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ แต่ความเสี่ยงทั้งหมดมันจะตกลงมาอยู่ที่ผม”
ผู้อาวุโสดำถึงกับชะงักไปอย่างกะทันหัน เพราะเขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยเฟยจะระวังตัวมากขนาดนี้
เซี่ยเฟยได้ข้อสรุปเรื่องความเสี่ยงตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาได้พบกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงไม่เคยถามอีกฝ่ายในเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจจะส่งผลให้เขาประสบพบกับอันตรายถึงชีวิต
นักรบเป็นอาชีพที่มักจะต้องเสี่ยงตายอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่กลัวความตายแต่เขาก็ยังไม่สามารถจะตายตอนนี้ได้เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าผู้อาวุโสดำจะเสนอผลประโยชน์กลับมาแค่ไหน แต่ผลประโยชน์เหล่านั้นมันก็ยังไม่คุ้มค่าถ้าหากว่าเขาต้องแลกไปด้วยชีวิต
ผู้อาวุโสดำถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะได้พบกับเซี่ยเฟยหลังจากรอมาอย่างเนิ่นนาน แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นคนที่ใจเย็นมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเฟยยังไม่สูญเสียความสงบแม้ว่าจะถูกหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ที่ยากจะปฏิเสธได้ก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้ผู้อาวุโสดำรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
“ชื่อของฉันคือโอโร่ ไลอ้อนฮาร์ท จอมมารเกราะดำแห่งเผ่ามาร และฉันก็ยังเป็นจักรพรรดิที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ทผู้ยิ่งใหญ่” ผู้อาวุโสดำกล่าวขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย และเขาก็ได้ตระหนักแล้วว่าการพยายามโกหกต่อหน้าเซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่เรื่องที่เสียเวลา เขาจึงเริ่มจากแนะนำตัวด้วยชื่อที่แท้จริง
จอมมารเกราะดำ?
จักรพรรดิที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ท?
คำพูดเหล่านี้ดังกึกก้องอยู่ภายในใจเซี่ยเฟยซ้ำ ๆ แต่ในยุคสมัยนี้คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะเชื่อถือได้ ดังนั้นมันจึงยังคงมีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
โอโร่ค่อย ๆ เอื้อมมือออกมาถอดหน้ากากออกไปจากใบหน้า และเนื่องมาจากโลงศพน้ำแข็งแห่งนี้มีขนาดที่เล็กมากเมื่อเทียบกับร่างกายอันใหญ่โตของเขา มันจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างยากลำบากมากพอสมควร
ช็อก!
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้เห็นว่าใบหน้าของโอโร่คือใบหน้าของสิงโต และโดยรวมแล้วจอมมารผู้นี้ก็คือมนุษย์สิงโตในตำนาน
“พวกเราตระกูลไลอ้อนฮาร์ทไม่เคยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อหน้าคนนอกมาก่อน ดังนั้นเมื่อนายเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉันแล้ว หลังจากนี้ฉันก็จะถือว่านายคือน้องชายของฉัน” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
เซี่ยเฟยพยายามรักษาความสงบของตัวเองเอาไว้ เพราะในจักรวาลยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอยู่อย่างมากมายนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้พบคนจากเผ่าพันธุ์ไลอ้อนฮาร์ท แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมโอโร่ถึงได้สวมชุดเกราะสีดำห่อหุ้มร่างของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด
ร่างของโอโร่มีความใหญ่โตมาก ซึ่งถ้าหากว่าเขายืนบนพื้นดินร่างของเขาก็คงจะสูงขึ้นไปถึง 8 เมตร
“ตระกูลไลอ้อนฮาร์ทรักษาสัจจะอยู่เสมอ ก่อนอื่นช่วยปล่อยฉันออกไปก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะให้กฎแห่งชีวิตกับนาย” โอโร่กล่าวอย่างเคร่งขรึมและบุคลิกของเขาก็ดูแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“กฎแห่งชีวิต? ผมยอมไปตกลงจะสังหารคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
“ฉันสามารถให้วิชาซ่อนตัวกับนายได้ ฉันรับรองว่ามันจะไม่มีใครสามารถค้นหาร่องรอยของนายจากที่นี่ได้อย่างเด็ดขาด ช่วยปล่อยฉันออกไปจากที่นี่ทีเถอะ”
“ข้อเสนอของคุณน่าสนใจมาก แต่ผมก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“สมมุติว่าผมได้สังหารคุณไปแล้วจริง ๆ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่คุณกำลังจะสอนให้กับผมมันใช้งานได้หรือไม่ได้”
ในที่สุดโอโร่ก็ตระหนักได้ว่าการพยายามเกลี้ยกล่อมเซี่ยเฟยเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะชายหนุ่มคนนี้ใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังมากเกินไป
“ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตัวตายไปซะล่ะ เขาจะเอากฎแห่งชีวิตมาหลอกล่อนายไปทำไม?” อันธถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ฉันว่าร่างกายของเขาคงจะแข็งไม่ต่างจากเหล็ก แต่ว่าเขาได้สูญเสียพลังทั้งหมดของตัวเองไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะอยากฆ่าตัวตายแต่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธทำได้เพียงแต่เม้มริมฝีปากอย่างลำบากใจ ท้ายที่สุดเขาก็พอจะคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าเส้นทางการกลายเป็นอมตะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากมากแค่ไหน แต่เมื่อโอโร่ได้สูญเสียพลังของตัวเองไปแม้แต่การฆ่าตัวตายก็กลับกลายเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถจะทำได้เอง
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็ลุกยืนขึ้นและทำท่าที่จะเดินออกไปนอกสุสาน โอโร่จึงรีบกล่าวถามขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย
“นั่นนายจะไปไหน? นายไม่สนใจข้อเสนอของฉันงั้นเหรอ?”
