บทที่ 5 คิง
บทที่ 5 คิง
จากคำพูดของคนแถวนี้ ดูเหมือนว่าจะเกิดการระเบิดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในทิศทางนั้น จนผู้คนที่นี่คุ้นชินมันมาก สถานที่ที่ไคโดมานั้นอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่บนเกาะ จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก แต่หลังจากเข้ามาในเมืองแล้ว พวกเขาก็ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากอยู่ดี
แม้ว่าไคโดในปัจจุบันจะมีชื่อเสียงบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ทุกคนจะรู้จักเขา
มันเป็นเพราะไม่มีใครในกลุ่มของพวกเขาดูปกติเลยต่างหาก แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่มีรูปร่างผิดปกติในโลกใบนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็มีขนาดเท่าคนปกติ ดังนั้นยักษ์ร่างเล็กอย่างไคโดจึงดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้โดยธรรมชาติ นอกจากรูปร่างของไคโด ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมากแล้ว ยังมีเรื่องปีกที่อยู่ด้านหลังอัลเบอร์และเชย์น่าด้วย
เปลวไฟสามารถดับได้ชั่วคราว แต่ปีกไม่สามารถดึงกลับเข้าไปในร่างกายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาอะไรมาคลุมไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ พอเอามาคลุมใบหน้าและเมื่อประกอบกับรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาร์เซอุส จึงทำให้คนกลุ่มนี้ค่อนข้างสะดุดตามาก
“อัลเบอร์นายแข็งแกร่งมาก ดังนั้นในอนาคตนายเรียกตนเองว่าคิงเถอะ ตัวตนดั้งเดิมของนายนั้นจะนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็นมากมายเกินไป”
รัฐบาลโลกไม่เคยหยุดการตั้งค่าหัวของชาวลูนาเรีย แค่รางวัลที่อยู่พวกเขาก็ให้เงินมหาศาลแล้ว ลักษณะของชาวลูนาเรียนั้นชัดเจนเกินไป ถ้าเดินโซเซไปตามถนน คงจะมีปัญหามากมายนับไม่ถ้วนตามมาเป็นพรวน
ไม่ว่าจะเป็นเพื่ออัลเบอร์หรือไคโดเอง ตัวตนของชาวลูนาเรียก็จำเป็นต้องถูกปิดซ่อนเอาไว้
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่เชย์น่าที่อยู่อีกข้างหนึ่ง
“ฉันต้องการผู้มีพลังสามคนเข้ากลุ่มภัยพิบัติทั้งสามของฉัน เพื่อที่จะได้กลายเป็นกองกำลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง นายสนใจจะรับตำแหน่งนี้ไปไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อาร์เซอุสก็หันไปมองที่อัลเบอร์ ด้วยความที่มีเปลวเพลิงด้านหลังและปีกสีดำของเขา คิงจึงเหมาะแก่การเป็นผู้นำของภัยพิบัติทั้งสามของโจรสลัดร้อยอสูรในอนาคตมาก แต่รูปร่างของเขายามนี้ยังคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง อาจเพราะยังเด็กกระมัง
แต่ไม่ว่าจะมองยังไง เชย์น่าก็ไม่น่าจะเป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงได้
“โอ้ จริงสิ เชย์น่า ก่อนหน้านี้เจ้าอาการไม่ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ต้องขอบคุณพลังของท่านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยชีวิตข้าไว้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเราชาวลูนาเรียบูชาเขาหรือตอนนี้ ข้าก็จะเชื่อฟังแค่ท่านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
"ช่างน่าเสียดาย" ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมา แต่ยามนี้เขากลับร่ำไหออกมา ดูเหมือนว่าความล้มเหลวที่ต้องถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้อารมณ์ของเขาผันผวนอย่างมาก แต่เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะให้อาร์เซอุสเข้าร่วมกลุ่มของเขาให้ได้
อัตราการเต้นของหัวใจของเขาเกินคำบรรยายไปแล้ว เมื่อได้พบกับทั้งสามคนที่แสนจะทรงพลัง
ในเวลานี้ ไคโดดูเหมือนจะเปล่งออร่าของเขาออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จนทำให้ทุกคนรอบตัวอยู่ห่างจากเขาและในไม่ช้า ถนนก็ได้ว่างเปล่าไป
พูดถึงเรื่องการปิดบังตัวตน ปีกและเปลวเพลิงด้านหลังจะค่อนข้างเด่นมาก แต่ก็ไม่ได้ไร้ซึ่งวิธีที่จะซ่อนพวกมัน ยกตัวอย่างเช่นการกินผลปีศาจ ความสามารถอันแปลกประหลาดของผลปีศาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกปิดลักษณะเด่นของร่างกายแล้ว
