บทที่ 586: เด็กทั้ง 3 คนนี้ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย ๆ (มีคำเตือน)
**คำเตือน มีเนื้อหาในส่วนของเลือดและอวัยวะที่ฉีกขาด หากผู้อ่านรับไม่ไหว สามารถข้ามเนื้อหาส่วนที่ดอกจันไว้ได้เลยนะคะ**
ผู้หญิงคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากหมอผีและคู่ของนางขอตัวกลับกันก่อนเพราะพวกเขารู้ตัวว่าหลังจากนี้ไม่มีสิ่งที่พวกเขาช่วยได้อีกแล้ว
ขณะนั้นคนที่มีหน้าที่คอยคุ้มกันหลงหลิงเอ๋อกำลังจะไปรายงานเรื่องนี้กับหูหลิน แต่จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ภูต 2 คนนั้น… ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“เอ่อ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แล้วจะมายืนบื้อกันอยู่ตรงนี้ทำไม เข้าไปดูสิ”
คนเป็นผู้นำกลุ่มโบกมือและนำกำลังคนเข้าไปยังสถานที่ที่หลงอวี้เดินออกมาเมื่อกี้นี้
แกร๊บ!
ในระหว่างที่เหล่าภูตก้าวไปข้างหน้า พวกเขาก็เหมือนเหยียบอะไรบางอย่างบนพื้น
พอกลุ่มภูตผู้คุ้มกันก้มลงมองก็เห็นว่ามันเป็นกระดูกชิ้นบาง ๆ ที่ยังคงเปื้อนเลือด
ถัดมา ทุกคนค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้า ๆ แล้วก็ต้องตกใจกับภาพเบื้องหน้า
************************************
บนพื้นข้างหน้ามีเลือดอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยังมีกระดูกถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แถมบางส่วนยังคงมีเศษเนื้อเละ ๆ ติดอยู่ด้วย จากที่พวกเขาสังเกตคร่าว ๆ เลือดพวกนี้ยังคงสดใหม่และมีกลิ่นคาวรุนแรง
นั่นหมายความว่ากระดูกทั้งหมดน่าจะเพิ่งถูกเลาะออกมาจากร่างของภูต
อีกทั้งบริเวณใกล้ ๆ ก็มีภูต 2 คนกำลังขดตัวอยู่บนพื้นหญ้า ซึ่งพวกเขายังไม่ตายแต่ก็ขยับตัวไปไหนไม่ได้อยู่ดี
ทันทีที่กลุ่มคนลาดตระเวนเห็นภูตทั้ง 2 คน พวกเขาก็ทำหน้าเหมือนกับเห็นผี
น่ากลัวฉิบหาย!
เด็กพวกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
พวกเขาล้วนเป็นปีศาจ!
ไม่รู้ว่าเด็กพวกนั้นใช้วิธีไหนในการตัดเนื้อเลาะกระดูกพวกเขาออกมา มันทำให้พวกเขาเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่ถึงกับตาย แบบนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าการฆ่าคนเสียอีก
บัดนี้ภูตร่างกำยำทั้ง 6 คนเบิกตากว้างเหมือนคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างหลังจากได้เห็นสภาพของอีกฝ่าย
“...”
ส่วนทางด้านภูตชายที่ถูกทรมานทั้ง 2 ทำได้เพียงปรือตามองกลุ่มคนตรงหน้าเนื่องจากตนไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
************************************
ในบรรดาเด็กทั้ง 3 คน ไม่ว่าคนไหนพวกเขาก็ไม่ควรเข้าไปมีเรื่องด้วย แต่ลูกคนสุดท้องของตระกูลหลงดูเหมือนว่าจะเชื่อฟังและเป็นปกติที่สุดแล้ว
เนื่องจากภูตเผ่าไป๋ผี 2 คนนี้ยังไม่ตาย คนของเผ่าเยว่หูจึงไม่ได้ปล่อยพวกเขาไป แล้วพาอีกฝ่ายไปหาหัวหน้าหูหลินทันที
สำหรับภูตเผ่าไป๋ผีทั้ง 2 คนนั้น พวกเขาอยากจะตาย ๆ ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ว่าทั้งคู่ยังตายไปตอนนี้ไม่ได้ พวกเขาจะต้องไปรองรับอารมณ์ของหูหลินก่อน!
