ตอนที่ 554 ยูนีคพาวิลเลี่ยน
ตอนที่ 554 ยูนีคพาวิลเลี่ยน
ราคาที่ดินในเมืองการค้ามีราคาที่สูงมากอยู่แล้ว และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงเมืองสตีลบาร์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญการสร้างอุปกรณ์ มันจึงทำให้ราคาที่ดินในเมืองนี้สูงกว่าเมืองการค้าอื่น ๆ เป็นหลายเท่า
แต่ถึงกระนั้นร้านยูนีคพาวิลเลี่ยนก็ยังซื้อที่ดินมากกว่า 250 ไร่ติดกับถนนสายตะวันตก ซึ่งเป็นถนนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดภายในเมือง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังตกแต่งพื้นที่อย่างงดงามแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีรากฐานที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน
แต่สิ่งที่เซี่ยเฟยไม่คาดคิดนั่นก็คือร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ราวกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ กลับมีรถจอดอยู่ในลานจอดเพียงแค่ 2-3 คันเท่านั้น แต่มันก็ยังมีพนักงานไม่น้อยกว่า 30 คนคอยยืนต้อนรับลูกค้าจากนอกประตูด้วยความเคารพ
เมื่อหยูฮัวกับเซี่ยเฟยเดินเข้ามาใกล้ประตู พนักงาน 6 คนก็รีบเดินมาเปิดประตูให้พวกเขาในทันที จากนั้นพนักงานสาวน่ารัก 2 คนก็เดินมาคอยรับใช้อยู่ด้านหลังอย่างเรียบร้อย แต่มันไม่มีใครถามเซี่ยเฟยกับหยูฮัวเลยแม้แต่น้อยว่าพวกเขาสนใจจะดูสินค้าอะไร ตัวตนของพนักงานพวกนี้จึงไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับลูกค้ามากนัก และทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าได้อย่างสบายใจ
“กลยุทธ์ของพวกเขาดีใช้ได้เลยทีเดียว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นักธุรกิจมักจะพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกับอยู่บ้าน แต่มันก็มีนักธุรกิจน้อยคนนักที่สามารถทำตามคำพูดเหล่านี้ได้จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่ายูนีคพาวิลเลี่ยนแห่งนี้ก็สามารถที่จะมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า คล้ายกับว่าพวกเขากำลังเดินชอปปิงอยู่ในบ้านของตัวเอง
หยูฮัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม
เมื่อพิจารณาอาคารอย่างถี่ถ้วนเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าวัสดุทุกชิ้นถูกจัดวางเอาไว้เป็นอย่างดี แม้แต่ก้อนกรวดบนเส้นทางเดินก็ยังถูกออกแบบเอาไว้อย่างประณีตเช่นเดียวกัน ซึ่งความประณีตที่ร้านค้าแห่งนี้ได้แสดงออกมานั้น มันก็จะช่วยยกระดับความภาคภูมิใจของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในร้าน
ตลอดทางไปจนถึงห้องนั่งเล่น มันก็ยังคงไม่มีใครถามว่าหยูฮัวกับเซี่ยเฟยต้องการที่จะซื้ออะไร และทันทีที่แขกทั้งสองได้นั่งลงไปบนโซฟา พวกเขาก็เริ่มจัดแจงเสิร์ฟอาหาร, ผลไม้และเครื่องดื่มอย่างดีมาให้บริการอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งหยูฮัวและเซี่ยเฟยค่อนข้างที่จะรู้สึกสับสน เพราะพนักงานทำเหมือนกับไม่ได้เร่งรีบให้ลูกค้าซื้อของภายในร้านเลยแม้แต่น้อย และการบริการของพวกเขาก็คล้ายจะบอกว่าลูกค้าสามารถนั่งเล่นภายในห้องแห่งนี้ได้ตามใจชอบ โดยจะมีพวกเขาคอยให้บริการอยู่เรื่อย ๆ
ประมาณ 1 นาทีต่อมาหญิงสาวที่ดูมีอายุประมาณ 18 ปีก็เดินเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับสาวใช้ที่เดินตามหลังเธอมา 2 คน
“สวัสดีคุณผู้ชายทั้งสองท่านด้วยค่ะ” หญิงสาวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มโดยไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งออกมาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเธอก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามของเซี่ยเฟยกับหยูฮัวอย่างสุภาพ เพื่อแสดงออกว่าเธอคือคนที่จะคอยมาทำหน้าที่เจรจาหลังจากนี้
เมื่อพิจารณาอย่างผ่าน ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง, หน้าตา, ผิวพรรณหรือการแต่งตัว ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถสังเกตได้อย่างง่ายดายว่าเธอคนนี้คือลูกหลานของเศรษฐีผู้มั่งคั่งอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเซี่ยเฟยก็อดที่จะคิดถึงแอวริลขึ้นมาไม่ได้ เพราะผู้หญิงทั้งสองคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกันมาก ที่ถึงแม้ว่าด้านนอกพวกเธอจะแสดงออกในมุมที่สง่างาม แต่ภายในพวกเธอกลับซ่อนมุมที่ซุกซนที่สามารถสังเกตเห็นได้จากรอยยิ้มของพวกเธอ
“ฉันชื่อมู่ฉิงปิงเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายทั้งสองท่านสะดวกจะให้ฉันเรียกว่าอะไรดีคะ?”
เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อยเพราะผู้หญิงคนนี้ใช้นามสกุลมู่ ซึ่งมันก็หมายความว่าเธอน่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลวิทเทอร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ของตระกูลชั้นยอดในดินแดนของผู้ใช้กฎ
ตระกูลวิทเทอร์มีฐานอำนาจที่แข็งแกร่งมาก และตระกูลของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่แตกต่างจากตระกูลหยูโดยสิ้นเชิง เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่าคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวยแบบนั้นจะมาทำธุรกิจในเมืองนี้ให้ยุ่งยากวุ่นวายด้วยตัวเองไปทำไม
เท่าที่เขาได้รู้มาสถานะของนักธุรกิจในดินแดนของผู้ใช้กฎไม่ได้ถูกยอมรับมากนัก เพราะแม้แต่หยูฮัวก็ยังถูกผู้คนวิจารณ์อย่างมากมาย มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงคุณหนูคนนี้ที่มาจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลวิทเทอร์เลย
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าของร้านยูนีคพาวิลเลี่ยนจะเป็นสาวสวยแบบนี้ ผมพอจะขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณคือคนจากตระกูลวิทเทอร์หรือเปล่า?” หยูฮัวถาม
“ใช่ค่ะ ฉันมาจากตระกูลวิทเทอร์ แล้วไม่ทราบว่าลูกค้าทั้งสองท่านมาจากไหนคะ?” มู่ฉิงปิงกล่าว
“ผมชื่อหยูฮัวมาจากตระกูลหยู ส่วนเขาชื่อเซี่ยเฟยเป็นนักรบชั้นยอดจากตระกูลของเรา” หยูฮัวกล่าวแนะนำตัว
“อ๋อ! ที่แท้พวกคุณก็เป็นคนจากตระกูลหยูที่มีชื่อเสียงทางด้านการฉีกกระชากมิตินี่เอง”
“คุณหนูมู่ยกย่องพวกเราเกินไปแล้ว”
แม้ว่าบทสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่ายจะฟังดูดี แต่เซี่ยเฟยก็ยังสัมผัสได้ถึงความดูถูกหลังจากที่มู่ฉิงปิงได้ยินว่าพวกเขามาจากตระกูลหยู
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เธอจะรู้สึกแบบนั้น เพราะตระกูลที่ไม่ใช่ตระกูลชั้นยอดต่างก็มีสถานะที่ต่ำต้อยกว่าเธอทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นคนในตระกูลยังให้ความสำคัญกับสายเลือดเหนือสิ่งอื่นใด ตัวตนของเซี่ยเฟยจึงไม่ต่างไปจากคนรับใช้ของตระกูลหยูอีกที
หลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเข้าประเด็นเกี่ยวกับการซื้ออาวุธอุปกรณ์กฎ
“90% ของอาวุธภายในยูนีคพาวิลเลี่ยนเป็นอาวุธจากตระกูลวิทเทอร์ทั้งหมด และถึงแม้ว่ามันจะมีสินค้าบางชิ้นที่ส่งมาจากโรงหลอมรายอื่น แต่ปริมาณของสินค้าเหล่านั้นก็มีไม่มากนัก ฉันสามารถให้การรับประกันได้เลยว่าสินค้าจากตระกูลวิทเทอร์ของเราโดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และคุณภาพ ถ้าหากว่าพวกคุณซื้อสินค้าจากเราไปคุณจะไม่รู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน” มู่ฉิงปิงกล่าวกับหยูฮัวอย่างสง่าผ่าเผย
“9 ตระกูลชั้นยอดคือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนของพวกเรา แล้วสินค้าจากตระกูลชั้นยอดย่อมมีคุณภาพที่ดีตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ในคราวนี้คนที่ต้องการจะซื้อสินค้าไม่ใช่ผมแต่เป็นเขา คุณพอจะมีอาวุธอะไรดี ๆ พอจะแนะนำให้กับเขาบ้างไหม?” หยูฮัวกล่าว
