ตอนที่ 562 ฝึกฝนด้วยตัวเอง
ตอนที่ 562 ฝึกฝนด้วยตัวเอง
ทุ่งน้ำแข็งนิรันดร์
นักรบกฎส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านธรณีประตูของนักรบกฎขั้นที่ 6 ไปได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่โชคดีที่เซี่ยเฟยสามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงนั้นมาได้ด้วยความช่วยเหลือของหยูฮัว แน่นอนว่าหลังจากที่เขาก้าวข้ามผ่านธรณีประตูของนักรบกฎขั้นที่ 6 มาได้แล้ว การฝึกฝนในขั้นต่อ ๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเหมือนเดิมอีกต่อไป ทำให้เขาพัฒนาจนกลายมาเป็นนักรบกฎขั้นที่ 8 ได้ในเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์
ผู้อาวุโสดำมองเห็นการพัฒนาของเซี่ยเฟยอย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ได้สร้างความรู้สึกประหลาดใจให้กับเขาในทุก ๆ วัน เพราะความก้าวหน้าของชายหนุ่มเป็นเรื่องที่ยากจะหยุดยั้งได้ และชายหนุ่มคนนี้ก็มีความก้าวหน้าในการฝึกฝนราวกับคนที่กำลังขึ้นขี่จรวด
ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีชีวิตอมตะเขาย่อมมีประสบการณ์พบเจอเรื่องต่าง ๆ ในจักรวาลมาแล้วอย่างมากมาย แน่นอนว่าตลอดทั้งชีวิตเขาเคยเห็นอัจฉริยะมาแล้วเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เซี่ยเฟยก็ยังมีความโดดเด่นเหนือเกินกว่าอัจฉริยะทุกคนที่เขาเคยเห็นมาทำให้เขาอดที่จะรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้
ปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังนั่งพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูความเหนื่อยล้า หลังจากที่เขาฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน
“เซี่ยเฟย” ผู้อาวุโสดำเปิดบทสนทนา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“นายฝึกฝนได้เร็วขนาดนี้ตั้งแต่แรกเลยงั้นเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของผมได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ผมเลยจำเป็นจะต้องพึ่งพาน้ำยาในการพัฒนาพลังของตัวเองมาโดยตลอด แต่ถึงยังไงการใช้น้ำยามันก็มีขีดจำกัด พลังของผมเลยหยุดที่ระดับลีเจนด์ไปเป็นเวลากว่า 3 ปี และผมก็เริ่มกลับมาฝึกฝนได้อีกครั้งหลังจากที่สมองของผมได้รับการซ่อมแซม” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“ในช่วง 3 ปีนั้นนายก็ยังพยายามฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม?” ผู้อาวุโสดำกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ก็ประมาณนั้นแหล่ะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงแม้ว่าพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของนายจะได้รับความเสียหายแต่นายก็ยังคงดิ้นรนฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อสมองของนายได้รับการฟื้นฟูกลับมา การฝึกฝนที่สั่งสมมาในก่อนหน้านี้จึงช่วยเร่งการพัฒนาของนายให้เร็วกว่าเดิมเป็น 2 เท่า หรือมันอาจจะกล่าวได้ว่าความเร็วจากการพัฒนาของนายในตอนนี้มันเกิดขึ้นจากการชดเชยช่วง 3 ปีที่นายไม่พัฒนาไปไหนเลย”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิดความพยายามที่นายสะสมไว้ในช่วง 3 ปีนั้นน่าจะหมดไปหลังจากที่นายได้กลายเป็นอัศวินกฎ ซึ่งหลังจากนั้นความเร็วในการพัฒนาของนายก็จะค่อย ๆ ช้าลงกลับไปสู่สภาวะปกติ” ผู้อาวุโสดำกล่าว
