บทที่ 59: ประจัญบาน
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 59: ประจัญบาน
ในร้านอาหารจีน หลังจากเงียบไปไม่นานนัก...
แมตต์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าอาซิงมาจากที่ไหน เขาหันหน้าไปทางอีกฝ่ายและก็ถามว่า "อาซิง คุณมีข้อมูลเรื่องความเป็นอมตะในเผิงไหลบ้างหรือเปล่า?"
'ฉันขอตอบได้ไหมว่าไม่รู้?'
ในร้านขายของเก่า เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามอย่างกะทันหันของแมตต์ ไรอันก็ได้ลูบศีรษะด้วยความปวดหัว
เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้คำพูด 'อันเกินจริง' เพื่อแสร้งทำเป็นเจ๋งต่อหน้าเจสซิก้าไปแล้ว ทว่าทำไมดูเหมือนมันจะกลับมาแว้งกัดเขาเสียอย่างนั้นกัน?
เท่าที่ไรอันรู้มา เหตุผลที่มาดามเกาสามารถมีชีวิตเป็นอมตะดูเหมือนจะมาจากกระดูกมังกรลึกลับของคุนหลุน แต่คำถามคือ เขาจะเชื่อมเรื่องนี้กับเผิงไหลยังไงดี
เมื่อมองไปที่คนทั้งสามในร้านอาหารที่กำลังรอคำตอบของเขา ไรอันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ เขาควบคุมร่างแยกเพื่อให้พูดออกมา
นี่เป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเอง เพราะอย่างนั้นก็ต้องทำให้มันถึงที่สุด
ตอนนี้สถานะของเผิงไหลสูงส่งยิ่ง เขาคงไม่สามารถลดมันลงมาได้อีกแล้ว
"เผิงไหลเหรอ?"
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าสับสนของเจสซิก้า ลุคก็เปิดปากและอธิบายว่า "อาซิงมาจากสถานที่ที่มีชื่อเรียกว่าเผิงไหล ว่ากันว่าเป็นเกาะในตำนานทางตะวันออก ซึ่งเป็นของเทพนิยายในประเทศจีน"
[คะแนนชื่อเสียงจากเจสซิก้า โจนส์ +30]
คะแนนจากเจสซิก้าทำให้ไรอันรู้สึกสบายใจพอสมควร แต่เขาก็ยังคงรู้สึกกังวลจากสายตาทั้งสามที่กำลังจ้องมองมา "ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าเดอะแฮนได้รับความเป็นอมตะมาได้ยังไง แต่มีวิธีการที่จะได้รับความเป็นอมตะผ่านการบ่มเพาะในเผิงไหลอยู่"
"บ่มเพาะงั้นเหรอ? นายกำลังจะบอกว่าพลังแห่งความเป็นอมตะสามารถได้มาจากการฝึกฝนวิชายุทธ์เนี่ยนะ?!"
[คะแนนชื่อเสียงจากแมตต์ เมอร์ด็อค +95]
[คะแนนชื่อเสียงจากเจสซิก้า โจนส์ +60]
[คะแนนชื่อเสียงจากลุค เคจ +75]
“มันไม่ใช่วิชายุทธ์เรียบง่ายแบบที่พวกนายคิดอยู่” ไรอันส่ายศีรษะ ทันใดนั้นพอเห็นคะแนนจากระบบที่เด้งเข้ามา เขาก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง สีหน้าที่หงุดหงิดที่มีอยู่แต่ก่อนได้แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง ความคิดของเขาเริ่มแล่นฉิว ตอนนี้เขามีความคิดสร้างสรรค์มากมากทีเดียว "มันคือการบ่มเพาะวิชายุทธ์สวรรค์"
“วิชายุทธ์สวรรค์? มันคืออะไรเหรอ?”
เจสซิก้าและลุคมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รู้อะไรที่มันเหนือจินตนาการมากมายเลย
ไม่ใช่แค่สองคนนั้น กระทั่งแมตต์ที่เป็นทนายความตาบอดผู้มีชื่อเสียงของย่านเฮลคิทเช่นก็ยังรู้สึกสับสนด้วย
“วิชายุทธ์สวรรค์เป็นวิชาระดับสูงสุดที่มีอยู่ในเผิงไหล ผู้คนบอกว่ามันมีพลังพอที่จะทำลายสวรรค์และโลกา มันทำให้ผู้ฝึกฝนเป็นอมตะและสามารถบินไปยังสวรรค์ได้” เมื่อได้ยินคำอธิบายของวิชายุทธ์สวรรค์ ไม่เพียงแต่เจสซิก้าที่ยังคงงุนงง กระทั่งไรอันที่เป็นคนแต่งเรื่องก็ไม่รู้จะไปต่อยังไง อาจเพราะเรื่องความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ถึงเล่าต่อไปทั้งสามก็คงเข้าใจยากอยู่ดี หากเขาต้องการให้แมตต์และอีกสองคนเข้าใจเรื่องวิชายุทธ์สวรรค์ ไรอันก็ทำได้เพียงสรุปและยกเนื้อหาที่เรียบง่ายออกมาเท่านั้น
“แต่การบ่มเพาะวิชายุทธ์สวรรค์ต้องใช้ความสามารถ ความเพียรพยายามและโชคดี ไม่ใช่แค่ใครๆ จะฝึกได้ กระทั่งในเผิงไหลก็มีเพียงไม่กี่คนเช่นเจ้าแห่งเกาะที่สามารถบ่มเพาะพลังมันได้ คนส่วนใหญ่เช่นข้าเรียนรู้แค่วิชายุทธ์ธรรมดาเพื่อเสริมสร้างร่างกายของเรา”
“นายจะบอกว่าพลังที่นายมีตอนนี้คือศิลปะการต่อสู้ธรรมดาๆ งั้นเหรอ?!”