มู่ฉิงปิงหันไปมองเซี่ยเฟยจากหางตาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เพราะนักรบที่ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหลักคนนี้จะสามารถจ่ายเงินให้กับเธอได้สักเท่าไหร่กัน และถ้าหากว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นจริง ๆ เขาก็คงไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปอาศัยในตระกูลของคนอื่น
ท่าทีของมู่ฉิงปิงทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่โชคดีที่เธอยังพอมีมารยาทอยู่บ้างเธอจึงยังคงพูดคุยและส่งเสียงหัวเราะด้วยท่าทางอันเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่าเธอไม่เคยรู้สึกดูถูกเซี่ยเฟยมาก่อนเลย
“พวกคุณทั้งสองคนเชิญตามฉันมาทางด้านนี้ได้เลยค่ะ” มู่ฉิงปิงกล่าวพร้อมกับลุกยืนขึ้น
หลังจากนั้นเธอก็เดินนำแขกทั้งสองตรงไปยังสวนขนาดใหญ่หลังร้านที่มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเข้ามาภายในสวนสวรรค์
“ที่นี่คือสวน 100 สมบัติ อาวุธทั้งหมดในยูนีคพาวิลเลี่ยนถูกรวมเอาไว้ในสวนนี้หมดแล้ว”
เซี่ยเฟยเดินตามหญิงสาวไปเรื่อย ๆ แล้วเขาก็ได้พบกับตู้โปร่งใสท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่ภายในได้โชว์อาวุธอุปกรณ์ที่สวยงามเอาไว้
ทุก ๆ 100 เมตรจะมีโต๊ะและเก้าอี้ถูกตั้งเอาไว้เพื่อคอยบริการ ดังนั้นถ้าหากว่าแขกผู้มาเยี่ยมชมรู้สึกเหนื่อยพวกเขาก็สามารถนั่งพักเพื่อเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มและสวนดอกไม้ได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นการจัดตู้แสดงหรือสวนดอกไม้แห่งนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลยุทธ์ที่แยบยล เพราะทางร้านสามารถเปลี่ยนช่วงเวลาอันน่าเบื่อในระหว่างการเลือกอาวุธให้กลายเป็นกิจกรรมการพักผ่อนที่หรูหรา ที่ตอบสนองต่อรสนิยมของเหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย
เซี่ยเฟยรับชมอาวุธในตู้โชว์แต่ละชิ้นด้วยดวงตาอันเป็นประกาย ซึ่งความสนใจทั้งหมดของเขาก็อยู่ที่อาวุธเหล่านี้โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับสาวสวยอย่างมู่ฉิงปิงเลย
หยูฮัวก็ไม่ได้มีแผนที่จะซื้ออาวุธใด ๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงพูดคุยสนทนากับมู่ฉิงปิงไปเรื่อย ๆ ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นานเซี่ยเฟยก็เริ่มเดินห่างออกไปจากสายตาของเขา
ในมุมมองของมู่ฉิงปิงราชากฎแห่งตระกูลหยูคนนี้คือลูกค้ารายใหญ่ที่แท้จริงของเธอ ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงถูกทิ้งให้รับชมอาวุธเพียงลำพังโดยไม่มีใครคอยให้ความสนใจ
“มีดเล่มนี้ดูดีมาก มันมีพลังของกฎแห่งมิติที่สามารถตัดผ่านมิติได้อย่างง่ายดาย รูปร่างของมันก็ค่อนข้างงดงาม ของชิ้นนี้ถือว่าเป็นอาวุธชั้นยอดอย่างแน่นอน!” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็กำลังขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา เพราะถึงแม้ว่าอาวุธพวกนี้จะดูดีแต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป และเขาก็รู้สึกว่าอาวุธทั้งหมดต่างก็ล้วนแล้วแต่มีราคาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพของพวกมัน
สำหรับเซี่ยเฟยแล้วอาวุธมีไว้เพื่อสังหารเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการออกแบบใด ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสังหารจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไร้ค่าในสายตาของเขาทั้งหมด
มู่ฉิงปิงอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้เห็นเซี่ยเฟยขมวดคิ้วระหว่างรับชมสินค้า เพราะเธอกำลังคิดว่าชายหนุ่มกำลังตกใจกับราคา แต่เธอไม่ได้รู้เลยว่าเซี่ยเฟยกำลังไม่พอใจในเรื่องการออกแบบของอาวุธโดยไม่ได้สนใจเรื่องราคาเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณลูกค้าลองดูชุดเกราะตัวนี้ดีไหมคะ? ชุดเกราะชุดนี้มีพลังของกฎแห่งสสารระดับอัศวินกฎขั้นที่ 4 และราคาของมันก็ไม่แพงเลย เดี๋ยวฉันจะช่วยลดราคาให้เหลือสัก 120 คริสตัลเหลืองเป็นยังไง” มู่ฉิงปิงเดินเข้ามาหาชายหนุ่มและเริ่มแนะนำสินค้า
พูดตามตรงสินค้าที่เธอกำลังพยายามแนะนำอยู่นี้เป็นสินค้าที่มีราคาถูกที่สุดภายในร้านแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่าเซี่ยเฟยยังคงปฏิเสธมันต่อไป มันก็หมายความว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีกำลังมากพอที่จะซื้อสินค้าจากภายในร้านของเธอจริง ๆ
“พู่ตรงนั้นมันมีเอาไว้ทำไม?” เซี่ยเฟยกล่าวถามออกไปตรง ๆ
“มันเป็นของตกแต่ง คุณไม่คิดว่ามันช่วยให้ชุดเกราะดูสง่างามขึ้นกว่าเดิมเหรอคะ?”
“ความสง่างามช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันได้ไหม?” เซี่ยเฟยถามกลับอย่างสับสน
“ไม่ได้” มู่ฉิงปิงตอบกลับด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย
“แล้วโซ่ทองคล้องเอาไว้ที่เอวตรงนั้นมีไว้ทำอะไร มันเอาไว้ช่วยในการป้องกันได้ไหม?”
“ไม่ได้ค่ะ” มู่ฉิงปิงตอบกลับขณะที่เริ่มมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเธอ
“แล้วรูปดอกบัวที่สลักเอาไว้บริเวณหน้าอกนั่นล่ะ มันช่วยเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันไหม?”
“ไม่ค่ะ”
มู่ฉิงปิงเริ่มจะทนต่อความหยาบคายของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ท้ายที่สุดเธอก็เติบโตขึ้นมาจากแวดวงชนชั้นสูง เธอจึงไม่เคยเห็นใครที่หยาบคายเหมือนเซี่ยเฟยมาก่อนเลย และคำถามแต่ละคำถามที่ชายหนุ่มได้ถามมา มันก็เป็นเหมือนกับการต่อว่าว่าอุปกรณ์พวกนี้ไม่สามารถที่จะนำไปใช้การได้จริง ๆ
“ชุดเกราะมีเอาไว้สวมใส่บนร่างกาย ฉันไม่คิดว่าจะมีใครไม่ชอบให้ตัวเองดูดี ดังนั้นเครื่องประดับพวกนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชุดเกราะด้วยเหมือนกัน” มู่ฉิงปิงพยายามโต้เถียงเซี่ยเฟยกลับไป
“ผมจะไม่บอกว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นสิ่งที่ผิดหรอกนะ แต่ชุดเกราะต่อสู้ก็ยังคงเป็นชุดเกราะต่อสู้วันยังค่ำอยู่ดี ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอย่างแรกสำหรับชุดเกราะต่อสู้คือเรื่องการป้องกันมากกว่าความสวยงาม”
“แต่ชุดเกราะนี้มีความกว้างของช่องบริเวณหัวไหล่เพียงแค่ 0.7 เซนติเมตร ทำให้แขนของผู้สวมใส่ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วน…” เซี่ยเฟยเริ่มอธิบายจุดบกพร่องของชุดเกราะขึ้นมาทีละจุดพร้อมกับให้เหตุผลประกอบคำอธิบายอย่างใจเย็น