“ผมก็อยากจะรับข้อเสนอของคุณเหมือนกันแต่ผมยังตายตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่อยากบอกว่าพวกแมงมุมข้างนอกนั่นกำลังทำอะไรอยู่ ผมก็ต้องออกไปดูพวกมันด้วยตัวเอง” เซี่ยเฟยกล่าว
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เดินออกไปจากสุสานทิ้งจอมมารผู้เป็นอมตะเอาไว้ที่เดิมเพียงลำพัง ซึ่งในระหว่างนั้นโอโร่ก็เต็มไปด้วยความหดหู่อย่างเต็มหัวใจ และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่ากฎแห่งชีวิตจะไม่สามารถแลกกับความตายของตัวเองได้
ทั่วทั้งจักรวาลมีน้อยคนนักที่อยากจะฆ่าตัวตาย แต่เรื่องที่น่าเศร้าของโอโร่นั่นก็คือแม้ว่าเขาจะอยากตายแต่เขาก็ตายไม่ได้
เขาถูกขังเอาไว้เพียงลำพังในสุสานแห่งนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานจนหลงลืมวันคืนไปแล้ว สิ่งที่เขาได้รับจึงเป็นความทุกข์ทรมานที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตาย แล้วมันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่เขาได้พัฒนาพลังขึ้นมาจนอยู่ในระดับที่เป็นอมตะ
“เซี่ยเฟย ฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดโกหกหรอกนะ เรารีบสังหารเขาไปแล้วเอากฎแห่งชีวิตมาฝึกฝนดีกว่า ไม่ว่าฉันจะมองยังไงฝั่งของนายก็มีแต่ได้กับได้” อันธกล่าว
ข้อเสนอของโอโร่เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธได้และอันธก็ถูกล่อลวงโดยของรางวัลอันยั่วยวนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดของรางวัลของข้อเสนอนี้ก็คือกฎแห่งชีวิตที่จะทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นอมตะ แล้วมันจะมีคนสักกี่คนที่จะสามารถปฏิเสธข้อเสนอที่ดีแบบนี้ได้
“ใจเย็น ๆ อย่าลืมว่าเขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาคงจะกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้วละมั้ง” เซี่ยเฟยกล่าว
ทันใดนั้นอันธก็ตระหนักว่าเซี่ยเฟยได้ตัดสินใจทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในปัจจุบันก็เป็นการดำเนินการไปตามแผนงานที่เขาได้วางไว้แล้วเท่านั้น
“นายมีแผนอยู่แล้วงั้นเหรอ?” อันธถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันคิดเรื่องนี้มา 2-3 วันแล้ว ฉันแค่กำลังรอข้อเสนอดี ๆ จากเขาอยู่”
“กฎแห่งชีวิตมันยังดีไม่พออีกงั้นเหรอ? นี่นายจะโลภเกินไปแล้วนะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชม” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้ชมโว้ย!!”
“ฉันถือว่ามันเป็นคำชม แต่อีกไม่นานนายก็จะเห็นเองว่าความโลภจริง ๆ มันเป็นยังไง”
คำอธิบายของเซี่ยเฟยถึงกับทำให้อันธรู้สึกตกตะลึง และในช่วงเวลานั้นเขาก็ทำได้เพียงแต่หันไปมองโอโร่ที่นอนอยู่ในโลงศพด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร เพราะท้ายที่สุดข้อเท็จจริงได้พิสูจน์มาแล้วหลาย ๆ ครั้งว่าใครก็ตามที่ตกเป็นเป้าหมายของเซี่ยเฟยมักจะมีจุดจบที่ไม่ค่อยดี
“ดูจากท่าทางของนายแล้วจอมมารคนนั้นคงจะต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้กับนายเลยละมั้ง” อันธกล่าว
“เสียทุกอย่าง? อะไรกันฉันไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
เมื่อเซี่ยเฟยออกไปจากเขตสุสานเขาก็ไม่ได้หัวเราะร่าเริงเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ในขณะนี้เขากำลังแผ่ประสาทสัมผัสออกไปบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง เพื่อพยายามตรวจหาว่าพวกแมงมุมขาวได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชายหนุ่มจะออกลาดตระเวนบนพื้นน้ำแข็งมาแล้วหลายร้อยกิโลเมตร แต่เขาก็ไม่สามารถจะสัมผัสถึงแมงมุมขาวได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
“นี่มันผิดปกติ ผิดปกติมาก! เมื่อไม่กี่วันก่อนมันยังมีแมงมุมเป็นแสน ๆ ตัวอยู่เลย มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จู่ ๆ พวกมันจะหายไปในชั่วข้ามคืน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็ย่อตัวลงอย่างระมัดระวังและใช้มือขวาสัมผัสเข้ากับพื้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“มีอะไร?” อันธรีบถาม
“ฉันรู้สึกเหมือนน้ำแข็งกำลังสั่น”
***************