MDB ตอนที่ 349 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
หลินจินรู้ว่ามันเป็นคาถาที่ทำให้สัตว์เลี้ยงบ้าคลั่ง ดังนั้นเขาจึงทำให้เสือเขี้ยวดาบหมดสติเท่านั้น
เจ้าของเสือเขี้ยวดาบเปียกโชกเพราะความกลัว เขารอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ส่วนคนที่เหลือก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
แม้แต่ผู้ประเมินมารทั้งสี่ก็ยังตกตะลึงเช่นกัน
โดยเฉพาะชายชราสวมมงกุฎสีม่วงทอง ซึ่งมีสีหน้าดูน่ากลัวพอ ๆ กับรูปลักษณ์ของเขา
“ผู้อาวุโสโจว มียอดฝีมืออยู่ที่นี่”
"ข้ารู้"
ด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว ชายชรากวาดตาโดบรอบก่อนที่จะพึมพำใต้ลมหายใจของเขา
“ไม่ว่ายอดฝีมือคนนี้จะเป็นใคร ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถตอบโต้การโจมตีของข้าได้”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็เสกคาถาโดยซ่อนมือไว้ใต้แขนเสื้อ
ยุงหลายตัวบินออกมาจากแขนเสื้อของเขาทันที และมุ่งหน้าไปยังสัตว์วิเศษตัวอื่น ๆ สองสามตัวที่อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน
คาถายุงบินนี้เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นบ้าคลั่ง
ยุงบินได้รับการปลูกฝังโดยใช้คาถาเฉพาะตัว ยุงแต่ละตัวถือว่าประเมินค่าไม่ได้ ยุงบินเหล่านี้อาจแอบเข้ามาทางปาก จมูก หรือหูของสัตว์เลี้ยงอย่างลับ ๆ แลเคลื่อนตัวเข้าไปในสมองของพวกมัน และทำให้สัตว์เลี้ยงออกอาละวาดหรือถูกหลอกให้โจมตีเจ้าของ
ในบรรดาศาสตร์ของผู้ประเมินมาร นี่ถือเป็นคาถาระดับสูง
ในฐานะสมาชิกของระดับสูงของสมาคมผู้ประเมินมาร ผู้อาวุโสโจวไม่เคยล้มเหลวในการใช้งานคาถานี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครตรวจพบหรือทำลายแผนการของเขามาก่อน เมื่อประกอบกับความขยันของผู้อาวุโสโจวในฐานะบุคคล เขายังคงไร้พ่ายในสนามรบ
เขาคาดหวังผลลัพธ์แบบเดียวกันในครั้งนี้
ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาจากการเอาสิ่งที่พวกเขาต้องการจากตระกูลเฉียวได้
ถ้าหากครอบครัวเฉียวรู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาจะต้องมอบสมบัติของพวกเขาใส่พาน แต่ถ้าไม่ทำ ผู้อาวุโสโจวก็ต้องใช้กำลังแย่งชิงมันมา
นั่นคือวิธีที่พวกเขาในฐานะผู้ประเมินมาร พวกเขาได้สิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่สนว่าวิธีการจะน่ารังเกียจเพียงใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสโจวไม่รู้ก็คือ เขากำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่เขาสามารถเอาชนะได้
หลินจินสังเกตเห็นบางสิ่งที่บินไปหาวานรยักษ์ขาวและสิงโตภูเขาของผู้คุมจาง แต่ไม่มีสัตว์เลี้ยงตัวใดรับรู้ถึงมัน
ขณะที่เขาเตรียมพร้อมโดยการกระจายกระแสจิตออกไป เขาก็สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ของศัตรูได้ มิฉะนั้นแผนการของพวกเขาก็คงทำสำเร็จไปแล้ว
ตอนนี้เขารู้ตัวแล้ว
เมื่อหลินจินสังเกตเห็นยุงตัวเล็ก ๆ สองตัวบินมา ด้วยการสะบัดนิ้วเบา ๆ เข็มสองเล่มก็แทงเข้าไปในยุงและฆ่าพวกมันทันที ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ตัว
มันเป็นการต่อสู้ที่มองไม่เห็นระหว่างยอดฝีมือ
