บทที่ 582: หลิงเอ๋อและหยินชางหายไป
ภูตเผ่าไป๋ผีวิ่งโซซัดโซเซไปทางหยินซางอย่างรีบร้อน จนทำให้เขาสะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยท่าทางประหม่า
“มีภูตเผ่าเยว่หูจำนวนมากพากันมาเฝ้าอยู่ข้างนอก พวกเขารู้แล้วว่าภูตของเราบางคนติดโรคระบาด ตอนนี้พวกเขาไม่อนุญาตให้เราเข้าหรือออกจากที่นี่เลย”
ภูตชายที่กำลังร้อนรนใจรีบรายงานสถานการณ์ภายนอกให้หัวหน้าเผ่าไป๋ผีได้รับทราบ
แต่พอเขามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าคนเป็นหัวหน้าเผ่ากับภูตที่ยืนอยู่บริเวณโดยรอบไม่ได้มีสีหน้ากังวลเลยสักนิด เขาจึงรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
“หะ-หัวหน้า ท่านจะไม่ทำอะไรหน่อยหรือ?”
ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรหัวหน้าของเขากับภูตคนอื่น ๆ ถึงยังดูใจเย็นอยู่ได้
ภูตเผ่าไป๋ผีที่วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวหารู้ไม่ว่าจริง ๆ แล้วหยินซางกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีแผนการอื่นอยู่ในใจ ซึ่งมีแค่ภูตบางคนเท่านั้นที่รู้ เพราะแผนการดังกล่าวได้ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับ ดังนั้นภูตส่วนใหญ่ภายในเผ่าจึงไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ภูตที่อยู่ตรงหน้าหยินซางเองก็เป็น 1 ในคนส่วนใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้นด้วยเช่นกัน
เมื่อผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไป๋ผีเห็นสีหน้าสงสัยและความวนกระวายใจของผู้ที่มาแจ้งข่าว เขาก็หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับแสดงท่าทีว่าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ได้ยินมากนัก
“พวกนั้นอยากจะล้อมก็ปล่อยให้ล้อมไปสิ เจ้าจะโวยวายไปทำไมกัน?”
ขณะนี้เขามีหมอผีเป็นตัวประกัน แถมยังมีหยินชางที่เป็นคลังเลือดส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้ว่าตัวเองจะถูกภูตเผ่าเยว่หูปิดล้อมอยู่ก็ตาม
หากอีกฝ่ายต้องการลงมือทำอะไรกับเขา ถึงอย่างไรพวกมันก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของหมอผีเสียก่อน เพราะฉะนั้นกลุ่มคนข้างนอกจะต้องไม่กล้าทำอะไรวู่วามแน่นอน
นี่ยังไม่รวมกับโรคระบาดที่เขาจงใจแพร่มันไปให้คนภายในเผ่าเยว่หูอีก ถ้าถึงเวลาที่เขาตอบโต้เมื่อไหร่ เขาเกรงว่าพวกมันอาจจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาปกป้องเผ่าเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเวลานั้นมาถึง คนกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่กลายเป็นเหยื่อให้หมาป่าดังเช่นเขาขย้ำ
“เอาล่ะ ถ้าพวกมันชอบเฝ้ามากนักก็ปล่อยให้เฝ้าอยู่แบบนั้นแหละ ส่วนเจ้าก็ไปได้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้นหรอก” หยินซางโบกมือกลางอากาศเป็นสัญญาณว่าให้คนตรงหน้าออกไปก่อน
ปัจจุบันมีคนป่วยที่ติดโรคระบาดอยู่ที่นี่ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่หูหลินจะทำอะไรบุ่มบ่าม
ผู้ที่มาแจ้งข่าวไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าถึงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูมั่นใจมากของคนเป็นผู้นำ เขาเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินจากไป
“พาข้าไปพบหมอผีกับหยินชาง” หัวหน้าเผ่าไป๋ผียังไม่ลืมเรื่องสำคัญของเขาก่อนหน้านี้
เมื่อลูกน้องได้ยินดังนั้นจึงรีบนำทางเขาไปในทันที
แต่หลังจากหยินซางก้าวไปได้เพียง 2 ก้าว เขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างออก แล้วหันไปสั่งลูกน้องอีกคนว่า
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปพาผู้อาวุโสมาที่นี่”
“ท่านหัวหน้า แต่ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสป่วยหนักมาก มันอันตรายเกินไป” คนที่ถูกสั่งพูดขึ้นอย่างลังเลใจ
ถ้าหากเขาต้องติดเชื้อเพราะใกล้ชิดกับชายชราขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“ข้าสั่งให้เจ้าไปทำอะไรก็ไปทำสิ! ไม่ต้องพูดให้มากความ!” หยินซางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ
นั่นทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาก้มหัวลงก่อนจะตอบผู้เป็นหัวหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “รับทราบ...”