[คะแนนชื่อเสียงจากเจสซิก้า โจนส์ +20]
หลังจากฟังคำอธิบายของร่างแยกเกี่ยวกับเผิงไหล ทั้งยังได้ยินเขาเรียกความสามารถของในการส่งคนบินไปด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวว่ามันธรรมดา ริมฝีปากของเจสซิก้าก็ถึงกับแห้งผาก
"ถ้านี่เรียกว่าธรรมดา พวกนักกีฬาคงจะเป็นง่อยกันแล้วล่ะ"
คำอธิบายของไรอันถึงเผิงไหลนั้นดูน่าตกใจเกินไป
แมตต์และคนอื่นๆ ในร้านอาหารถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง หลังจากเงียบไปสักพัก หลังจากย่อยข้อมูลเกี่ยวกับเผิงไหลแล้ว แมตต์ก็จำจุดประสงค์ของเขาได้ เขาจึงรีบเชื้อเชิญเจสสิก้า "ถึงเราจะพบกันโดยบังเอิญในบริษัทมิดแลนด์เซอร์เคิล ทว่าเดอะแฮนก็คิดว่าเราร่วมมือกัน บางทีคุณควรเข้าร่วมกับเราเพื่อจัดการกับพวกเขานะ”
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ได้มีความสนใจที่จะ...” เจสซิก้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินแมตต์เชิญเธอเข้าร่วมด้วย เธอส่ายศีณาะและขณะที่เธอกำลังจะปฏิเสธ เสียงดังทื่อๆ ก็ดังมาจากทางซ้ายของเธอ
"ฉันไม่เห็นด้วย"
เสียงคัดค้านนี้ทำให้เจสสิก้าหยุดชะงักลง เธอหันศีรษะและเห็นผู้ชายที่ชื่อลุคเคจส่ายศีรษะ “พวกนายก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว นั่นเป็นการต่อสู้ ไม่ใช่เกม ฉันไม่คิดว่านักสืบเอกชนควรจะมาต่อสู้แบบนี้หรอก”
เจสซิก้าขมวดคิ้วพร้อมกับพูดด้วยความไม่พอใจ "ก่อนอื่นนะ ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมทีมของพวกนายตั้งแต่แรกและประการที่สอง อะไรทำให้นายคิดว่านักสืบเอกชนไม่สามารถต่อสู้ได้กัน?"
แม้ว่าเจสซิก้าจะไม่ได้เก่งกาจในฐานะนักสืบเอกชน แต่เธอก็ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเองพอสมควร
ลุคเคจก็ได้ยืนขึ้นและใช้ประโยชน์จากความสูงใหญ่ของเขา เพื่อมองลงไปที่เจสซิก้าและพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ "ฉันเห็นวิธีการต่อสู้ของเธอแล้ว ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเธอได้พละกำลังมาจากไหน แต่เห็นได้ชัดว่าเธอน่ะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริง เธอก็แค่เหวี่ยงแขนไปรอบๆ หวังว่าจะโดนสักคน ฉันไม่คิดว่านั่นเรียกว่าการต่อสู้หรอกนะ เธอแค่โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ"
“ฉันไม่ต้องการให้นายบอกฉันหรอกว่าฉันจะสู้ได้หรือไม่ได้” เจสซิก้าไม่ใช่คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีนัก เมื่อได้ยินคำพูดของลุค เธอก็รู้สึกโกรธมากในทันที เธอขมวดคิ้วและเริ่มท้าทายอีกฝ่าย "หรือว่านายอยากจะลองโดนชกกันล่ะ?"
"ถ้าอยากจะลองดูฉันก็ยินดี"
เมื่อได้ยินคำถามของเจสซิก้า ลุคก็พยักหน้าอย่างสบายๆ
ปัง--
จากนั้นพวกเขาก็เห็นลุคที่เพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่บินไปที่โต๊ะอื่นในร้านอาหาร
"งั้นฉันไม่ยั้งมือแล้วกัน"
เจสซิก้าถูหมัดของเธอด้วยความเจ็บนิดหน่อย จากนั้นเธอก็มองไปที่ลุค พร้อมกับพูดและยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
ครืดด--
ลุคลุกขึ้นจากโต๊ะโดยไม่มีบาดแผล ลุคมองไปทางเจสซิก้าและส่ายศีรษะไปมา "งั้นฉันก็เช่นกัน"
...