MDB ตอนที่ 348 เล่ห์อุบายชั่วร้าย
“ทุกคนไม่ต้องตกใจ มันอาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ” เฉียวเฟยกงแสดงความคิดเห็นออกมา นั่นคือทั้งหมดที่เขาพูดได้เพื่อปลอบโยนฝูงชน
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาแน่ใจว่ามันต้องไม่ใช่ลางดี
หลินจินขมวดคิ้วอย่างเงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทางด้านผู้คุมจางถามด้วยน้ำเสียงเงียบ ๆ ว่า
“ทำไมสัตว์เลี้ยงตัวนั้นถึงอาละวาดอย่างกะทันหัน? แถมมันยังโจมตีเจ้าของมันด้วย?”
สิ่งนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้จะอยู่ในอาการบ้าคลั่ง ไม่มีสัตว์เลี้ยงตัวใดที่จะมุ่งเป้าไปที่เจ้าของของมัน
“มีคนใช้คาถาเพื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับจิตใจของสัตว์เลี้ยงตัวนั้น” หลินจินตอบ แต่เขาพูดเบามากจนมีเพียงคุ้มกันจางเท่านั้นที่ได้ยินเขา
“คาถา?” ผู้คุมจางตกตะลึง
หลินจินหยุดพูดแค่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกได้ว่ามีการใช้คาถาที่นี่ แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามันทำงานอย่างไร
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ผู้ประเมินมารทั้งสี่คน แต่เขาไม่พบว่าพวกเขาเสกคาถาใด ๆ เลย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถดำเนินการได้ทันที แม้ว่าหลินจินจะรู้ว่าพวกเขาเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้ก็ตาม
และอีกอย่าง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
มีเสียงกรีดร้องอีกครั้งดังก้องอยู่ในสนาม ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ เมื่อหันไปหาต้นตอของความโกลาหล มีสัตว์สัตว์เลี้ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกตัวหนึ่งที่มีดวงตาแดงก่ำ โจมตีผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวมันอย่างบ้าคลั่ง หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นและถูกฟันของสัตว์ตัวนั้นขูดหน้าท้องของเขา หากมีใครไม่ดึงเขาออกไปชายคนนั้นจะถูกกัดจนตัวขาดครึ่งไปแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์วิเศษตัวนั้นคือเคแมน[1]ที่มีแรงกัดอันน่าเหลือเชื่อ
“มันเกิดอะไรขึ้น!?”
“ทำไมจู่ ๆ สัตว์เลี้ยงถึงออกอาละวาดอย่างนี้!? แถมนี่มันตัวที่สองติดต่อกันด้วย!”
ถ้ามันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว พวกเขาสามารถเข้าใจได้ว่ามันคือเรื่องบังเอิญ แต่การที่มันเกิดขึ้นสองครั้งในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ ใครจะยังเชื่อว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญได้อีก?
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนว่า “ดูสิ มีลูกศรอยู่บนกำแพง”
ทุกคนเบียดเสียดกันเข้ามา และพวกเขาทั้งหมดเห็นลูกศรติดอยู่บนผนังโดยมีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ที่ปลายศร มีคนดึงกระดาษออกมาเพื่อดูว่ามีอะไรเขียนอยู่บนนั้นหรือไม่? พอได้อ่านเนื้อหาบนกระดาษ สีหน้าของคน ๆ นั้นก็แข็งค้างด้วยความตกใจ
เฉียวซิง ลูกชายของเฉียวเฟยกง เดินตรงไปอย่างขุ่นเคือง และถามว่า
“บนนั้นเขียนว่าอะไร!?”