“พี่ใหญ่ ข้าเพิ่งได้ยินจากท่านแม่ว่าตอนนี้ที่อยู่อาศัยของภูตเผ่าไป๋ผีถูกล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วเราจะเข้าไปข้างในนั้นยังไง?” หลงจงถาม
“ข้าเพิ่งถามทางเข้าลับจากภูตเผ่าไป๋ผี ตรงจุดนั้นพวกมันเคยเอาไว้ใช้แอบขนส่งเสบียง” หลงอวี้ตอบขณะที่ยังคงมีท่าทางนิ่งเฉย
เดิมทีภูตเผ่าไป๋ผีถูกจัดให้อยู่อาศัยในพื้นที่ชายขอบที่ไม่มีใครเข้ามาแผ้วถาง ด้านหลังนั้นเป็นหุบเขาที่สูงชันซึ่งเดินทางได้ยาก
ในตอนแรก หูหลินจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่ายโดยจัดให้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากผู้คนในเผ่า
ถึงจะบอกว่าคนของเผ่าล้อมที่พักของภูตเผ่าไป๋ผีเอาไว้แล้ว แต่ความจริงสถานที่นั้นมันใหญ่มาก พวกเขาคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะพบเห็นภูตเผ่าไป๋ผีที่แอบออกมาได้ทุกครั้งหรือไม่
อีกทั้งภูตเผ่าไป๋ผีพวกนี้ก็เจ้าเล่ห์มาก เนื่องจากทุกคนถูกกดขี่ข่มเหงมานาน ดังนั้นพวกเขาจะต้องคิดหาทางหนีทีไล่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพื่อเอาไว้หลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน
“พี่ใหญ่สุดยอดมาก!” หลงเหยามองหลงอวี้ด้วยสายตาชื่นชม “อีกไม่นานเราก็จะสามารถช่วยพี่สี่และพี่หยินชางออกมาได้แน่นอน!”
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่หลงจงไม่ได้ขัดความคิดของน้องชายคนเล็ก ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ค่อนข้างยาก ก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาว่า
“พี่ใหญ่ ภูตเผ่าไป๋ผี 2 คนนั้นปากแข็งมาก ท่านง้างปากพวกเขาให้พูดความจริงได้ยังไง?”
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่ช่วยคลายกระดูกพวกเขาเฉย ๆ” หลงอวี้ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะกลัวตาย แต่สิ่งที่ผู้คนกลัวจริง ๆ ก็คือการที่ต้องทนทุกข์ทรมานต่างหาก
แล้วเด็กชายก็ได้จัดการให้อีกฝ่ายได้รู้จักกับคำว่าตายทั้งเป็น!
การที่เจ้าของร่างได้เห็นเนื้อกับกระดูกของตัวเองถูกเลาะออกมาทีละชิ้นด้วยตาของตนเองนั้นมันเป็นการทำร้ายภูตทั้งทางร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้มีผลกระทบมากขึ้น 2 เท่า แล้วภูตจะทนรับมันได้อย่างไร?
ตลอดช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน พวกเขาก็ร้องขอชีวิตจากหลงอวี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายทั้งคู่ก็จำต้องบอกทางเข้าลับแก่เด็กชาย
เมื่อหลงจงได้ยินคำพูดของผู้เป็นพี่ชายคนโต เขาก็ตอบรับว่า “อ๋อ” แล้วกำลังจะถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นกรณีศึกษา
แต่ทันใดนั้นหลงอวี้ก็กระซิบว่า “ถึงแล้ว ทางเข้าอยู่ข้างหน้า”
วินาทีนี้พวกเด็ก ๆ กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพากันเดินตามหลังพี่ใหญ่เข้าไปอย่างระมัดระวังโดยที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาอีก
ไม่นานร่างเล็กทั้งหลายก็ค่อย ๆ หายไปท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
...
ปัจจุบันหลงหลิงเอ๋อกับหยินชางถูกนำตัวไปขังไว้ที่บ้านไม้ซอมซ่อหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้ไม่มีประตูปิด บนหลังคามีรูอยู่หลายรูทำให้มองเห็นพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าได้ชัดเจน
เมื่อทั้งคู่มีสติกลับคืนมา พวกเขาก็ได้พบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้านนอกมีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา 2 คน รวมถึงมือและเท้าของเด็กทั้ง 2 ก็ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
“หยินชาง เจ้าเป็นอะไรไหม?” หลงหลิงเอ๋อมองดูบาดแผลของอีกคนด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ตอนนี้เสื้อผ้าป่านของเขาครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยสีแดง
อีกทั้งใบหน้าของหยินชางก็ซีดลง ซึ่งอาการที่ปรากฏบ่งบอกว่าเขาเสียเลือดมาก
“ข้าไม่เป็นไร” เพื่อไม่ให้หลิงเอ๋อต้องเป็นห่วง เด็กหนุ่มจึงส่ายหัวตอบ
ทั้ง 2 รับรู้สถานการณ์ของตัวเองได้ทันทีว่าตนถูกทำให้หมดสติและถูกใครบางคนจับตัวมาโดยมีอาการปวดหลังคอเป็นข้อพิสูจน์
“ที่นี่ที่ไหน ใครจับพวกเรามากัน?” เด็กหญิงมองไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกว่าสถานที่นี้มันดูคุ้นตา
