บทที่ 26 คลื่นสัตว์อสูร
บทที่ 26 คลื่นสัตว์อสูร
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ดื่มให้มากเถอะ”
ซงหวันเถาเทอีกแก้วให้ตัวเองและเจียงเฉิงซวน
ทั้งสองคนยกแก้วขึ้นชนกันส่งเสียงกริ๊ก
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ดื่มหมดในอึกเดียว ต่างคนต่างจิบเล็กน้อยแทน
หลังจากแปลงพลังทั้งหมดของสุราจิตวิญญาณเป็นพลังปราณแล้ว ซงหวันเถาก็มองไปที่เจียงเฉิงซวนอีกครั้งและยิ้มออกมา
“พี่เจียง ข้าขอเรียกท่านอย่างนี้นะ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงครั้งที่สองที่เราพบกัน แต่ข้ารู้สึกว่าเราถูกชะตากันมาก ดังนั้นข้าจะไม่ปิดบังอะไรจากท่าน”
หัวใจของเจียงเฉิงซวนเต้นรัว เขามองไปที่ซงหวันเถาแล้วพูดว่า
“พี่ซงบอกข้ามาได้เลย”
การแสดงออกของซงวันเตาเปลี่ยนไปจริงจัง
“พี่เจียง การที่ท่านสามารถมาถึงจุดที่ท่านอยู่ตอนนี้ ท่านต้องรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝนของเรา ใช่ไหม?”
โดยไม่รอให้เจียงเฉิงซวนตอบ ซงหวันเถากล่าวต่อว่า
“มันไม่ใช่ความมั่งคั่งและเงินทอง แต่มันเป็นชีวิต มีเพียงการทำให้แน่ใจว่าชีวิตของเราอยู่รอดและปลอดภัยเท่านั้นถึงจะทำให้เราสามารถไขว่คว้าความมั่งคั่งและเงินทองได้
ข้ารู้ว่าด้วยการมีส่วนร่วมที่ท่านทำในครั้งนี้ ท่านจะได้รับคะแนนการช่วยเหลือตระกูลมากมายอย่างแน่นอน
ด้วยคะแนนการช่วยเหลือตระกูลเหล่านั้น ท่านสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรอันมีค่ามากมายจากตระกูลเฉินได้
อย่างไรก็ตาม ท่านต้องจำไว้ว่าหากตระกูลเฉินให้สิทธิ์ท่านในการแลกเปลี่ยนสำหรับสิ่งของพิเศษบางอย่าง ไม่ว่าพวกเขาจะใช้คะแนนบริจาคเท่าไหร่ก็ตาม ท่านต้องจัดลำดับความสำคัญในการเลือกไอเทมที่สามารถรักษาชีวิตของท่านไว้ก่อนเข้าใจไหม?
หากท่านพลาดโอกาสนี้ไม่มีใครรู้ว่าท่านจะมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อใด
ไม่ว่าท่านจะมีหินวิญญาณกี่ก้อน ก็แทบจะไม่มีทางซื้อของแบบนั้นข้างนอกได้เลย
ดังนั้น
ไม่เป็นไรหากพวกเขาไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่ท่าน แต่เมื่อพวกเขาให้แล้ว ท่านจะต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าพลาดโอกาสอย่างเด็ดขาด!
เพราะ…”
เมื่อถึงจุดนี้ จู่ๆซงหวันเถาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดด้วยเสียงต่ำ
“คลื่นสัตว์อสูรที่จะเกิดขึ้นทุก ๆ 200 ปีนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว อย่างมากก็เหลือเวลาอีกเพียง 30 ถึง 40 ปีเท่านั้น
ในเวลานั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตการก่อตั้งรากฐานเช่นพวกเราจะเป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูร
หากเราไม่ระวัง เราจะกลายเป็นเถ้าถ่านจากภัยพิบัตินั้นก็ได้”
“คลื่นสัตว์อสูรงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงเฉิงซวนก็เต็มไปด้วยความตกใจอย่างมาก
พูดตามตรง เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสิ่งที่ซงหวันเถาพูดถึงเมื่อกี้นี้
ข้อมูลที่เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นเขามีจำกัดเกินไป เนื่องเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระมาก่อน และข้อมูลนี้มีแค่ในตระกูลหรือนิกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวบางอย่างเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่ก่อให้เกิดปัญหาเป็นครั้งคราว แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปเท่านั้น และเขาก็ไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับคลื่นสัตว์อสูรนี้เลย
เมื่อจู่ๆ เขาได้ยินข่าวที่อันตรายเช่นนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องตกใจ
ราวกับว่าเขาคาดคิดถึงปฏิกิริยาเช่นนี้ของเจียงเฉิงซวนแล้ว ซงหวันเถาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและพูดว่า
"ท่านรู้สึกหวาดกลัวไหม?
พูดตามตรงเมื่อข้าได้รู้เรื่องนี้ครั้งแรก ปฏิกิริยาของข้านั้นรุนแรงกว่าของท่านเสียอีก
นี่เป็นเพราะภัยพิบัติที่อยู่ในระดับค่อนข้างอันตรายอย่างมากสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตการต่อตั้งรากฐานเช่นพวกเรา
และพวกเรามีอัตราการเสียชีวิตอย่างน้อย 70 ถึง 80%
ท่านรู้ไหมว่าตระกูลเฉิน เคยแข็งแกร่งขนาดไหน?”