“มันเขียนว่า ‘ตระกูลเฉียวต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่พวกเขาก่อขึ้นด้วยตัวเอง อย่าให้ใครมาเกี่ยวข้องอีก หากคนนอกไม่ออกไปภายในสิบห้านาที พวกเขาก็จะจบลงเหมือนตัวอย่างก่อนหน้านี้”
บุคคลนั้นพูดตะกุกตะกักขณะที่เขาอ่าน
ความตื่นตระหนกกระจายไปทั่วฝูงชนทันที
“ตระกูลเฉียวเรียกพวกเรามารวมตัวกันที่นี่ เพราะพวกเขากำลังประสบปัญหาบางอย่าง”
“นั่นไม่ควรจะเป็นปัญหาร้ายแรง แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คนที่พวกเขาทำให้ขุ่นเคืองต้องไม่ใช่คนธรรมดา ดูสิ อีกฝ่ายสามารถทำให้สัตว์เลี้ยงสองตัวสูญเสียการควบคุมและกัดเจ้าของได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้”
“ส่วนที่เป็นปัญหาสำคัญ เราไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีใด”
หลายคนเริ่มพูดคุยกันในขณะที่ฝูงชนตื่นตระหนก
เฉียวซิงกำลังจะระเบิดความโกรธเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านด้วยตัวเองก่อนจะนำไปให้เฉียวเฟยกง พ่อของเขา
สมาชิกของตระกูลเฉียวมารวมตัวกัน แน่นอนว่าสิ่งที่เขียนไว้ตรงกับสิ่งที่ชายคนนั้นประกาศ
นั่นยิ่งทำให้สีหน้าของเฉียวเฟยกงมืดลง
“นี่คงเป็นฝีมือของหัวขโมยเมื่อสองสามคืนก่อนแน่นอน ช่างต่ำช้าอะไรอย่างนี้ เขาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเราในที่แจ้งงั้นเหรอ? เขาเลยต้องใช้วิธีการลอบกัดอย่างนี้?”
เฉียวซิงซึ่งไม่สามารถระงับความโกรธได้ เขาพ่นคำด่าอออกมาดัง ๆ
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ยังเลือดร้อน เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เฉียวเฟยกงมีความสงบและมีสติมากกว่ามาก และนั่นสะท้อนผ่านสีหน้าอันเคร่งขรึมของเขา
“ซิงเอ๋อร์ ใจเย็น ๆ ก่อน”
จากนั้นเฉียวเฟยกงก็กล่าวกับฝูงชนว่า
“ตอนนี้พวกเรากำลังถูกลอบโจมตี ข้าคิดว่าหัวขโมยต้องใช้กลวิธีอันเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ตระกูลเฉียวของเราไม่เคยมีศัตรูเลย ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าหัวขโมยคนนี้กำลังมุ่งเป้าไปที่ความมั่งคั่งของตระกูลเรา
ข้าขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และอย่าตื่นตระหนก เพราะนั่นคือสิ่งที่หัวขโมยต้องการ มันคงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของอีกฝ่าย ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางที่หัวขโมยจะใช้วิธีการอันแสนหน้าด้านต่อไปได้!”
นี่เป็นคำพูดปลอบโยนและยังเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์คร่าว ๆ
ในตอนนี้ เฉียวเฟยกงสามารถพูดได้เพียงเท่านี้ บางคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่กลับดูลังเล เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังไตร่ตรองว่าจะออกจากที่นี่ดีหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาได้เห็นกับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาท้าทายศัตรู สิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นน่ากลัวมาก เพราะไม่มีใครสามารถป้องกันตัวเองจากสัตว์เลี้ยงที่อาละวาดได้
เหยื่อรายต่อไปอาจเป็นพวกเขาก็ได้
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงของพวกเขา และนั่นก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู พวกเขาต้องพึ่งพาสัตว์เลี้ยงเพียงอย่างเดียว หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะต่อสู้ร่วมกันได้อย่างไร?