กระท่อมที่หยินเสวี่ยเคยอาศัยอยู่ไม่เหมือนกับบ้านหลังนี้
แค่ว่า… กระท่อมของนางยังมีประตูอยู่
“พวกภูตเผ่าไป๋ผี” ใบหน้าของหยินชางหม่นหมอง ในขณะที่เขามองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษ หลิงเอ๋อ พวกมันหมายตาข้าไว้จนทำให้เจ้าต้องมาติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย” เด็กหนุ่มพูดขอโทษนาง
หยินชางรู้ดีแก่ใจว่าทำไมพวกภูตเผ่าไป๋ผีถึงจับตัวเขามา
เขารู้สึกเสียใจมาก ถ้าเขาเลือกที่จะจากไปเร็วกว่านี้ หลิงเอ๋อก็คงไม่ต้องถูกจับตัวมาด้วย
“เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับข้าอย่างนั้นหรือ?” หมอผีตัวน้อยขมวดคิ้ว นางรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของเขามาก
เด็กหญิงมองใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะเสียเลือดของหยินชางชั่วครู่ก่อนจะขมวดคิ้วพูดว่า
“หยินชาง หยุดพูดเถอะ ข้าจะรักษาเจ้าก่อน”
หากเด็กหนุ่มยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่เช่นนี้ มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาทั้ง 2 จะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้
ต่อมา หลงหลิงเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านช่องบนหลังคา แล้วนางก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
ปัจจุบันข้างนอกมืดลงแล้วซึ่งพวกเขายังไม่ได้กลับบ้านกันเลย ท่านแม่จะต้องกำลังเป็นห่วงพวกนางอยู่แน่ ๆ
ตอนนี้คงจะมีแค่ทางเลือกเดียวก็คือ นางจะต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บของหยินชางให้เร็วที่สุด และคิดหาทางหลบหนีออกไปจากที่นี่ด้วยกัน
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร” คนเจ็บรีบชักมือออก “วันนี้เจ้ารักษาคนมามากพอแล้ว เจ้าจะรักษาข้าอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลต่อร่างกายของเจ้า”
อย่างที่ทุกคนรู้กัน พลังของหมอผียังคงมีจำกัด
“ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกข้าไว้ว่าศักยภาพของคนเรานั้นมีไม่จำกัด ถ้าเราไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง”
หมอผีตัวน้อยรีบคว้าแขนของคนดื้อรั้นมาจับไว้แน่น
แม้ว่ามือและเท้าของทั้ง 2 จะถูกมัดเอาไว้ แต่โชคดีที่ทั้งคู่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก แขนของพวกเขาจึงสามารถสัมผัสกันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร
ทางด้านหยินชางกำลังเปิดปากคัดค้าน แต่เขาเห็นว่าหลงหลิงเอ๋อได้เริ่มลงมือรักษาเขาอย่างจริงจังแล้ว
ตอนนี้เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ได้อีก เขาจึงทำได้เพียงถอดถอนหายใจและปิดปากตัวเองลง
ทว่าบ้านไม้อยู่ในความเงียบสงบได้ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู
จังหวะนั้นหยินชางขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นเพื่อกดข้อมือของหลงหลิงเอ๋อลง
นั่นทำให้เด็กหญิงจ้องตาเขาด้วยความสับสน
“มีคนกำลังมา”
จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปมองด้านนอกบ้านพร้อมกัน ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นภูตเผ่าไป๋ผีเดินเข้ามา โดยที่ข้างหลังเขามีคนที่ร่างกายดูแข็งแรงกำยำ 2 คนตามมาด้วย
แต่ว่ากล้ามเนื้อของคนพวกนี้ดูหดลง ประกอบกับมีใบหน้าซูบตอบและซีดเซียวเหมือนคนขาดสารอาหาร
เห็นได้ชัดว่าสภาพของชายทั้ง 3 ดูโทรมมาก
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้เป็นลูกของหยินเหลย!” เมื่อหยินซางเห็นเด็กหนุ่มที่ถูกคุมขังอยู่ในบ้าน เขาก็แทบจะเก็บกลั้นความสุขที่ล้นออกมาจากใจไม่ได้
ถัดมา ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบ้านไม้ที่แทบจะเรียกว่าบ้านไม่ได้แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างมีความสุข
“ฟืดดด กลิ่นนี้… รสชาตินี้…”
หยินซางหลับตาพริ้มเพื่อดื่มด่ำกับความสุขที่เขาเฝ้าถวิลหา
ภูตที่เคยดื่มเลือดภูตอสูรนั้นก็เหมือนกับคนที่ได้ลิ้มรสยาเสพติด
พอเขาได้พบกับมันอีกครั้ง เลือดในกายของเขาก็เดือดพล่านเหมือนน้ำที่ถูกต้มจนเดือด
ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองภูตอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่!
ขณะเดียวกัน ทั้งหลงหลิงเอ๋อและหยินชางจ้องมองหยินซางอย่างระมัดระวัง
พวกเขารู้สึกได้ว่าการแสดงออกของอีกฝ่ายนั้นบ้าคลั่งมากแค่ไหน...