ผลปีศาจสายโซออนที่บินได้ก็เพียงพอที่จะปกปิดเรื่องปีก ในส่วนของเปลวไฟนั้น ก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากคนบนโลกนี้ส่วนหนึ่งสามารถใช้พลังไฟได้
ขณะที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างกำลังหวาดกลัวกับออร่าของไคโด ก็ได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนถนนที่ว่างเปล่า
รูปร่างสูง อ้วนและมีรูปร่างกลม มือซ้ายได้รับการดัดแปลงด้วยกลไก เขาสวมแว่นกันแดด มีลิปมันสีม่วงบนริมฝีปาก มีเปียแมงป่องสีทองบนศีรษะและมีหนวดสีทองสองเส้น
เขาคือบุคคลที่ไคโดกำลังตามหาและยังเป็นหนึ่งในอนาคตดาราเด่นของร้อยอสูร "ควีนแห่งโรคระบาด"
เหตุผลที่ควีนมาที่นี่นั้น มันเกี่ยวข้องกับตัวตนก่อนหน้านี้ของเขา เขาเคยเป็นสมาชิกของ MADS เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
MADS เป็นกลุ่มของนักวิจัยที่บ้าคลั่ง ผู้นำของกลุ่มคืออัจฉริยะที่รู้กันว่าล้ำหน้าโลกถึงห้าร้อยปี เวก้าพังค์
MADS เคยเป็นองค์กรผิดกฎหมายเมื่อไม่นานมานี้ แต่ขณะนี้พวกเขาได้รวมตัวกันกับรัฐบาลโลกแล้ว และกำลังดำเนินโครงการวิจัยบางโครงการภายใต้คำสั่งของรัฐบาลโลก
สถาบันวิจัยที่อาร์เซอุสและคนอื่นๆ เคยอาศัยอยู่คือที่ที่ผู้คนของ MADSกำลังทำการวิจัย
บรรดา MADS มีนักวิทยาศาสตร์มากมาย โดยแต่ละคนมีความคิดเป็นของตนเอง ซึ่งพวกเขารวมตัวกันเพื่อศึกษาสิ่งต่างๆ และหลายคนอาจเรียกได้เลยว่าเป็นพวกคนบ้า
แต่รัฐบาลโลกสนใจแค่เวก้าพังค์เท่านั้น พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะรับทุกคนในกลุ่ม ดังนั้น MADS จึงเรียกได้ว่าถูกยุบกลุ่มไปแล้ว เวก้าพังค์ถูกไซเฟอร์โพลพาตัวไปยังแมรีจัวส์เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดเฉพาะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมกองทหารของสถาบันวิจัยจึงค่อนข้างอ่อนแอ
และการหลบหนีของไคโดนั้นก็เกี่ยวข้องกับควีน เพราะควีนเป็นคนปล่อยไคโดที่ถูกจับในสถาบันวิจัยออกมา
MADS ถูกยุบและสมาชิกในองค์กรก็กำลังมองหาทางออกใหม่อย่าง วินสโมค จัดจ์ ซึ่งกำลังวางแผนจะกลับไปยังทะเลเหนือเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรเจอร์ม่า อีกทั้งเขายังพอมีกองกำลังอยู่ด้วย อาจจะพอพึ่งพาได้อยู่
เวก้าพังค์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโลก ส่วนควีนก็มองเห็นศักยภาพในตัวไคโด สมาชิกของ MADS มีความเชี่ยวชาญเฉพาะของตนเองเช่นจัดจ์ ซึ่งเป็นนักวิจัยของพิมพ์เขียวแห่งชีวิตและควีน ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัส
การวิจัยของพวกเขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นควีนจึงปล่อยไคโดและบอกว่าให้มาที่นี่เพื่อตามหาเขา หากอีกฝ่ายสามารถออกจากสถาบันวิจัยได้สำเร็จ
ทว่าถึงแม้จะไม่ใช่เพราะควีน ไคโดก็สามารถหนีไปได้แต่เขาสังเกตเห็นอัลเบอร์จึงอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ที่มัดเขาไว้ไม่ได้ใช้หินไคโรเพราะปัจจุบันมีคนไม่มากที่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใช้ผลปีศาจ
เขาถูกจับหลายครั้งก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่มโจรสลัดร็อคส์ แต่ในเวลานั้นเขาไม่มีผลปีศาจ ทว่าชาร์ล็อตต์ หลินหลินก็เป็นผู้มอบผลปีศาจให้เขาเมื่อกลุ่มโจรสลัดร็อคส์ถูกยุบไปหลังการต่อสู้ในหุบเขาเทพพระเจ้า นับตั้งแต่เหตุการณ์หุบเขาเทพเจ้า ไคโดก็ได้ถูกจับตัวไปอีก
พูดให้ถูกคือ เขาหิวและอยากไปหาบุฟเฟ่ต์กิน เขาจึงมอบตัวเองให้กองทัพเรือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น มันเกิดบ่อยจนเขาชินแล้ว
เวก้าพังค์ได้เก็บเลือดของไคโดมาบ้างแล้ว แต่มันยังไม่ได้ถูกวิเคราะห์
ในอนาคต เวก้าพังค์จะสร้างผลปีศาจเทียมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้เลือดของไคโด แต่สิ่งนั้นมันก็เป็นเรื่องจะเกิดขึ้นในอนาคต
จากที่สาธยายมายืดยาว ก็แค่จะเล่าให้ฟังว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความสามารถของผลปีศาจออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ แม้ว่าสถาบันวิจัยจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงด้วยการพิพากษา แต่ข่าวก็อาจจะแพร่กระจายไปแล้ว
“โย่ นายสามารถหนีออกมาจากที่นั่นได้สินะ ดูท่าว่าต่อจากนี้ฉันคงจะต้องเรียกนายว่าพี่ใหญ่ไคโดเสียแล้วสิ”