ดังนั้น ไม่ว่าเฉียวเฟยกงจะพูดอะไร ภัยคุกคามที่พวกเขาได้รับก็ทำให้ขวัญกำลังใจลดน้อยลง
ท้ายที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับเงินจำนวนเท่าใดจากตระกูลเฉียว หากจุดประสงค์ของพวกเขาคือการทำให้ศัตรูหวาดกลัวด้วยจำนวน นักสู้เหล่านี้ก็คงไม่สนใจมัน
อย่างไรก็ตาม หากความช่วยเหลือของพวกเขาทำให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง
ดังนั้นจึงมีชายคนแรกตัดสินใจสละเรือ เขาต้องทำแม้ว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทมากก็ตาม
แม้ว่าเฉียวเฟยกงจะไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่สามารถหยุดชายคนนั้นได้ เมื่อมีคนเป็นเริ่ม ก็ย่อมมีคนตาม คนจำนวนมากก็ค่อย ๆ ออกจากงานเลี้ยงไป
ภาพตรงหน้า มันทำให้สมาชิกตระกูลเฉียวเข้าใจคำว่าความหน้าซื่อใจคดของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ในช่วงเวลาสั้น ๆ สนามหญ้าที่อัดแน่นก่อนหน้านี้ซึ่งมีคนเกือบร้อยคน ก็เหลือเพียงไม่ถึงสิบคนเท่านั้น
ในบรรดาสิบคนนี้ มีผู้คุมจาง, หลินจิน และผู้ประเมินมารทั้งสี่คน
แม้แต่แขกที่ตระกูลเฉียวเชิญเป็นการส่วนตัวก็ส่วนใหญ่ขอตัวออกไปเช่นกัน
“คนพวกนั้นมากเกินไปแล้ว! พวกเขากินอาหารของเรา เอาเงินเอาทองของเราไป แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาจะกลับเป็นคนแรกที่วิ่งหนี! หน้าของพวกเขาหนากว่ากำแพงเมืองหรืออย่างไร!?” เฉียวซิงตะโกนด้วยความโกรธ
บางทีเขาอาจจะเคยประสบสถานการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แม้แต่เฉียวเฟยกงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าไม่มีอะไรที่เขาสามารถพูดเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะมุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีแขกบางคนยังคงอยู่
ดังนั้น เฉียวเฟยกงจึงทักทายผู้ที่อยู่
“ความจริงใจจะถูกเปิดเผยเมื่อพบกับหายนะที่แท้จริง ข้าซึ้งใจกับน้ำใจของพวกท่านมาก หากตระกูลของเราสามารถรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้ เราจะตอบแทนพวกท่านทุกคนอย่างงาม” เฉียวเฟยกงประกาศ
แขกที่คุ้นเคยกับเฉียวเฟยกงเป็นอย่างดีก็ลุกขึ้นยืน
“ท่านเฉียว ท่านใจดีกับเราเกินไป เราอาศัยอยู่ใต้หลังคาของตระกูลเฉียวมานานกว่าสองเดือนแล้ว แถมพวกท่านก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ในเมื่อ ตอนนี้ตระกูลเฉียวกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราจะเก็บข้าวของและหลบหนีไปได้อย่างไร?
ไม่ต้องกังวล ท่านเฉียว มีคนใช้คาถาเพื่อพยายามทำให้ทุกคนหวาดกลัว พวกเขาอาจจะกลัวแต่เราไม่ ฮึ่ม! ข้าขอบอกตรง ๆ สัตว์เลี้ยงของเราสามารถทนต่อการควบคุมของคาถาได้”
คนเหล่านั้นดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
ทันทีที่เขาพูดจบ สัตว์เลี้ยงของคนนั้นก็ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะเปิดปากอันใหญ่โตซึ่งอยู่เหนือหัวของเจ้าของ
สัตว์วิเศษตัวนั้นคือเสือเขี้ยวดาบซึ่งมีโครงร่างใหญ่โต ถ้าเขี้ยวของมันได้ขดขยี้ คอของคน ๆ นั้นคงถูกกระชากออกจากหัวทันที
เฉียวเฟยกงตกใจ แต่เขาทำอะไรไม่ถูกเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าเสือเขี้ยวดาบถูกฟันอย่างเด็ดขาด ดวงตาของมันเหลือกขึ้นไป และเจ้าเสือก็ล้มลงไปพร้อมกับลทำปากพะงาบ ๆ
มันหมดสติไป
นั่นเป็นฝีมือของหลินจินอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้เมื่อสัตว์เลี้ยงสองตัวบ้าคลั่ง หลินจินไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา แต่ตอนนี้เมื่อเขาสามารถสังเกตสภาพแวดล้อมของเขาได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายใช้กลอุบายแบบไหน แม้ว่าหลินจินไม่สามารถทำลายคาถาของพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถหยุดพวกเขาได้
หากเขาสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ เข็มเพียงเล่มเดียวก็เพียงพอที่จะคลี่คลายทั้งหมดได้
[1] สัตว์เลื้อยคลานจำพวกจระเข้ มีขนาดเล็กกว่าแอลลิเกเตอร์ สามารถพบได้ทั่วไปเฉพาะทวีปอเมริกาใต้