“สิ่งที่ผมฝึกก่อนหน้านี้เป็นแค่การฝึกฝนร่างกาย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความเร็วในการพัฒนาตอนที่ผมฝึกใช้พลังของกฎด้วยล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“ดูเหมือนว่านายจะรู้จักพลังของกฎน้อยเกินไปสินะ นายเคยได้ยินไหมว่าแม้ว่าเส้นทางจะแตกต่างกันแต่พวกมันก็สามารถนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้” ผู้อาวุโสดำกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“เส้นทางแตกต่างกันแต่เป้าหมายเดียวกันงั้นเหรอ? คุณกำลังหมายความว่ายังไงกันแน่?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ลองนึกถึงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดในจักรวาลนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่จะต้องมีจุดจบในสักวันหนึ่ง ซึ่งเส้นทางการไปถึงจุดจบของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต่างก็ล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็คือจุดจบเหมือนกัน ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นกฎอันเป็นนิรันดร์ของจักรวาล”
“การฝึกฝนพัฒนาพลังก็มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นไม่ว่านายจะฝึกฝนพลังในด้านไหนแต่ท้ายที่สุดปลายทางก็คือการที่นายต้องการจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งในจักรวาล การฝึกฝนพลังทุกชนิดจึงมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าการฝึกฝนนั้นจะเป็นการฝึกพลังพิเศษหรือการฝึกใช้พลังของกฎก็ตาม”
คำอธิบายของผู้อาวุโสดำฟังดูสมเหตุสมผลมาก เพราะก่อนที่เขาจะได้เดินทางมายังดินแดนของผู้ใช้กฎ เขาก็มีความคิดอยู่เสมอว่าพลังพิเศษเป็นพลังที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลแล้ว แต่หลังจากที่เขาได้เดินทางมายังดินแดนของผู้ใช้กฎ เขาก็ได้พบว่าพลังพิเศษไม่ได้เป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของการใช้พลังกฎเลย ดังนั้นไม่ว่าผู้คนในดินแดนนี้จะมีพลังพิเศษอะไร แต่พวกเขาก็จะมีความคืบหน้าในการฝึกฝนพลังกฎได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กัน
“ดินแดนของผู้ใช้กฎมันก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกของกลุ่มคนที่มีอำนาจได้ตั้งขึ้นมาเพื่อกำหนดพื้นที่เขตแดนของตัวเองก็เท่านั้นเอง ในกรณีของนายที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนปกตินายก็แค่เริ่มฝึกฝนการใช้พลังพิเศษก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้พลังของกฎ แต่ในกรณีของผู้ที่เกิดในดินแดนของผู้ใช้กฎพวกเขาก็จะเริ่มฝึกฝนการใช้พลังของกฏโดยละเลยการใช้พลังพิเศษ ซึ่งในความเป็นจริงพลังความเร็วของนายก็ถือว่าเป็นกฎแห่งพรสวรรค์ของนายด้วยเหมือนกัน” ผู้อาวุโสดำอธิบายเพิ่มเติม
“กฎแห่งพรสวรรค์? แม้แต่พลังพิเศษก็ถือเป็นกฎด้วยงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“ใช่สิ นายคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่านายฝึกฝนพลังความเร็วของนายไปจนสุดทาง”
“ผมก็คงจะสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วเท่าแสงละมั้งครับ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“ผิดแล้ว เมื่อนายฝึกฝนความเร็วจนไปถึงระดับอิมมอทอลลิตี้ เมื่อนั้นความเร็วของนายก็จะพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด และไม่ว่านายจะพยายามแค่ไหนนายก็จะไม่สามารถพัฒนาความเร็วไปได้เกินกว่านั้นได้อีก เว้นแต่ว่านายจะได้เริ่มเรียนรู้กฎแห่งความเร็วแทน”
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็เริ่มตระหนักได้ว่ามันมักจะมีคำบอกเล่าจากตำนานว่าพลังระดับอิมมอทอลลิตี้คือจุดสิ้นสุดของพลังในพันธมิตรแล้ว ที่แท้คำว่าจุดสิ้นสุดมันก็คือทางตัน ก่อนที่พวกเขาจะต้องเริ่มเรียนรู้กฎของพลังนั้น ๆ เพื่อพัฒนาพลังต่อไปนี่เอง
