ตอนที่ 556 มันรัด
ตอนที่ 556 มันรัด
ขณะที่มู่ฉิงปิงกำลังรู้สึกโกรธมาก มู่ฟู่ผิงก็กำลังรู้สึกเศร้าใจเมื่อได้เห็นเซี่ยเฟยปฏิเสธคำเชิญของเธอ
ส่วนทางหยูฮัวก็กำลังรู้สึกสับสนกับการตัดสินใจของเซี่ยเฟยเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยช่วยให้คำแนะนำแก่มู่ฟู่ผิงและทำให้เธอประสบความสำเร็จในเส้นทางสายนี้ มันก็หมายความว่ามู่ฟู่ผิงจะต้องติดหนี้บุญคุณเซี่ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย
9 ตระกูลชั้นยอดคือตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในดินแดนของผู้ใช้กฎ และถ้าหากว่ามู่ฟู่ผิงเป็นหนี้บุญคุณเซี่ยเฟยขึ้นมาจริง ๆ มันก็จะช่วยให้ชายหนุ่มสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งในบางทีสักวันหนึ่งเซี่ยเฟยก็อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลวิทเทอร์ก็ได้
ใบหน้าของมู่ฟู่ผิงซีดเซียวลงกว่าเดิม เพราะเธอเป็นคนประเภทที่สามารถหดหู่ใจได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่มู่ฉิงปิงจะแสดงความโกรธออกมาอีกครั้ง จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็พูดขึ้นมาว่า
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เพราะว่าผมไม่ได้ต้องการจะช่วยคุณ แต่ว่าผมทำอะไรไม่ได้ต่างหาก”
“ทำไมคุณถึงทำอะไรไม่ได้? คำแนะนำที่คุณพึ่งให้มามีประโยชน์สำหรับฉันมาก และมันก็ทำให้ฉันมีความเข้าใจในเรื่องการออกแบบมากยิ่งขึ้น” มู่ฟู่ผิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ไม่ว่าผมจะพูดอะไรผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนจิตสำนึกของคุณได้อยู่ดี ท้ายที่สุดคุณก็ไม่มีทางรู้ว่าการไปยืนอยู่บนขอบเหวแห่งความตายมันให้ความรู้สึกยังไง ก่อนหน้านี้คุณก็คงจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครมากนักใช่ไหม?”
“ปกติฉันพูดคุยแต่กับคนในร้าน แทบที่จะไม่ได้คุยกับคนนอกเลย” มู่ฟู่ผิงกล่าว
“ผมไม่รู้วิธีการออกแบบชุดเกราะต่อสู้หรอกนะ แล้วก็ไม่รู้วิธีการหลอมอาวุธอุปกรณ์อะไรเลยด้วย แต่ผมเข้าใจความจริงง่าย ๆ อยู่เรื่องหนึ่งคือนักออกแบบก็เป็นเหมือนกับศิลปิน ที่ก่อนอื่นควรจะต้องกำจัดพันธนาการทุกอย่างภายในใจของตัวเองไป ดังนั้นคุณควรจะต้องลืมเพศ, ลืมตัวตนของคุณและมุ่งเน้นความสนใจไปที่การออกแบบเพียงอย่างเดียว”
“หากพิจารณาจากงานที่คุณเคยสร้างขึ้นมา มันเห็นได้ชัดเลยว่าคุณมีพันธนาการภายในใจมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก, การให้ความสำคัญเรื่องความรู้สึกของคนอื่นและการให้ความสำคัญของราคา เนื่องมาจากชื่อเสียงของตระกูลวิทเทอร์ที่คุณได้แบกรับเอาไว้”
“แน่นอนว่าเหล่าบรรดาลูกค้าเก่า ๆ ของคุณก็มีพันธนาการภายในใจเช่นเดียวกันกับคุณ พวกเขาจึงยกย่องชุดเกราะของคุณ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นออกมาจากพันธนาการได้”
“เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ คุณก็จะเริ่มคิดว่าสิ่งที่คุณได้ทำเอาไว้ในก่อนหน้านี้คือเรื่องที่ถูกต้อง แต่คุณก็ต้องไม่ลืมความจริงว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณไม่เคยต้องออกไปต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบจริง ๆ เหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ต้องการชุดเกราะที่มีคุณภาพ แต่ต้องการชุดเกราะที่ทำให้พวกเขาดูโดดเด่น”
“ด้วยเหตุนี้เองคุณจึงเหมาะสมที่จะสร้างงานศิลปะให้กับคนชั้นสูง แต่ยังไม่สามารถที่จะออกแบบชุดเกราะที่เหมาะสมกับนักสู้ระดับรากหญ้าแบบที่พวกเราต้องการได้” เซี่ยเฟยกล่าวอธิบาย
มู่ฟู่ผิงชะงักไปหลังจากที่เธอได้ยินคำอธิบาย ซึ่งแม้แต่ของมู่ฉิงปิงเองก็ยังต้องหยิบนำคำพูดของเซี่ยเฟยเก็บไปคิด ท้ายที่สุดนักสู้ที่แท้จริงอย่างเซี่ยเฟยก็แตกต่างจากลูกค้าคนก่อน ๆ ของพวกเธอจริง ๆ นักสู้แบบนี้จึงไม่ได้ต้องการสิ่งของตกแต่งใด ๆ บนชุดเกราะของพวกเขาเลย
คนที่ต้องการชุดเกราะที่สามารถใช้การได้จริง ๆ ก็คงจะไม่ได้เดินทางมาที่ยูนีคพาวิลเลี่ยน เพราะราคาของชุดเกราะที่นี่แพงมากและไม่สามารถเอาไปใช้งานในสนามรบได้ด้วยซ้ำ ร้านค้าแห่งนี้จึงไม่ต่างไปจากร้านขายของเครื่องประดับสำหรับเหล่าบรรดาลูกหลานเศรษฐี
“คุณเซี่ยเฟย ฉันต้องการออกแบบชุดเกราะสำหรับนักรบที่แท้จริง กรุณาช่วยฉันด้วย” มู่ฟู่ผิงกล่าวอย่างกล้าหาญ
มือของหยูฮัวเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะคำพูดของมู่ฟู่ผิงมีความจริงจังสูงมาก และประโยคคำพูดที่เธอกำลังพูดออกมาก็เป็นประโยคที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากเซี่ยเฟยอยู่จริง ๆ
ในความเป็นจริงเธอรู้สึกตกใจกับคำพูดของเซี่ยเฟยมาก เพราะมันไม่เคยมีใครรอบ ๆ ตัวเธอพูดตรง ๆ กับเธอแบบนี้มาก่อน และถึงแม้ว่าเธอจะอยู่อาศัยในจักรวาลเดียวกันกับเซี่ยเฟย แต่สังคมที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมานั้นกลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ตอนแรกผมเห็นว่าพวกคุณทั้งสองคนเป็นผู้หญิง ผมจึงไม่อยากจะพูดอะไรมากนัก แต่อันที่จริงมันยังมีข้อบกพร่องร้ายแรงอีกอย่างหนึ่งบนชุดเกราะของคุณที่ผมไม่ได้พูดออกมา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ข้อบกพร่องอะไร?” มู่ฟู่ผิงกล่าวถามอย่างประหม่า ขณะที่มู่ฉิงปิงก็กำลังกางหูฟังอย่างอยากรู้เช่นเดียวกัน
“ร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงมีสรีระที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะตรงนี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปตรงหว่างขาของเขา ซึ่งมันก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน
“ตรงนี้ของผู้ชายจะมีความนูนกว่าผู้หญิง แต่ชุดเกราะของคุณถูกออกแบบพื้นที่ตรงบริเวณนี้มาแบบราบเรียบมากเกินไป มันเลยทำให้…”
“ทำให้อะไร?”
