บทที่ 9 ควีนผู้โชคร้าย
บทที่ 9 ควีนผู้โชคร้าย
“นั่นไม่ใช่ลักษณะของเทอราโนดอนสักนิดเดียว”
ด้วยความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ควีนจึงมีความรู้ค่อนข้างมาก การดัดแปลงมนุษย์และไวรัสเป็นความเชี่ยวชาญหลักของเขา ซึ่งหลักชีววิทยาก็เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้เมื่อพูดถึงสิ่งที่เขาศึกษามา
ไม่ต้องพูดถึงฟอสซิลเทอราโนดอนหรอก กระทั่งเทอราโนดอนที่มีชีวิตอยู่ก็ยังสามารถพบได้บนเกาะโบราณบางแห่ง
เทอราโนดอนไม่มีหางที่หนาเหมือนคิง ความกว้างของกรามล่างและกรามบนนั้นใหญ่กว่ารูปปากของเทอราโนดอนมาก
“แต่ว่าปีกพวกนี้มันดูไร้ประโยชน์แฮะ เผ่าลูนาเรียบินกันได้อยู่แล้วใช่ไหม? อุณหภูมิเปลวเพลิงของยัยเด็กตัวเหม็นนั้นเพิ่มขึ้นมาพอสมควร แล้วพลังของนายล่ะ?”
ดูเหมือนว่าควีนจะฟื้นฟูพลังกายและพลังใจ หลังจากที่ถูกทั้งสองรุมกระทืบแล้ว
ด้วยความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาย่อมมีความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่หลังจากพูดออกมา เขาก็ต้องรู้สึกเสียใจที่พูดออกไปแบบนั้น ในยามนั้นเอง คิงที่อยู่ในร่างของพเทอราก็ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและเขาก็กำลังบินอยู่ในอากาศด้วย
เมื่อควีนตั้งคำถามถึงความสามารถของเขา ดวงตาของคิงก็ส่องประกายแวววาวอันตราย และยังมีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาอีกด้วย
“เฮ้ นายคงไม่ได้จะ….”
ควีนกลืนน้ำลายและครู่ต่อมาคิงก็กระพือปีก ก้อนหินขนาดเท่าบ้านสี่ก้อนก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศก่อนที่จะฝังควีนลงไปด้านล่าง
แต่น้ำหนักแค่นี้ยังเป็นสิ่งที่ควีนสามารถรับไว้ได้ หลังจากดิ้นรนออกมา ควีนก็ปีนออกมาโดยมีดินปกคลุมไปทั่วตัว ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากทีเดียว
“พลังของนายไม่ใช่เทอราโนดอนหรอกเหรอ? เทอราโนดอนมันจะเสกหินขึ้นมาได้ยังไง! กระทั่งสายโซออนสัตว์มายาในตำนานยังทำไม่ได้เลยด้วยมั้ง!”
“แกโง่เหรอ? สายโซออนสัตว์มายาในตำนานที่ถูกเรียกว่าเป็นตำนานเพราะความสามารถที่ไม่สมเหตุสมผลของพวกมันต่างหาก”
ควีนพูดไม่ออก เมื่อได้เห็นก้อนหินที่โผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า เขาตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปพักใหญ่เลย ก่อนหน้านี้ไอ้เด็กสองคนนี้ยังไม่ใช้ผู้มีพลังอยู่เลย แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ยังไง
แม้ว่าโซออนสัตว์ดึกดําบรรพ์จะไม่ทรงพลังเท่ากับโซออนสัตว์มายาในตำนาน แต่มันก็เป็นประเภทโซออนที่หายากเช่นกัน อัตราการเติบโตของพวกมันก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
มันทำให้เขาอยากรู้มากว่าระหว่างทั้งสองใครจะมีความสามารถมากกว่ากัน? ถึงมันจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ว่ายน้ำไม่ได้ แต่การได้รับความแข็งแกร่งก็ถือว่าใช้ทดแทนได้
ควีนมองไปทางไคโด ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าไคโดเป็นผู้ใช้ผลปีศาจ แต่จากการพูดคุยเมื่อครู่ มันก็ทำให้เขารู้ว่าไคโดเป็นผู้ใช้ผลปีศาจสายโซออนสัตว์มายาในตำนานเช่นกัน
ไคโดยังไม่ได้เล่าให้เขาฟังว่าแหล่งที่มาความสามารถของคิงและเชย์น่ามาจากอาร์เซอุส
แต่เชย์น่ามักจะเรียกอาร์เซอุสว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เขารู้ทุกอย่างที่อยู่ในสถาบันวิจัย สิ่งเดียวที่ส่งไปทดลองพร้อมกับชาวลูนาเรียทั้งสองคือไข่ประหลาดและศิลาสองแผ่น
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า….เอ่อ…อัลปา ไม่สิม้า อืม...เขาไม่สามารถบอกสายพันธุ์ของอาร์เซอุสได้เลย แต่เจ้าสิ่งนี้ฟักจากไข่ใบนั้นออกมาเหรอ?
