ตอนที่ 558 กลับมาอีกแล้ว!?
ตอนที่ 558 กลับมาอีกแล้ว!?
ปัจจุบันมู่ฉิงปิงกำลังนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่นและเผชิญหน้ากับชายวัยประมาณ 50 ปีด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด
“ลุงหยวน ทำไมลุงถึงโดนพวกตระกูลหยูจับได้ล่ะ?” มู่ฉิงปิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พอดีตอนนั้นเซี่ยเฟยพูดจาหยาบคายใส่คุณหนูมู่ฟู่ผิงผมก็แทบจะทนไม่ได้ จากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำให้คุณหนูปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเพื่อไปสังเกตการพวกนักรบชั้นต่ำ”
“แค่คุณหนูมู่ฟู่ผิงออกไปเปิดร้านยูนีคพาวิลเลี่ยนในเมืองสตีลบาร์ก็ทำให้ผมเป็นห่วงมากแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าตระกูลวิทเทอร์ของเรามีศัตรูมากแค่ไหน แล้วถ้าหากคุณหนูปลอมตัวแอบหนีออกไปในเวลานั้นผมก็อาจจะปกป้องคุณหนูเอาไว้ไม่ได้ ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านผมก็พลาดทำให้เกิดเสียงขึ้นมา เซี่ยเฟยกับหยูฮัวเลยตรวจพบตัวตนของผม” มู่หยวนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“อะไรนะ?! เซี่ยเฟยมันกล้าดียังไงถึงมายุยงให้ท่านพี่ปลอมตัวออกไปแบบนี้” มู่ฉิงปิงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“นี่ถ้าหากคุณหนูเริ่มปลอมตัวและออกไปหาพวกนักรบชั้นต่ำจริง ๆ เรื่องทั้งหมดนี้มันก็จะเป็นความผิดของเซี่ยเฟย” มู่หยวนยังพยายามเติมเชื้อไฟจากด้านข้าง
“เอาล่ะเรื่องนี้ฉันไม่โทษลุงแล้ว ลุงกลับไปก่อนเถอะ” มู่ฉิงปิงกล่าวพร้อมกับโบกมือให้สัญญาณมู่หยวนออกไป
เซี่ยเฟยกับหยูฮัวไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสายลับปริศนาที่พวกเขากำลังระแวงอยู่นั้นแท้ที่จริงเป็นสมาชิกของตระกูลมู่ ยิ่งไปกว่านั้นมู่หยวนคนนี้ยังแอบติดตามมู่ฟู่ผิงไปทุกที่เพื่อปกป้องความปลอดภัยให้กับเธออย่างลับ ๆ
เมื่อมู่ฟู่ผิงกลับเข้ามาภายในร้าน มู่ฉิงปิงก็รอต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ทำไมท่านพี่ถึงกลับมาเร็วจังเลย?”
“บอกความจริงมา เธอแอบส่งคนติดตามฉันไปใช่ไหม?” มู่ฟู่ผิงจ้องมองไปยังน้องสาวอย่างจริงจัง
“อะไรกัน นี่ท่านพี่โดนแอบติดตามเหรอ? เขาคนนั้นเป็นศัตรูกับเราหรือเปล่า?” มู่ฉิงปิงแสร้งเป็นอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มันไม่ใช่ฝีมือของเธอจริง ๆ เหรอ?”