…
อีกด้านหนึ่ง
หูเจียวเจียวนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้หลงโม่กับหูหลินได้พาคนออกไปค้นหาบริเวณรอบนอกเผ่า เมื่อเห็นมังกรหนุ่มกลับมาถึงบ้าน เธอจึงถามด้วยความสงสัย
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง เจ้าเจออะไรไหม?”
“วันนี้ข้าพบร่องรอยของภูตผมแดง หัวหน้าหลินกับข้าเลยต้องไปตรวจสอบ” มังกรหนุ่มตอบโดยไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไรเลย
“แล้วเจอคนคนนั้นหรือยัง?” จิ้งจอกสาวเอ่ยถาม
“ภูตผมแดงคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก ดูเหมือนว่ามันจะจงใจทิ้งเบาะแสปลอมเอาไว้ เพราะก่อนที่เราจะไปถึงที่นั่น มันก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว พวกเราเลยหาตัวมันไม่พบ” ชายหนุ่มส่ายหัวตอบ
เห็นได้ชัดว่าภูตคนนี้ไม่ธรรมดาและดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก
หากภูตดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นภายในเผ่า นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
“แล้วตอนที่มันเข้าออกเผ่า ไม่มีภูตที่เฝ้าประตูคนไหนเห็นมันบ้างเลยหรือ?” หูเจียวเจียวถามขึ้นด้วยสีหน้าสับสน
ผู้ชายที่ตัวโตขนาดนั้นหากเดินไปทางไหนก็น่าจะมีคนสังเกตเห็น เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถล่องหนได้
“ไม่ พวกเราสอบถามหมดแล้ว ภูตที่เฝ้าประตูทุกคนต่างก็บอกว่าไม่เคยเห็นชายคนนั้นเข้ามาในเผ่าเลย”
ไม่เคยเลย?
แสดงว่าเจตนาของอีกฝ่ายคือการแอบเข้ามาในเผ่าตั้งแต่แรกแล้ว!
เมื่อหูเจียวเจียวคิดได้แบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา
ชายคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?
เป็นไปได้ไหมที่เขาจะสามารถล่องหนหรือเดินทะลุกำแพงได้ เพราะแม้แต่ในเผ่าที่มีคนพลุกพล่าน เขาก็ยังสามารถเดินเข้าออกได้อย่างอิสระโดยที่ไม่มีใครจับสังเกตได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่ถึงกระนั้น มันไม่ง่ายเลยที่อีกฝ่ายจะลงมือฆ่าเด็ก 4-5 คนเงียบ ๆ
“ไม่ เราต้องหาทางจับมันให้ได้โดยเร็ว” จิ้งจอกสาวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปทางลานบ้านที่พวกเด็ก ๆ กำลังฝึกฝนร่างกายกันอยู่
ในขณะที่สายตาของแม่จิ้งจอกเหลือบมองไปยังลูกของตัวเองอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นเองก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
“บางที… ข้าอาจมีวิธีที่จะหาตัวภูตผมแดงคนนั้นได้”
ดวงตาที่คมเข้มของหลงโม่มองไปที่ภรรยาสาวอย่างสงสัยพลางถามว่า “เทพอสูรเป็นคนบอกเจ้างั้นหรือ?”
หูเจียวเจียวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่มองหน้าสามีหนุ่มด้วยความรู้สึกงงงวย “???”
เกี่ยวอะไรกับเทพอสูร??