“มันรัด”
“…”
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัดอีกครั้ง ขณะที่ใบหน้าของสองพี่น้องตระกูลมู่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเกลียด
คำอธิบายนี้ถึงกับทำให้หยูฮัวอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะเขากำลังนึกภาพของเหล่าบรรดาคุณชายที่ซื้อชุดเกราะพวกนี้ไป และพวกเขาก็คงจะต้องเดินไปเดินมาเพื่อโอ้อวดชุดเกราะทั้ง ๆ ที่เป้าของพวกเขากำลังโดนบีบ…
สำหรับเซี่ยเฟยแล้วเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก เพราะอวัยวะตรงนั้นค่อนข้างที่จะบอบบาง และถ้าหากนักสู้คนไหนได้สวมใส่ชุดเกราะนี้ พวกเขาก็คงจะไม่สามารถต่อสู้อย่างสบายใจได้อย่างแน่นอน
“ผมคิดว่าคุณอาจจะต้องกลับไปเรียนรู้เรื่องสรีระของผู้ชายใหม่ ซึ่งพื้นที่บริเวณเป้าของชุดเกราะไม่เพียงแต่จะต้องยื่นออกมาด้านหน้าเท่านั้น แต่มันควรเพิ่มแผ่นรองนุ่ม ๆ เอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย ที่สำคัญคือขนาดของผู้ชายแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นการออกแบบควรให้ความสำคัญกับจุดนี้มากเป็นพิเศษ”
เซี่ยเฟยอธิบายเรื่องเหล่านี้ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สาว ๆ ทั้งสองคนไม่สามารถที่จะทนฟังได้อีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดพวกเธอก็เติบโตขึ้นมาในสังคมของชนชั้นสูง มันจึงยังไม่ถึงเวลาที่พวกเธอจะต้องไปเรียนรู้เรื่องอวัยวะตรงบริเวณนั้น
“พอก่อน!” พี่น้องตระกูลมู่รีบตะโกนขัดจังหวะขึ้นมา เพราะกลัวว่าเซี่ยเฟยจะลงลึกเรื่องสรีระวิทยาของผู้ชายไปมากกว่านี้
—
ในที่สุดเซี่ยเฟยกับหยูฮัวก็ขอตัวออกมาจากร้าน เพราะพวกเขาได้เดินทางออกมาจากตระกูลหยูเป็นเวลานานมากกว่า 10 วันแล้ว มันจึงถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเดินทางกลับไปยังตระกูลเสียที
“เรื่องที่เซี่ยเฟยบอกไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเลย แต่ทำไมมันถึงไม่เคยมีใครบอกฉันในเรื่องแบบนี้มาก่อน” มู่ฟู่ผิงพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ขณะมองดูเซี่ยเฟยที่กำลังจากไป
“หนูถามจริง ๆ เถอะว่าในตระกูลของเราจะมีใครกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมา เซี่ยเฟยมันเป็นคนป่าที่อยากจะพูดเรื่องไร้ยางอายที่ไหนขึ้นมาก็ได้” มู่ฉิงปิงกล่าวด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
มู่ฟู่ผิงพยักหน้ารับเบา ๆ และคิดว่าคนในตระกูลของเธอคงจะไม่อยากพูดเรื่องนี้เนื่องมาจากสถานะของตัวเอง แต่ในกรณีของเซี่ยเฟยแตกต่างออกไป เพราะเขาเป็นนักรบที่มีความอิสระเขาจึงสามารถชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในจุดต่าง ๆ โดยไม่ได้รู้สึกเกรงใจสถานะของเธอเลย
“เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ฉันที ฉันจะเดินทางไปเยี่ยมตระกูลหยูในอีกสองวัน” มู่ฟู่ผิงเริ่มสั่งการก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องของเธอ
“ท่านพี่จะไปทำอะไรที่ตระกูลหยู?” มู่ฉิงปิงถามอย่างสงสัย
“ฉันอยากจะลองไปดูสภาพความเป็นอยู่จริง ๆ ของนักสู้ บางทีมันอาจจะช่วยให้ฉันออกแบบชุดเกราะได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น” มู่ฟู่ผิงกล่าว
“แล้วทำไมต้องไปที่ตระกูลหยูด้วย? ในตระกูลของเราก็มีนักสู้นะ” มู่ฉิงปิงกล่าว
“คนในตระกูลของเราจะกล้าพูดความจริงกับฉันไหม พวกเขาจะกล้าพูดตรง ๆ เหมือนกับเซี่ยเฟยหรือเปล่า?”
“ทำไมท่านพี่จะต้องไปให้ความสนใจกับคนหน้าด้านแบบนั้นด้วย!”