“ฉันจะส่งคนตามท่านพี่ไปทำไมล่ะ” มู่ฉิงปิงพยายามพูดแก้ตัว
มู่ฟู่ผิงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างทำใจเชื่อมู่ฉิงปิงเท่านั้น
ทั้งหยูฮัวและเซี่ยเฟยยังไม่ได้รู้จักมู่ฟู่ผิงโดยละเอียดมากนัก โดยพวกเขารู้เพียงแค่ว่าเธอคนนี้คือคุณหนูจากตระกูลวิทเทอร์ และสถานะของเธอก็สมควรที่จะสูงพอสมควร เธอถึงสามารถสร้างร้านค้าขนาดใหญ่อย่างยูนีคพาวิลเลี่ยนขึ้นมาได้
ในสายตาของหยูฮัวนั้นมู่ฟู่ผิงอาจจะเป็นพันธมิตรที่ดีสำหรับเขาในอนาคต แต่สำหรับเซี่ยเฟยเขาก็รู้สึกแค่ว่าเธอคนนี้ค่อนข้างที่จะอ่อนต่อโลก และเป็นคนรวยที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไปวัน ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยนั่นก็คือมู่ฟู่ผิงเป็นทายาทสายตรงของตระกูลวิทเทอร์ และเธอก็ยังได้รับนิสัยอันดื้อรั้นซึ่งเป็นนิสัยติดตัวประจำตระกูลนี้มาอีกด้วย
แต่เดิมตระกูลของมู่ฟู่ผิงถูกเรียกว่าตระกูลมู่ตามนามสกุล แต่เมื่อเวลาผ่านไปตระกูลของพวกเธอก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นตระกูลวิทเทอร์ เนื่องมาจากว่าตระกูลมู่มีนิสัยที่ดื้อรั้นเหมือนต้นไม้จนมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนของผู้ใช้กฎ
ยิ่งมู่ฟู่ผิงคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ทั้งเซี่ยเฟยและหยูฮัวต่างก็พยายามส่งเธอกลับออกมาอย่างกระวนกระวาย ซึ่งท่าทางของพวกเขาก็คล้ายกับว่าพวกเขากลัวว่ามันจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
—
เมื่อเซี่ยเฟยได้ใช้คริสตัลต้นกำเนิดระดับ 4 ผ่านทางลิงหยกขาวและฝึกฝนไปตลอดทั้งคืน ในที่สุดเขาก็อยู่ห่างจากการกลายเป็นปรมาจารย์การกลั่นพลังงานเพียงแค่สั้น ๆ เท่านั้น
แต่ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างอักขระกฎขึ้นมาให้สำเร็จ หยูฮัวก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
“หยุดเรื่องที่ทำแล้วมาคุยกับฉันก่อน” หยูฮัวกล่าวทันทีหลังจากที่เขาได้เห็นเซี่ยเฟย
“มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ ตอนนี้ผมกำลังยุ่ง” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“คุณหนูมู่ฟู่ผิงมาหาเราอีกแล้ว” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“มาอีกแล้วเหรอ!?”
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปพบกับเธอเถอะ รอบนี้เธอปลอมตัวมาตามคำแนะนำของนายเพื่อมาดูการฝึกของนักรบภายในตระกูลของเรา” หยูฮัวกล่าว
เซี่ยเฟยถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไล่เธอกลับไปเมื่อวานนี้ แต่วันถัดมาเธอกลับทำตามคำแนะนำของเขาอย่างเชื่อฟัง
“ตอนนี้ผมยังไปไม่ได้” เซี่ยเฟยกล่าวค้านขึ้นมา เพราะการเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานได้เดินทางมาจนถึงจุดสำคัญแล้ว และเขาก็ยังไม่ต้องการจะเดินทางไปที่ไหนในเวลานี้
“ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นมาจากนายนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะนายเธอก็คงจะไม่มาที่ตระกูลของเรา เดี๋ยวนายไปคอยอยู่เคียงข้างเธอเหมือนเดิม ส่วนฉันจะคอยระวังพื้นที่รอบ ๆ ให้”
“ตอนนี้เรื่องที่เธอเดินทางมามันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้วนะ ถ้าหากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอในตระกูลของเรา ทั้งฉันและนายจะต้องเดือดร้อนหนักกันแน่ ๆ”
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็อุ้มขนอุยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและเดินตามหยูฮัวไปยังลานซ้อมที่เหล่านักรบกำลังฝึกฝนอยู่
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นมู่ฟู่ผิงจากระยะไกล โดยในวันนี้เธอได้ปลอมตัวเป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานจนทำให้สาว ๆ หลายคนแอบส่งสายตาให้กับเธอ
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ มู่ฟู่ผิงเหมือนกับเป็นบอดี้การ์ดให้กับเธอ
“ฉันรู้แล้ว เหตุผลที่คุณรีบส่งฉันกลับไปเมื่อวาน นั่นก็เพราะว่าพวกคุณกลัวจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับฉันใช่ไหม?” มู่ฟู่ผิงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