ในเวลาเดียวกัน หลินจินก็สังเกตเห็นยุงจำนวนมากบินไปหาสัตว์วิเศษตัวอื่นเช่นกัน แม้เขาจะตระหนักได้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เนื่องจากพวกมันเข้าไปในจมูกและหูของสัตว์เหล่านั้น หลินจินรู้ดีว่ายุงเหล่านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์วิเศษบ้าคลั่ง
ถึงมันสายเกินไปที่จะฆ่ายุง แต่โชคดีที่เขาเพียงต้องตรึงสัตว์วิเศษไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว
การต่อสู้ครั้งแรกสิ้นสุดลงโดยไม่มีใครรู้ตัว
หลินจินเป็นฝ่ายเหนือกว่า
ยุงบินทุกตัวที่ผู้อาวุโสโจวใช้ พวกมันมีจำนวนไม่มากนัก และพวกมันก็ไม่กลับคืนมาทุกตัว มันคงจะโกหก ถ้าหากผู้อาวุโสโจวบอกว่าเขาไม่เสียใจที่สูญเสียพวกมันไปประมาณห้าหรือหกตัวในคราวเดียว
ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขากระแทกมือบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นแน่นอน
ด้วยเหตุนั้นเอง ผู้อาวุโสโจวจึงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เขาโพล่งออกมาอย่างเดือดดาลว่า
“ข้าสงสัยว่ายอดฝีมือคนนี้คือใคร เมื่อทำถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเจ้าไม่เปิดเผยตัวเองมาเสียเลยล่ะ!”
จนถึงตอนนี้ ตระกูลเฉียวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดแขกผู้นี้จึงยืนขึ้นและพูดจาชวนสับสนเช่นนี้?
เฉียวซิงกำลังเดินไปจัดการ แต่เขาถูกเฉียวเฟยกงหยุดเอาไว้
“ท่านพ่อ เดี๋ยวข้าจัดการ…”
“เงียบก่อน!” เฉียวเฟยกงต้องการสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ มีสุภาษิตว่า ‘ยิ่งแก่ ยิ่งฉลาด’ เฉียวเฟยกงสามารถบอกได้ว่ามี1บางอย่างไม่ชอบมาพากล
ผู้เฒ่าคนนั้นไม่ใช่แขกธรรมดา และเขาก็รู้เรื่องนั้นดี อีกฝ่ายต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงโพล่งออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงควรสังเกตสถานการณ์อย่างรอบคอบเสียก่อน
ท้ายที่สุด พวกเขายังคงสับสนว่าใครเป็นพันธมิตรของพวกเขา และใครเป็นศัตรูของพวกเขา
เฉียวเฟยกงไม่ใช่คนโง่ เขาคาดไว้แล้วว่าจะต้องมีพรรคพวกของหัวขโมยแฝงเข้ามาในหมู่แขก บางทีขโมยคนนั้นจากคืนก่อนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
และมีความเป็นไปได้สูงว่า หัวขโมยจะต้องเป็นหนึ่งในห้าของแขกที่เขาไม่คุ้นหน้า
ด้านหนึ่งประกอบด้วยคนสี่คน รวมถึงชายชราในชุดคลุมสีม่วงที่ตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกด้านหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่นั่งข้างผู้คุมจาง
เฉียวเฟยกงสังเกตเห็นทั้งสองฝ่ายแล้วมาสักพักแล้ว และคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
ขณะเดียวกันเขาก็สั่งการให้ลูกน้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ศัตรูต้องมุ่งเป้ามาที่ตระกูลเฉียวของพวกเขาเป็นลำดับแรก
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ขณะที่สัตว์เลี้ยงและผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลเฉียวเริ่มรวมตัวกัน ผู้อาวุโสโจวก็เหยียดรอยยิ้ม และตะโกนว่า
“ไม่กล้าเปิดเผยตัวเองเหรอ!? ก็ได้! หากเป็นเช่นนั้น มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ!”