“ในอดีตแม้แต่ผู้ที่ถือกำเนิดในดินแดนของผู้ใช้กฎก็ยังกำหนดให้สมาชิกรุ่นใหม่พัฒนาพลังพิเศษให้ถึงระดับอิมมอทอลลิตี้เสียก่อน แล้วค่อยให้สมาชิกเหล่านั้นเริ่มเรียนรู้พลังของกฎ แต่น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไปเด็กรุ่นใหม่ก็เริ่มใจร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ว่าการเรียนรู้พลังของกฎโดยตรงทำให้พวกเขาพัฒนาพลังได้รวดเร็วกว่า คนส่วนใหญ่จึงได้ละทิ้งการพัฒนาพลังพิเศษและเริ่มใช้เพียงแต่พลังของกฎ” ผู้อาวุโสดำกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ขอบคุณมากครับที่ช่วยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับผม” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าหากว่านายมีความอดทนมากพอ ฉันแนะนำให้นายฝึกฝนพลังความเร็วให้ถึงจุดสิ้นสุดเสียก่อนแล้วค่อยเริ่มเรียนรู้กฎแห่งความเร็ว เมื่อนั้นฉันรับประกันว่านายจะได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง” ผู้อาวุโสดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แต่ผมเริ่มเรียนรู้กฎแห่งมิติและกฎแห่งการกลั่นพลังงานแล้ว ส่วนพลังพิเศษของผมคือความเร็วกับพลังจิต ถ้าผมต้องฝึกฝนทุก ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กันพลังมันจะไม่ตีกันไปหมดงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยยังไม่ได้พูดเรื่องที่เขาได้ฝึกกฎแห่งความโกลาหลออกไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มปวดหัวมากพอสมควร เพราะมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้มากเกินไป แล้วมันก็ทำให้เขาอยากจะเพิ่มเวลาวันหนึ่งให้มีสัก 72 ชั่วโมง
“ยิ่งฝึกฝนพลังหลายด้านมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งสร้างความยุ่งยากให้กับนายมากขึ้นเท่านั้นแหละ แต่จักรวาลแห่งนี้มีความยุติธรรมอยู่เสมอ ดังนั้นยิ่งนายฝึกฝนมากนายก็ยิ่งมีพลังมากกว่าคนอื่นด้วยเหมือนกัน”
“ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าคนที่อยู่นอกกฎแห่งแสงจะมีพลังในระดับราชากฎขั้นที่ 4 แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะไล่ฆ่านายได้ง่าย ๆ นั่นก็เพราะว่านายฝึกฝนพลังในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย และมันก็ทำให้นายหนีรอดมาได้จนถึงที่นี่” ผู้อาวุโสดำกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะด้วยความแตกต่างทางด้านพลังระหว่างเขากับชายชราคนนั้น มันก็ไม่สมควรที่เขาจะสามารถหลบหนีมาจนถึงที่นี่ได้เลย แต่สาเหตุที่เขาสามารถหลบหนีออกมาได้สำเร็จ นั่นก็เพราะว่าเขาได้ผสมผสานพลังพิเศษสายความเร็ว, วิชาเล่ห์กายา, กฎแห่งมิติและกฎแห่งความโกลาหลเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้เขาหลบหนีออกมายังที่นี่ได้สำเร็จ
“สำหรับนักรบทุกคนแล้วนอกเหนือจากพลังงาน เวลายังเป็นสิ่งที่นักรบทุกคนต้องการมากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่นักรบมีชีวิตที่ยืนยาวพวกเขาก็จะมีโอกาสพัฒนาพลังได้มากยิ่งขึ้น และมันก็จะช่วยให้นักรบคนนั้นขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดได้ง่ายมากขึ้นเช่นเดียวกัน”
“ตอนนี้การเรียนรู้ทุกพลังที่หลากหลายถือได้ว่าเป็นจุดแข็งของนาย แต่ช่วงชีวิตอันแสนสั้นก็ถือว่าเป็นศัตรูของนายด้วยเหมือนกัน พูดตามตรงว่าในดินแดนของผู้ใช้กฎมีคนเลือกเดินบนเส้นทางที่ใช้พลังอย่างหลากหลายเหมือนกับนายอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน และถึงแม้ว่าปลายทางมันจะทำให้นายมีพลังมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ก่อนอื่นนายก็ต้องจัดการปัญหาเรื่องอายุขัยของตัวเองให้ได้เสียก่อน”