เซี่ยเฟยยังคงเงียบเสียงโดยไม่ตอบอะไร เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงเธอ แต่เขากลัวว่าเธอจะนำความเดือดร้อนมาให้กับเขาต่างหาก
“คุณอยากจะรู้จริง ๆ ใช่ไหมว่าพวกนักรบใช้ชีวิตกันยังไง?” เซี่ยเฟยถาม
มู่ฟู่ผิงพยักหน้ารับ เซี่ยเฟยจึงได้นำคุณหนูคนนี้ตรงไปยังเป้าซ้อมที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ จากนั้นเขาก็หยิบหิมะโปรยออกมาจากแหวนมิติและเริ่มแทงเป้าตรงหน้าซ้ำ ๆ
ตลอดทั้งช่วงเช้าเซี่ยเฟยยังคงเคลื่อนไหวแบบเดิม ๆ โดยแฝงวิชากลสังหารลงไปภายใต้การเคลื่อนไหวของเขาด้วย ซึ่งการเคลื่อนไหวเพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอทำให้มู่ฟู่ผิงรับรู้ได้ถึงความยากลำบากของนักรบแต่ละคนแล้ว
ภายในดวงตาของมู่ฟู่ผิงเริ่มปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยรวดเร็วมาก และเขายังเคลื่อนไหวท่าเดิมซ้ำ ๆ อย่างไม่หยุดยั้งตลอด 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา จนทำให้เธอไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มได้แทงเป้าเข้าไปแล้วกี่ครั้ง
“ไปกินข้าวกัน แล้วพักอีก 30 นาที” เซี่ยเฟยเก็บหิมะโปรยลงไปในตำแหน่งเดิม ก่อนที่จะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วหันไปพูดกับมู่ฟู่ผิง
อาหารของตระกูลหยูก็ถือว่ามีรสชาติที่พอใช้ได้ แต่ในสายตาของคุณหนูที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมู่ฟู่ผิงจึงรู้สึกว่าอาหารพวกนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าอร่อยเลย ดังนั้นเธอจึงกินผลไม้เข้าไปบ้างเพื่อรองท้อง แต่ทางด้านของเซี่ยเฟยกลับกินอาหารเข้าไปติดต่อกันถึง 24 ชาม
จากนั้นเซี่ยเฟยก็ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายในการฝึกฝนวิชาเล่ห์กายา โดยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและบิดร่างเพื่อเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันซ้ำ ๆ เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินมู่ฟู่ผิงก็ไม่ได้หลงเหลือความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเดิมอีกต่อไป มีเพียงแต่ความประหลาดใจที่ซ่อนอยู่ภายในแววตาของเธอเท่านั้น
“นี่คือการฝึกฝนประจำวันของคุณงั้นเหรอ?”
“ความจริงฉันไม่ได้ฝึกทักษะทางด้านร่างกายมานานแล้ว ฉันจึงใช้เวลาทั้งวันนี้ในการทบทวนวิชาพวกนั้นสักหน่อย เดี๋ยวตอนกลางคืนฉันก็ต้องไปฝึกฝนพลังของกฏแห่งมิติและวิชามิติต่ออีกรอบแล้วค่อยเข้านอนตอนตี 3 พอถึงตี 5 ฉันค่อยตื่นขึ้นมาฝึกฝนอีกครั้ง” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
กำหนดการของเซี่ยเฟยทำให้มู่ฟู่ผิงตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเธอไม่เคยคิดเลยว่านักรบจะต้องใช้ชีวิตอย่างโหดร้ายแบบนี้อยู่เป็นประจำ
“ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่านักรบต้องฝึกฝนเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำ ๆ ให้ร่างกายของพวกเขาเกิดความเคยชิน ดังนั้นชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่จึงไม่ควรจะเทอะทะและควรจะช่วยให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว”
“ไม่อย่างนั้นแม้แต่รอยติดขัดเพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถสร้างปัญหาให้กับนักรบได้อย่างมากมาย เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องเคลื่อนไหวท่าเดิมซ้ำ ๆ เป็นพัน ๆ ครั้ง”
“ถ้าคุณเข้าใจก็ดีแล้ว ความจริงเรื่องการตกแต่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่คุณควรคำนึงว่าสิ่งที่คุณจะใส่เพื่อตกแต่งลงไปไม่ควรที่จะขัดกับการเคลื่อนไหวของนักรบ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า
“เอาล่ะตอนนี้ดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณที่ประตูมิติก็แล้วกัน”
แต่ทันทีที่เขาได้พูดจบลงมันก็มีแสงเจ็ดสีอันสวยงามปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วมันก็มีความสวยงามมากยิ่งกว่าภาพตอนพระอาทิตย์ตกดินเสียอีก