ผู้อาวุโสโจวคิดว่าอีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะแสดงตัวเองเนื่องจากความขี้ขลาดและความกลัวต่อกลุ่มของพวกเขา แต่อันที่จริง ผู้อาวุโสโจวก็แค่หยิ่งผยอง สำหรับเขาแล้ว ตระกูลเฉียวเป็นเพียงชิ้นเนื้อชุ่มฉ่ำที่พร้อมจะรับประทานอยู่แล้ว
เขาจะกินมันเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ
และไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
แม้แต่เจ้าเมืองของเมืองรี้ดก็ตาม
แน่นอนว่าผู้อาวุโสโจวยังตระหนักถึงความไม่พอใจระหว่างตระกูลเฉียวกับเจ้าเมืองคนก่อนของเมืองรี้ด ดังนั้นเขาจึงแน่ใจว่าตระกูลเฉียวไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่
หากตระกูลเฉียวต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตระกูลเพียงอย่างเดียว พวกเขามีสัตว์เลี้ยงระดับสามเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น การสังหารพวกมันทั้งหมดจะเป็นเรื่องง่ายมาก แทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
เมื่อถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสโจวก็ตัดสินใจลงมือทันที
“โจมตีได้!”
ทันใดนั้น ชายอีกสามคนที่เขาพามาก็ยืนขึ้น ชายหนุ่มที่มีหนูตัวใหญ่เสกคาถา และสัตว์เลี้ยงของเขาที่มีขนาดใหญ่กว่าแมวบ้านก็ตัวใหญ่กว่าวัวในเวลาไม่กี่วินาที ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามพร้อมกับกรงเล็บและฟันอันแหลมคมของมัน เมื่อเจ้าหนูกระโจนไปข้างหน้า มันได้กัดแทะสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของตระกูลเฉียวจนตาย
“พวกเขาเป็นหัวขโมย!” เฉียวเฟยกงตะโกน
ในที่สุดศัตรูของเขาก็เผยตัวออกมา สัตว์เลี้ยงของตระกูลเฉียวจึงพุ่งไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ในระหว่างนั้นเอง ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังผู้อาวุโสโจวซึ่งมีหน้าตาดุร้ายและมีผมไหม้เกรียมก็ลูบค้างคาวตัวใหญ่บนไหล่ของเขา ค้างคาวบินขึ้นบนอากาศและกรีดร้องออกมา ส่งคลื่นเสียงอันบาดแหลม แม้แต่ถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะแตกเป็นชิ้น ๆ ทุกคนยกมือขึ้นมาปิดหูทันที แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียง บางคนรู้สึกว่าหัวของพวกเขาหมุนในขณะที่ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าก็ล้มลงกับพื้น
สัตว์เลี้ยงของตระกูลเฉียวส่วนใหญ่ต่างมึนงงจากการโจมตีของค้างคาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์วิเศษระดับสอง พวกมันต่างหมดสติในทันที
“ฮ่าฮ่า ค้างคาวโหยหวนช่างน่าทึ่งจริง ๆ” ชายที่ไม่มีคิ้วหัวเราะออกมาดัง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับผลลัพธ์
ด้วยเหตุนี้ มีเพียงสัตว์เลี้ยงระดับสามของตระกูลเฉียวเพียงสามตัวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสนามรบ แต่ทว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันได้ถูกจำกัดอย่างรุนแรง เนื่องจากเจ้าของของมันได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียง พวกเขาต่างปวดหัวอย่างรุนแรงจนไม่สามารถประคองตัวเองได้
ผู้อาวุโสโจวกวาดมือของเขาออกไป และสาดเลือดสีดำใส่สัตว์วิเศษระดับสามเหล่านั้น ทันใดนั้น พวกมันก็เริ่มส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดในขณะที่เลือดสีเข้มเริ่มกัดกร่อนผิวหนังและขนของพวกมัน กลายเป็นก้อนสีดำที่เกาะแน่นอยู่กับร่างกายของพวกมัน