“ไม่ ๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเทพอสูร” เธอเอ่ยปฏิเสธก่อนจะเล่าให้หลงโม่ฟังว่าเธอกับลูก ๆ ได้เจอกับหญิงสาวที่มีดวงตาสีชมพูได้อย่างไร และผู้หญิงคนนั้นช่วยเหลือเด็ก ๆ อย่างไร
“เจียวเจียว เจ้ากำลังจะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นสามารถค้นหาภูตผมแดงได้งั้นหรือ?” ดวงตาสีทองสว่างวาบขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี เมื่อคิดว่าในที่สุดก็มีทางที่จะตามหาภูตผู้ต้องสงสัยได้หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวกันมาหลายครั้ง
หูเจียวเจียวพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ใช่ นางต้องรู้จุดประสงค์ของภูตผมแดงแน่ ๆ นางถึงไปขัดขวางไม่ให้ชายคนนั้นทำร้ายเด็ก ๆ ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน นางจะรู้ได้ยังไงว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร?”
“แล้วอีกอย่าง….”
เสียงของจิ้งจอกสาวหยุดลงชั่วคราวก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
“ตอนนี้นางได้ทำให้ภูตผมแดงคนนั้นขุ่นเคืองแล้ว บางทีมันอาจจะกำลังหาทางแก้แค้นนางอยู่ เราต้องหานางให้เจอ เพราะนี่อาจจะทำให้เรามีโอกาสได้เจอกับมันด้วยก็ได้”
หลงโม่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งและเขารู้สึกว่าวิธีที่หูเจียวเจียวบอกมีความเป็นไปได้มาก
“เจียวเจียว เจ้าฉลาดจริง ๆ” สายตาของชายหนุ่มที่มองภรรยาสาวของตนในตอนนี้เต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “ข้าจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับหัวหน้าหลิน”
มังกรหนุ่มมองเห็นถึงความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของจิ้งจอกสาว เขาจึงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พอเราจับตัวภูตผมแดงได้แล้ว หลังจากนั้นข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดเวลาและจะไม่ออกไปไหนนาน ๆ แบบนี้อีก”
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาต้องออกไปทำงานข้างนอกทุกวัน ทำให้เขาไม่มีเวลาได้อยู่กับเจียวเจียวเลย ทั้งที่ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะพาภรรยาสาวมาพักผ่อนแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าดันมีเรื่องวุ่นวายให้เขาต้องรีบจัดการเสียได้
“ตกลง” หูเจียวเจียวพยักหน้ารับก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปมองที่บริเวณหน้าอกของคนตัวสูง
เธอคิดกับตัวเองว่าเมื่อไหร่ที่เขาทำงานเสร็จแล้ว เธอจะจับเขาถอดเสื้อผ้าออกเพื่อที่จะได้ดูบาดแผลบนร่างกายของเขา ถึงเวลานั้นเธอก็อยากรู้ว่าเขาจะแกล้งบื้อต่อไปได้อีกหรือไม่
เมื่อหญิงสาวคิดว่าช่วงนี้สามีหนุ่มมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย เธอจึงยังไม่คิดที่จะเปิดโปงเขาในตอนนี้
ครู่ถัดมา หูเจียวเจียวเหลือบตามองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก ซึ่งปัจจุบันเป็นเวลาที่พระอาทิตย์เกือบจะตกดินแล้ว
พอเธอหันไปมองดูทางลานบ้านอีกครั้ง ลูกน้อยทั้ง 4 ก็ยังคงฝึกฝนตัวเองในท่านั่งม้าอยู่
เมื่อไม่นานมานี้ เด็ก ๆ มักจะทำตัวติดหนึบเธอทุกวัน ทำให้หากตอนไหนหญิงสาวรู้สึกเบื่อ เธอก็จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ให้พวกเขาฟัง 2-3 เรื่อง จนทำให้พวกเขารู้สึกหลงใหลไปกับเรื่องที่แม่จิ้งจอกเล่าเป็นอย่างมาก และตั้งแต่นั้นมา พวกหลงอวี้ก็มักจะเกาะติดอยู่กับเธอจนไม่ยอมออกไปเล่นนอกบ้าน
ส่วนหลงเหยาที่ได้ฟังเรื่องเล่าก็รบเร้าว่าอยากเรียนกังฟูทุกวัน
หูเจียวเจียวที่ไม่รู้ว่าจะสอนเขาอย่างไรดี เธอจึงหลอกให้เขากับพี่น้องคนอื่น ๆ ออกกำลังกายในท่านั่งม้า
และโดยไม่คาดคิด เจ้าตัวน้อยเหล่านี้ก็อดทนมาก พวกเขาเอาแต่ฝึกฝนร่างกายกันทั้งวันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ขณะนั้นจิ้งจอกสาวกำลังจะบอกให้เด็กทั้ง 4 เข้ามาพักผ่อน แต่จู่ ๆ เธอก็ฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ลานบ้าน
“ทำไมวันนี้หลิงเอ๋อกับหยินชางถึงยังไม่กลับมา?” เธอถามขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ
โดยปกติแล้วหลงหลิงเอ๋อกับหยินชางน่าจะกลับมาถึงบ้านนานแล้วไม่ใช่หรือ?