“แม้ว่าปกติเมื่อนายพัฒนาพลังกฎมากยิ่งขึ้นมันก็จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับนายได้มากขึ้นเหมือนกัน แต่อายุขัยที่นายได้รับมานั้นมันก็ยังไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับการที่นายได้มีโอกาสเรียนรู้พลังของกฎแห่งชีวิต”
“ฉันคือผู้ครองความรู้ของกฎแห่งชีวิต ถ้านายร้องขอฉันดี ๆ ฉันจะยอมสอนกฎแห่งชีวิตให้กับนายก็ได้”
หลังจากพูดอ้อมค้อมอยู่นานในที่สุดผู้อาวุโสดำก็เริ่มพูดเข้าประเด็น
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยรู้จุดประสงค์ของผู้อาวุโสดำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงยังคงนั่งอยู่บนพื้นอย่างสงบ ก่อนที่จะหยิบคริสตัลเหลืองออกมาวางเอาไว้บนตักของลิงหยกขาวพร้อมกับเริ่มรวบรวมพลังเพื่อพัฒนากฎแห่งการกลั่นพลังงานต่อไป
ก่อนหน้านี้เขาได้พัฒนาพลังของกฎแห่งมิติมา 2 ขั้นแล้ว มันยังทำให้เขาค่อนข้างเหนื่อยล้าจิตใจมาก และการเปลี่ยนวิธีการพัฒนาก็เป็นเหมือนกับการหาวิธีการผ่อนคลายให้กับตัวเอง
‘ฉันไม่เชื่อหรอกว่ากฎแห่งชีวิตจะไม่สามารถล่อลวงนายได้!!’
ยิ่งผู้อาวุโสดำได้เห็นปฏิกิริยาของเซี่ยเฟยมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดเขาก็ได้พยายามอธิบายข้อดีของกฎแห่งชีวิตอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังไม่ได้มีท่าทีสนใจจะเรียนรู้กฎแห่งชีวิตเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เขารู้สึกอึดอัดและทำอะไรไม่ถูกไปเป็นเวลานาน
—
เส้นใยพลังงานในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของชายหนุ่มเริ่มถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกมันก็เริ่มถักทอกลายเป็นอักขระด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก
ในที่สุดอักขระของกฎแห่งการกลั่นพลังงานก็ถูกสร้างขึ้นมาจนเสร็จ ซึ่งมันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามันมีกระแสไฟฟ้าลัดไปทั่วทั้งร่างกาย และมันก็ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่หยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดหลังจากการสร้างรูปร่างคือการทำให้รูปร่างของอักขระเหล่านี้คงอยู่อย่างแข็งแรง เขาจึงใช้เวลาทั้งวันในการทบทวนการสร้างอักขระอย่างต่อเนื่อง
เมื่อชายหนุ่มสร้างอักขระของกฎแห่งการกลั่นพลังงานขึ้นมาได้สำเร็จอีกครั้ง เขาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ในความเป็นจริงการฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานขั้นแรกไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากนัก เพราะผู้คนในดินแดนของผู้ใช้กฎไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 1 มากเท่าไหร่ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนหัวใจจักรวาลสีแดงกลายเป็นคริสตัลต้นกำเนิดสีแดงได้จริง ๆ แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างผลกำไรให้กับเขาได้
อย่างไรก็ตามความสำเร็จนี้ก็ยังถือว่าเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่ของชายหนุ่ม เพราะหลังจากที่เขาได้พ่ายแพ้มาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจวิธีการฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงานแล้ว
“วิธีการฝึกของนายแปลกมากเลย ฉันไม่เคยเห็นใครฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานแบบนี้มาก่อน บอกฉันหน่อยได้ไหมว่านายไปเรียนรู้วิธีแบบนี้มาจากใคร?” ผู้อาวุโสดำกล่าวถามอย่างสับสน
“ผมคิดขึ้นมาเอง” เซี่ยเฟยตอบ
“อะไรนะ?! นี่นายไม่มีอาจารย์แต่เรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานด้วยตัวเองเนี่ยนะ!”