ในขณะที่ควีนกำลังจ้องมองไปที่อาร์เซอุส อาร์เซอุสก็จ้องไปที่ควีนเช่นกัน เขาพยายามมอบความสามารถให้กับผู้ใช้ที่ไม่มีความสามารถและเขาได้ลองสุ่มกลายพันธุ์ผลปีศาจไปแล้วด้วย และถ้าเขาต้องการลองดัดแปลงแบบอื่น เขาก็ต้องมองการผลปีศาจเพิ่มอีกสองสามผล
ยามนี้เขาอยากจะลองใช้พลังของเขาเพื่อปรับเปลี่ยนพลังของผู้ใช้ปีศาจดู ลืมไคโดไปได้เลย เพราะยิ่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด พลังที่เขาต้องใช้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำให้การปรับเปลี่ยนร่างกายไคโดนั้นยากเกินไป
ส่วนควีน ถึงเขาจะไม่แข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับเชย์น่า แต่มันก็ไม่แย่เลยที่จะใช้เขาเป็นหนูทดลอง
เพียงแต่ว่าควีนไม่เหมือนคิงและเชย์น่า เขาไม่ใช่เผ่าพันธ์ที่หายากเหมือนกับเด็กสองคนนั้น แม้ว่าอาร์เซอุสจะยังไม่ถึงความสามารถทิศทางของการดัดแปลงจากพลังของเขา แต่มันก็มีประโยชน์และไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน ซึ่งเพื่อที่จะเสริมกำลังเชย์น่าและคิง เขายังต้องพยายามหาศิลาต่อไป
ซึ่งในระหว่างที่หาศิลา เขาก็อาจจะแลกเปลี่ยนกับไคโดด้วย การเสริมความแข็งแกร่งให้ควีนไม่ใช่ปัญหา แต่เขารู้สึกว่าควรจะมีอะไรที่มีค่ามากกว่านี้มาแลกเปลี่ยนเพิ่มด้วย
จริงสิ ควีนผู้นี้มาจากสถาบันวิจัย ดังนั้นเขาคงรู้ตำแหน่งของศิลาสักแผ่นสองแผ่น
อาร์เซอุสปล่อยศิลาออกจากร่างของเขา มันลอยไปต่อหน้าไคโดและควีนอย่างละแผ่น
"มีศิลาเช่นนี้อยู่อีกสิบหกแผ่น พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังข้า” อาร์เซอุสในเกมที่ไม่มีศิลาจะถือว่าเป็นประเภทปกติ เพราะอาร์เซอุสที่ไม่มีศิลาจะไร้ความสามารถจนกลายเป็นโปเกมอนประเภทปกติ
ซึ่งเมื่อเขากลายเป็นอาร์เซอุส มันทำให้เขารู้ได้เลยว่าศิลาแต่ละแผ่นมีความสำคัญมากเพียงใด
ตัวเขาไม่มีข้อจำกัด สามารถใช้แผ่นศิลาพร้อมกันได้ ซึ่งเมื่อเขาดึงศิลาแห่งชีวิตทั้งหมดออกมา เขาสามารถต่อต้านการโจมตีได้ทุกรูปแบบ นั่นหมายความว่าเขาจะเป็นอมตะ
“ไคโด ข้าจะย้ำอีกครั้งนี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ จงพาพวกมันมาหาข้าหรือนำข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของพวกมันมาให้ข้า จากนั้นข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยความสามารถของโซออนระดับตำนาน นั่นจะเป็นข้อตกลงระหว่างเรา มีคำถามอะไรไหม?”