โดยไม่รอให้เจียงเฉิงซวนตอบ ซงหวันเถาก็พูดต่อ
“เท่าที่ข้ารู้ ในอดีตนั้นเมื่อตระกูลเฉินอยู่ในจุดสูงสุด พวกเขามีผู้ฝึกตนขอบเขตปราการม่วงมากถึงแปดหรือเก้าคนในตระกูล
มีผู้ฝึกตนขอบเขตการต่อตั้งรากฐานเกือบร้อยคนเช่นท่านและข้า
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าในเวลานั้น ตระกูลเฉินมีรากฐานและความแข็งแกร่งของตระกูลระดับแก่นทองคำแล้ว และพวกเขาต้องการเพียง ผู้ฝึกตนระดับแก่นนทองคำเป็นผู้นำ
ว่ากันว่าในเวลานั้น หัวหน้าตระกูลเฉินมีโอกาสสูงมากที่จะก้าวไปสู่ขอบเขตแก่นทองคำ
แต่น่าเสียดายที่ในเวลานั้นคลื่นสัตว์อสูรกลับเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ และสนามรบหลักของเขตชายแดนที่ราบสูงแห่งนี้ ซึ่งเราอยู่ตอนนี้
ในฐานะตระกูลผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในเขตชายแดนที่ราบสูง ในเวลานั้นตระกูลเฉินต้องอยู่แนวหน้าเป็นธรรมดา
และหลังจากภัยพิบัติคลื่นสัตว์อสูรในตอนนั้น ทำให้หัวหน้าตระกูลเฉินเสียชีวิตอย่างอนาถ ผู้อาวุโสสามคนของตระกูลเฉินซึ่งอยู่ที่ขอบเขตปราการม่วงได้รับบาดเจ็บสาหัส และเส้นทางแห่งเต๋าของพวกเขาก็ถูกตัดขาด
ผู้อาวุโสขอบเขตปราการม่วงที่เหลืออีกสี่คนก็เสียชีวิตพร้อมกับสัตว์อสูรระดับ 3 หกตัว
มีเพียงผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราการม่วงที่รอดชีวิตมา ในเวลานั้นที่เขาไม่ตายเพราะเขาอยู่ปกป้องฐาน
ต่อมาไม่นานหลังจากที่ผู้อาวุโสขอบเขตปราการม่วงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสามกลับมา พวกเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้และทะยอยตายไปจากโลกนี้ทีละคน
และนี่เป็นเพียงการบาดเจ็บล้มตายของผู้ฝึกตนขอบเขตปราการม่วงเท่านั้นนะ
สำหรับผู้ฝึกตนการก่อตั้งรากฐานเช่นท่านและข้า มีผู้เสียชีวิตมากกว่านั้นมาก
ข้าไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน แต่ข้ารู้ว่านับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนการก่อตั้งรากฐานเกินสิบคนในตระกูลเฉินอีกเลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของซงหวันเถา เจียงเฉิงซวนก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาหนักอึ้ง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าคลื่นสัตว์อสูรจะน่ากลัวขนาดนี้
หากแม้แต่ผู้คนที่ไปถึงขอบเขตปราการม่วงก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ โอกาสของพวกเขาในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตการปรับแต่งพลังปราณ และขอบเขตการก่อตั้งรากฐานจะไม่ต่ำกว่านี้หรือ?
ตามสัญชาตญาณ เจียงเฉิงซวนเริ่มพิจารณาว่าเขาควรคิดหาทางที่จะออกจากตระกูลเฉิน และออกจากเขตชายแดนที่ราบสูงแห่งนี้ในตอนนี้หรือไม่
เพราะอย่างไรก็ตาม คลื่นสัตว์อสูรจะส่งผลกระทบต่อโลกแห่งการฝึกฝนของอาณาจักรหยุนอย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะออกจากตระกูลเฉิน และเขตชายแดนที่ราบสูงไป แล้วเขาจะไปที่ไหน?
ที่ไหนจะปลอดภัยอย่างแน่นอนงั้นหรือ? ไม่มี!
เจียงเฉิงซวนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วมองไปที่ซงหวันเถาอีกครั้งและถามว่า
“พี่ซง เนื่องจากคลื่นสัตว์อสูรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมด นิกายเจียงหยางซึ่งเป็นนิกายระดับสูง พวกเขาจะทำอะไรเกี่ยวกันเรื่องนี้หรือป่าว?
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมาตรการบรรเทาทุกข์จากพวกเขาใช่ไหม?
มิฉะนั้นใครจะยินดียืนอยู่แนวหน้าเพื่อปะทะกับคลื่นสัตว์อสูรเหมือนตระกูลเฉินล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามของเจียงเฉิงซวน ซงหวันเถาก็พยักหน้า
โดยปกติแล้วจะมีการจัดเตรียมการสิ่งของเพื่อบรรเทาทุกข์จากพวกเขา แต่มันก็มีไม่มากนัก
ไม่ใช่เพราะนิกายาเจียงยางไม่เต็มใจที่จะมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับเรา แต่เป็นเพราะพวกเขาก็ไม่สามารถจ่ายได้จริงๆ
ในความเป็นจริง มันไม่ใช่แค่นิกายเจียงยางเท่านั้น แม้แต่อีกสองนิกายใหญ่ คือนิกายเมฆาคล้อยและนิกายแสงดารา ก็ไม่สามารถจัดเตรียมการบรรเทาทุกข์ได้เพียงพอเช่นกัน”
"ฮะ?"
เจียงเฉิงซวนรู้สึกสับสนจริงๆ
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?”
ซงหวันเถายิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง เขามองไปที่เจียงเฉิงซวนและถามว่า
“พี่เจียง ท่านรู้ไหมว่าการเกิดคลื่นสัตว์อสูรนั้นเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้วและมันเกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว?”