“ฉันแค่อยากฟังความจริง” มู่ฟู่ผิงกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะเดินกลับไปในห้องของเธอ
—
หลังจากกลับเข้ามาในตระกูล หยูฮัวกับเซี่ยเฟยก็ไปรายงานเรื่องที่พวกเขาออกเดินทางไปจัดการพวกหมิงกุยให้หยูเจียงได้ทราบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง
การเรียนรู้ในตระกูลหยูส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้แบบอิสระ โดยในทุก ๆ วันจะมีครูฝึกไปให้คำอธิบายพลังของกฎและคอยแนะนำทักษะการต่อสู้ภายในเมือง ซึ่งนักรบฝึกหัดจะเข้าไปฟังคำอธิบายเหล่านั้นหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง
โดยปกตินักรบที่มีประสบการณ์มักที่จะฝึกฝนด้วยตัวคนเดียวมากกว่า ส่วนนักรบที่ไปฟังครูฝึกจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยนักรบที่พึ่งเดินทางเข้ามาในตระกูลใหม่
ในวันนี้เซี่ยเฟยเลือกที่จะกลับไปยังที่พักของเขาก่อน และไม่แม้แต่จะเดินทางไปที่สวนเสือคำรามด้วยซ้ำ
ภายในสวนเสือคำรามเหลือสัตว์อสูรอยู่เพียงแค่สองตัว และงานช่วยลูกค้าฝึกสัตว์อสูรก็มีเพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเดินทางไปสวนเสือคำรามแต่มันก็ไม่มีอะไรให้เขาทำ เพราะตารางงานในเรื่องต่าง ๆ ถูกจัดสรรไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้าไปภายในห้องฝึกซ้อมก่อนที่เขาจะนำลิงหยกขาวออกมาวางเอาไว้ตรงหน้า ซึ่งลิงหยกชิ้นนี้ให้ความรู้สึกอันแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทุกครั้งที่เขาได้ถือมันเอาไว้เขาจะรู้สึกได้ถึงความแจ่มใสชนิดที่ไม่เคยรู้สึกได้มาก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือเขาต้องการเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพราะอัตราการใช้จ่ายของเขาสูงมากจนเกินไป และการเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานก็น่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมาก
น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าในตระกูลจะมีปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงานอย่างดูบาร์อยู่ แต่เซี่ยเฟยก็ไม่สามารถที่จะไปขอคำแนะนำจากชายชราคนนั้นได้
ในตอนแรกที่ชายหนุ่มได้พบมัน เขาก็คิดว่าลิงตัวนี้น่าจะช่วยให้เขาสามารถเรียนรู้กฎแห่งการกลั่นพลังงานได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่หลังจากเขาเริ่มทำการทดลองแล้ว เขาก็ตำหนักว่าความช่วยเหลือเพียงแค่นี้มันยังไม่พอ และเขาก็ยังไม่สามารถที่จะควบคุมกระแสจิตให้เดินหน้าต่อไปได้จริง ๆ
ชายหนุ่มวางลิงหยกขาวเอาไว้บนพื้นอีกครั้ง พร้อมกับนั่งครุ่นคิดว่าการฝึกฝนนี้จำเป็นจะต้องใช้อะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการใช้สมาธิหรือเปล่า
ขนอุยยังคงนอนอยู่ข้าง ๆ ของเขาอย่างเชื่องช้า ซึ่งนับตั้งแต่ที่มันได้รับอาหารเป็นคริสตัลต้นกำเนิดสีขาว มันก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่มีสัญญาณในการเติบโตของสัตว์อสูรตัวนี้เลย สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือขนของมันหนานุ่มขึ้นมากกว่าเดิม เซี่ยเฟยจึงเชื่อว่าขนอุยน่าจะใกล้เลื่อนระดับอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้
ดวงตาเล็ก ๆ ของขนอุยจับจ้องมองไปยังลิงหยกขาวอย่างสงสัย แล้วมันก็พยายามเอาตัวของมันไปคลอเคลียกับวัตถุชิ้นนี้อย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าลิงหยกตัวนี้จะเป็นวัตถุที่แปลกประหลาดมาก แต่มันก็ไม่มีพลังงานถูกปลดปล่อยออกมา เซี่ยเฟยจึงไม่กลัวว่าขนอุยจะกินลิงหยกตัวนี้เข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เขาได้ให้อาหารขนอุยเป็นคริสตัลขาว เจ้าตัวเล็กก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังคำสั่งของเขามากขึ้นกว่าเดิม
ขนอุยเริ่มกระโดดไปใช้ปากของมันงับหัวของลิงหยกเอาไว้ ก่อนที่มันจะสำรอกและทำให้พลังงานสีขาวจำนวนหนึ่งก็ไหลออกมาจากปากของมัน
เรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะพลังงานระดับ 3 มีมากกว่าพลังงานระดับ 2 ถึง 100 เท่า ขนอุยจึงมักที่จะสำรอกพลังงานจำนวนหนึ่งออกมา เพราะว่ามันดูดซับพลังงานเข้าไปมากเกินไป
แต่สิ่งที่น่าแปลกนั่นก็คือพลังงานที่ไหลออกมาจากปากของมันกลับไหลผ่านร่างลิงหยกขาวและกลายเป็นเส้นใยพลังงานที่เบาบางมาก
“หือ?”
ทั้งอันธและเซี่ยเฟยต่างก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ในเวลาเดียวกัน และในแววตาของพวกเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อย่าบอกนะว่าลิงหยกขาวตัวนี้สามารถกลั่นพลังงานออกมาได้!
***************
ค้นพบความลับของลิงหยกจากการกินแบบตะกละของขนอุยสินะ เอ่อ… ไม่รู้ว่าจะต้องตกใจกับอะไรก่อนเลย