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งมู่ฉิงปิงและหยูฮัวต่างก็อ้าปากค้างขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันไม่มีใครคิดว่าเซี่ยเฟยจะสาธยายจุดบุกพร่องของชุดเกราะออกมาแบบนี้ แต่ทุกคำที่เขาพูดก็มีเหตุผลอันสมควรจนไม่มีใครสามารถหาเหตุผลมาหักล้างคำพูดของชายหนุ่มได้เลย
ถึงแม้ว่ารายละเอียดพวกนี้จะถูกปกปิดจากการตกแต่งอันงดงาม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้อบกพร่องของชุดเกราะจะถูกซ่อนเอาไว้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นของตกแต่งในสายตาของเซี่ยเฟยก็ไม่ต่างไปจากของไร้ประโยชน์ และเขาก็พูดถึงจุดบกพร่องทุกสิ่งทุกอย่างตามประสบการณ์ของตัวเขาเอง
สีหน้าของมู่ฉิงปิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะท้ายที่สุดอาวุธอุปกรณ์ทุกชิ้นของตระกูลวิทเทอร์ต่างก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นอาวุธอุปกรณ์ชั้นสูง แต่ในตอนนี้อาวุธอุปกรณ์ชั้นสูงเหล่านั้นกลับถูกนักรบกฎที่ต่ำต้อยกล่าวหาว่ามันมีข้อบกพร่องต่าง ๆ อยู่อย่างมากมาย แล้วมันก็ไม่ต่างไปจากการพูดจาดูถูกตระกูลของเธอเลย
“ถ้าอย่างนั้นลองดูชุดเกราะชุดนี้สิคะ นี่คือชุดเกราะระดับอัศวินกฎขั้นสูงสุด ไม่ทราบว่าชุดเกราะชุดนี้ยังจะมีข้อบกพร่องอยู่อีกไหม?” มู่ฉิงปิงกล่าวขณะชี้นิ้วไปยังชุดเกราะสีเงินที่อยู่ไม่ไกล
หยูฮัวชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะการที่ชุดเกราะชุดนี้อยู่ในระดับอัศวินกฎขั้นสูงสุด มันก็หมายความว่าผู้ที่สามารถทำลายการป้องกันของชุดเกราะชุดนี้ได้มันก็มีเพียงแค่ราชากฎผู้ทรงพลังเท่านั้น
“เฮ้อ! ผู้หญิงเป็นคนออกแบบชุดเกราะชุดนี้ขึ้นมาใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“เป็นผู้หญิงแล้วยังไงล่ะ! คุณกำลังดูถูกฉันอยู่งั้นเหรอ?!” มู่ฉิงปิงกล่าวออกไปอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่ได้คิดที่จะดูถูก ชุดเกราะตัวนี้ถูกออกแบบมาอย่างแม่นยำและประสิทธิภาพโดยรวมของมันก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
มู่ฉิงปิงรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้พูดในสิ่งที่เขาสมควรจะพูดมาตั้งนานแล้ว แต่ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกพึงพอใจอยู่นี่เอง เซี่ยเฟยก็เริ่มออกความเห็นอย่างหยาบคายขึ้นมาอีกครั้ง
“โดยรวมแล้วชุดเกราะชุดนี้ถือว่าเป็นชุดเกราะชั้นยอดแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ผู้ออกแบบลืมสิ่งสำคัญไปอยู่เรื่องเดียวคือผู้ออกแบบไม่เข้าใจเรื่องสรีระของผู้ชาย มันจึงมีผู้ชายเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถสวมใส่ชุดเกราะชั้นยอดชุดนี้ได้ เพราะชุดเกราะถูกออกแบบมาให้แนบชิดกับร่างกายมากเกินไป”
ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน เพราะมันไม่เคยมีใครสังเกตเห็นข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ร้ายแรงในจุดนี้มาก่อนเลย
แน่นอนว่าชุดเกราะที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ มันย่อมไม่ใช่ชุดเกราะชั้นยอดอย่างแน่นอน
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้ตระหนักว่าตัวเองน่าจะพูดเรื่องต่าง ๆ ออกมามากจนเกินไป เพราะในปัจจุบันใบหน้าของมู่ฉิงปิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
***************
พึ่งจัดการพ่อค้ายามาได้ก็ขอหาเรื่องต่อเลยละกัน!! 5555