เซี่ยเฟยพยักหน้ากลับเป็นคำตอบ
“เป็นไปไม่ได้! การฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานไม่เพียงแต่จะต้องพึ่งพาการควบคุมพลังงานในระดับที่ละเอียดอ่อนมากเท่านั้น แต่มันยังจำเป็นจะต้องพึ่งพาการชี้แนะของอาจารย์ในระหว่างการฝึกฝนด้วย แล้วนายจะสามารถฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานด้วยตัวเองได้ยังไง?”
น่าเสียดายที่ไม่ว่าผู้อาวุโสดำจะตกใจมากแค่ไหน แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเซี่ยเฟยสามารถเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานได้แล้วจริง ๆ
พริบตาต่อมาผู้อาวุโสดำก็มองไปทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาอันแปลกประหลาด คล้ายกับว่าเขากำลังจ้องมองไปยังสัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ทำไมการเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานจะต้องได้รับการชี้นำจากอาจารย์ด้วย? มันคงไม่ได้มีกฎข้อไหนบัญญัติเอาไว้ใช่ไหมว่ามันจะไม่มีใครสามารถเรียนรู้กฎข้อนี้ด้วยตัวเองได้” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างเฉยเมย เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ชอบการถูกตีกรอบมากที่สุด
ไม่ว่าใครในดินแดนนี้ต่างก็รู้ดีว่ากฎแห่งการกลั่นพลังงานเป็นกฎที่ยากจะฝึกฝนมากแค่ไหน โดยทั่วไปมันจึงจำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิดถึงจะสามารถฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงานได้
ด้วยเหตุนี้เองปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นพลังงานจึงกลายเป็นตัวตนที่มีความสำคัญมาก เพราะนอกเหนือจากพวกเขาจะสามารถผลิตคริสตัลต้นกำเนิดขึ้นมาได้แล้ว การหาตัวแทนปรมาจารย์พวกนั้นยังหาได้อย่างยากลำบากมากอีกด้วย
“พูดตามตรงว่าถึงแม้ฉันจะมีชีวิตอยู่มานานมาก แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนที่สามารถฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงานได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นนายจึงทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจได้มากจริง ๆ” ผู้อาวุโสดำกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเยาะตัวเอง
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ยักไหล่และไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงานได้อย่างยากลำบากมากขนาดนี้ เพราะท้ายที่สุดคนอื่น ๆ ก็จำเป็นจะต้องมีอาจารย์คอยมาชี้แนะอย่างใกล้ชิดนี่เอง
แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้สนใจความยากลำบากที่เขาได้ประสบพบมาเลย เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาควบคุม การเลือกเดินบนเส้นทางที่ยากลำบากแบบนี้จึงเป็นเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับเขามากที่สุดแล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝนกฎแห่งการกลั่นพลังงาน เซี่ยเฟยก็หยิบขนอุยขึ้นมาวางไว้บนไหล่จากนั้นเขาก็เดินไปที่ขอบของกฎแห่งแสง
“นั่นนายจะไปไหน? คนข้างนอกยังรอนายอยู่ นายคงไม่คิดที่จะออกไปตายใช่ไหม?” ผู้อาวุโสดำกล่าวถามอย่างสงสัย
***************
เย้!!! ในที่สุดพี่เฟยก็ฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานสำเร็จแล้วววว