“บางทีพวกเขาอาจจะกำลังเดินกลับมา ข้าจะออกไปตามหาลูกเอง” หลงโม่ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
ทางด้านพวกเด็กน้อยสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาแม่จิ้งจอก
“ท่านแม่ มันเกือบจะมืดแล้ว ทำไมท่านพ่อถึงยังออกไปข้างนอกอีก?”
“ข้ายังไม่เห็นหลิงเอ๋อกับพี่หยินชางกลับมาเลย ท่านพ่อออกไปตามหาพวกเขางั้นหรือ?”
“มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา 2 คนหรือเปล่า?”
เหล่าลูกน้อยที่วิ่งไปหาหูเจียวเจียวที่อยู่ในสภาพเหงื่อเต็มตัวต่างก็ถามขึ้นมาด้วยความกังวลใจ
ช่วงเวลานี้หญิงสาวรู้สึกวิตกกังวลได้ง่ายมากเพราะฉากในความฝันนั้นยังคงติดตาเธอมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เมื่อเธออยู่ต่อหน้าลูกทุกคน เธอไม่ได้แสดงท่าทางที่ดูผิดสังเกตออกมา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันนี้มีเรื่องโรคระบาดจากภายในเผ่าเกิดขึ้น ดังนั้นจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หลงหลิงเอ๋อกับหยินชางกลับบ้านช้า
“พ่อของเจ้าออกไปรับ 2 คนนั้นกลับบ้าน อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
หูเจียวเจียวพูดขึ้นเพื่อปลอบโยนลูก ๆ จากนั้นเหล่าเด็กตระกูลหลงก็พากันไปนั่งรออยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน
ปัจจุบันเมฆสีแดงบนท้องฟ้าค่อย ๆ หายไป ทำให้ความกังวลในใจของหลายคนที่รออยู่ที่บ้านทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น มังกรดำก็ปรากฏตัวก่อนจะร่อนลงมาจากด้านบนของลานบ้าน
หูเจียวเจียวกับลูกชายทั้ง 4 กวาดตามองอย่างรวดเร็ว แต่พวกเธอกลับมองไม่เห็นร่างของหลงหลิงเอ๋อและหยินชางบนหลังของพ่อมังกร สิ่งนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาหล่นวูบในทันที
เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ด้วย!
“หลงโม่” จิ้งจอกสาวรีบเดินเข้าไปหามังกรหนุ่ม
ก่อนที่เธอจะทันได้ถามอะไร หลงโม่ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ข้ามองหาพวกเขาไปตลอดทางแต่ก็ยังไม่เจอ พอรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าข้าออกมานานเกินไป มันอาจจะทำให้เจ้าต้องเป็นกังวล ข้าเลยกลับมาบอกเจ้าก่อนแล้วจะออกไปหาเด็ก ๆ อีกรอบ”
ระหว่างที่พูดชายหนุ่มไม่ได้แปลงร่างกลับเป็นมนุษย์และทำท่าจะบินออกไปอีกครั้ง
“ช้าก่อน! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หูเจียวเจียวร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ ลูกของเธอหายไปทั้งคน การที่จะให้เธอทนรออยู่บ้านเฉย ๆ คงจะไม่ไหวแน่