“นั่นมันเจ็ดมังกรแหวกฟ้า!! หยูฮัวกำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่งั้นเหรอ? ไม่แน่เขาคนนั้นอาจจะเป็นคนที่แอบติดตามคุณมาเมื่อวานนี้ก็ได้” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นภาพการโจมตีที่คุ้นเคย
ในเวลาเดียวกันมันก็มีตาข่ายสีม่วงขนาดใหญ่ถูกเหวี่ยงหล่นลงมาจากท้องฟ้าเพื่อจับการจู่โจมจากวิชาเจ็ดมังกรแยกฟ้าของหยูฮัวเอาไว้
“สายฟ้าไม้ม่วง! นั่นมันวิชาเฉพาะประจำตระกูลของเรา บางทีคนที่หยูฮัวกำลังต่อสู้อยู่อาจจะเป็นนักสู้จากตระกูลวิทเทอร์” มู่ฟู่ผิงอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเธอไม่เข้าใจว่าคนของตระกูลวิทเทอร์จะมาทะเลาะกับหยูฮัวในตระกูลหยูทำไม
ภาพการต่อสู้ของหยูฮัวสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล นักสู้ของตระกูลหยูเป็นจำนวนมากจึงรีบพาเซี่ยเฟยกับมู่ฟู่ผิงให้หนีไปยังประตูมิติอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่ายังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือความปลอดภัยของมู่ฟู่ผิง ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องพาเธอไปส่งในที่ที่ปลอดภัยเสียก่อน แล้วค่อยปลีกตัวออกไปเพื่อช่วยเหลือหยูฮัว
“รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”
“ไม่! ฉันอยากจะรู้ว่าคนจากตระกูลวิทเทอร์กำลังแอบตามฉันมาอยู่หรือเปล่า” มู่ฟู่ผิงพยายามดิ้นออกจากมือของเซี่ยเฟยและกล่าวขึ้นมาอย่างดื้อรั้น
เมื่อได้เห็นท่าทางของหญิงสาว เซี่ยเฟยก็จับเธอแบกขึ้นไปบนไหล่ในทันทีก่อนที่จะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังประตูมิติด้วยความรวดเร็ว
แต่ทันใดนั้นเองประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเขาก็เริ่มทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างแท้จริง ก่อนที่เขาจะหยุดร่างอยู่ห่างจากประตูมิติประมาณ 500 เมตร
ประตูมิติถือว่าเป็นสถานที่สำคัญของตระกูล และมันก็มักที่จะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนาอยู่เสมอ แต่ในขณะนี้มันกลับไม่มีใครเฝ้าประตูมิติอยู่เลย ซึ่งไม่ว่าจะมองยังไงสถานการณ์นี้มันก็ดูแปลกประหลาดมากเกินไป
“ว่าไงคุณหนูมู่ฟู่ผิง? พวกเราได้เจอกันอีกแล้วนะ” จู่ ๆ มันก็ได้มีร่างของชายชราร่างเตี้ยปรากฏขึ้นด้านหลังเซี่ยเฟย ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะพามู่ฟู่ผิงหลบออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้
“คุณปู่เจ็ด!” มู่ฟู่ผิงอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่เธอยังคงถูกจับตัวเอาไว้ในอ้อมแขนของเซี่ยเฟย
เหตุการณ์นี้เริ่มทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตื่นตระหนก เพราะเมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของมู่ฟู่ผิงแล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าสมาชิกในครอบครัวของเธอคนนี้คงจะไม่ได้มีเจตนาดีกับพวกเขา
—
“หยุด! ฉันมู่หยวนคือผู้พิทักษ์ชุดเหล็กของตระกูลวิทเทอร์” มู่หยวนกล่าว
หยูฮัวชะงักไปเล็กน้อย เพราะผู้พิทักษ์ชุดเหล็กเป็นหน่วยรบชั้นยอดของตระกูลวิทเทอร์ แต่เพื่อความรอบคอบเขาก็ยังไม่ผ่อนคลายความระมัดระวังของตัวเองลง
ในเวลาเดียวกันคนจากตระกูลหยูก็รีบเดินทางมายังสนามรบแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะการต่อสู้ระหว่างหยูฮัวกับมู่หยวนได้ดึงความสนใจของทุกคน
“ก่อนหน้านี้ฉันกำลังไล่ตามใครบางคนอยู่ แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะจับตัวเขาได้แล้วคุณกลับมาขวางฉันเอาไว้ซะก่อน” มู่หยวนกล่าวด้วยความโกรธ
“ฉันก็กำลังไล่ตามชายชราตัวเตี้ย ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ฉันกลับได้มาชนเข้ากับคุณซะก่อน”
“คนที่คุณเจอคือชายชราผมขาวที่มีส่วนสูงประมาณ 140 เซนติเมตรใช่ไหม?” มู่หยวนถามอย่างกระวนกระวายใจ
“ใช่”
“ชิบหายแล้ว! เขาคนนั้นคือมู่ฉิวโป๋เป็นขยะจากตระกูลของเรา ก่อนหน้านี้เขาถูกพ่อของคุณหนูขับไล่ออกจากตระกูล ใช่แล้ว! ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน? พวกเราต้องรีบไปหาคุณหนูเดี๋ยวนี้เลย!!”
***************