“วอโรโรโระ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นระหว่างนายกับฉันก็ถือว่าเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการแล้ว! ได้เวลาของงานเลี้ยง!”
ในวัฒนธรรมโจรสลัด จะมีงานเลี้ยงเมื่อมีการก่อตั้งพันธมิตรขึ้น ทุกครั้งจึงมักจะมีการจัดงานเลี้ยงเมื่อมีความความสุขและบางครั้งก็ถึงขั้นจัดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล กระทั่งกลุ่มโจรสลัดร็อคส์ก็มักจะทำเช่นนี้กัน
พูดสรุปรวบสั้นง่ายๆ ก็คือโจรสลัดทุกคนมักจะอยากจัดงานเลี้ยงกันอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะมองยังไง เมืองรกร้างแห่งนี้ก็ไม่เหมาะจะเป็นที่จัดงานเลี้ยงเลยสักนิดเดียว
ไคโดเองก็ไม่ได้โง่และรู้ว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะสำหรับการจัดเลี้ยง
ทว่าถึงแม้เขาจะชอบจัดงานเลี้ยงมาก แต่เขาก็ไม่ชอบจัดงานเลี้ยงด้วยตัวเอง อีกทั้งที่นี่ยังมีคนเพียงไม่กี่คนด้วย ดูท่ามันคงจะไม่ดีนัก
“ไว้เรามาพูดถึงงานเลี้ยงกันครั้งหน้าแล้วกัน แต่เราควรจะดื่มเหล้าร่วมสาบานหรืออะไรสักอย่างหน่อยนะ”
เมื่อโจรสลัดคนหนึ่งตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มโจรสลัด ทั้งสองฝ่ายจะ “ดื่มร่วมสาบาน” แต่เมื่อคนสองคนที่มีความแข็งแกร่งเหมือนกันเลือกที่จะสร้างพันธมิตรระหว่างพวกเขาขึ้นมา ก็จะทำคล้ายกันนี้เพื่อแสดงความจริงใจ ถึงมันจะเป็นเพียงการรักษาศักดิ์ศรี แต่พวกเขาก็รักษาประเพณีนี้ไว้เสมอ
พวกเขาหาตู้สองสามตู้ที่พบอยู่รอบข้างมาใช้เป็นที่นั่ง วางโมจิและซุปถั่วแดงที่ควีนใช้แทนเหล้า จากนั้นไคโดก็ประกาศก่อตั้งกลุ่มโจรสลัดของเขา - กลุ่มโจรสลัดร้อยอสูร
อาร์เซอุสไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มร้อยอสูร แต่เขาวางแผนที่จะใช้ชื่อของอีกฝ่ายเพื่อใช้ในการค้นหาศิลาในอนาคต เพราะมันจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับเขา เขาไม่คิดที่จะเผยตัวออกไปยังหน้าฉากจนกว่าจะได้ศิลาครบหรอกนะ
ยามนี้มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาได้ถูกฟักออกมาจากไข่ยักษ์ลึกลับใบหนึ่ง หากข่าวนี้ไปถึงหูรัฐบาลโลก มันก็อาจจะสร้างปัญหามากมายอีกเป็นแน่
ส่วนคนที่ถือถ้วยสาเกของอาร์เซอุสเป็นเชย์น่า
หลังจากที่กลุ่มโจรสลัดร้อยอสูรได้รับถูกก่อตั้งขึ้น ไคโดก็เริ่มชำเลืองมองศิลาของอาร์เซอุสอย่างถี่ถ้วน ส่วนอาร์เซอุสก็ไม่สนใจไคโดและหันไปมองที่ควีน...