บทที่ 140สร้างค่ายกลระดับสาม
บทที่ 140สร้างค่ายกลระดับสาม
“ข้าน่ารังเกียจตรงไหน ในเมื่อข้าคือผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ข้าจะปล่องให้สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณของข้าไปต่อสู้ เจ้าน่ารังเกียจมากกว่า ถ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว เจ้าก็แค่ยอมแพ้ไปซะ”หลินเป้ยหัวเราะเยาะนาง
เขาอยากให้นางรู้ว่า นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับนางที่จะหยิ่งผยองได้ง่ายๆ
“ฝันไปเถอะ!” เฟิงซินหยูโกรธมาก
นางเป็นอัจฉริยะในเมืองหลวง ฉนั้นนางต้องรักษาหน้าตาของนาง เรื่องอะไรจะให้นางยอมแพ้คนที่นางเรียกกว่าขยะมาตั้งแต่แรกด้วย
ในตวามเป็นจริง ความแข็งแกร่งของหลินเป้ยนั้นเกินความคาดหมายของนาง
“ตกลง งั้นข้าจะทุบตีเจ้าจนกว่าข้าจะพอใจ” หลินเป้ยพูดอย่างเย็นชา
เขาไม่ต้องการปราณีหญิงสาวผู้นี้ เพราะนางมาที่นี่เพื่อทำให้เขาขายหน้า เพราะงั้นนางต้องโดนดีซะบ้าง!
หลังจากนั้นหลินเป้ยก็ออกคำสั่งเขาให้เสี่ยวเฮยและราชาหมาป่าสีน้ำครามอีก 5 ตัว รีบวิ่งไปปิดล้อมเฟิงซินหยู
“คุณหนู ระวังตัวด้วย!” ผู้อาวุโวโม่ตะโกนเตือนอย่างกังวล
ตอนนี้คือการประลอง ผู้อาวุโสโม่ไม่สามารถแทรกแทรงได้
ตราบใดที่ชีวิตของเฟิงซินหยูไม่ตกอยู่ในอันตราย เขาจะไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
“ให้ตายเถอะ!” การแสดงออกของเฟิงซินหยูเปลี่ยนไป
ด้วยกระบี่เล่มเดียว นางโจมตีหมาป่าสีเครามที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นนางก็ต้องการล่าถอยออกไป
แต่แล้วมีแรงมหาศาลมาจากด้านหลัง ดันกระแทกนางกลับไป
ปรากฎว่าเป็นเสี่ยวเฮยที่ลงมือนั่นเอง เมื่อเฟิงซินหยูกำลังติดพันกับหนึ่งในราชาหมาป่าสีคราม เสี่ยวเฮยก็เข้าโจมตีด้านหลังของเฟิงซินหยูทันที
เฟิงซินหยูถูกโจมตีด้วยพลังมหาศาลและบินออกไป
จากนั้นราชาหมาป่าสีครามก็รีบวิ่งเข้ามาและตรึงเฟิงซินหยูไว้กับพื้นโดยตรง เฟิงซินหยูซึ่งอยู่กลางอากาศไม่สามารถใช้กำลังของนางเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหมาป่าสีครามได้
จากนั้นราชาหมาป่าสีครามอีกตัวก็รีบวิ่งเข้ามา และกดมือข้างหนึ่งของเฟิงซินหยูด้วยอุ้งเท้าข้างเดียว จากนั้นราชาหมาป่าสีครามตัวที่ 3 ก็รีบวิ่งเข้ามา แล้วกดมืออีกข้างของนางไว้
ราชาหมาป่าสีครามทั้ง 3 กดเฟิงซินหยู่ไว้กับพื้น ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะเคลื่อนไหว หากราชาหมาป่าสีครามต้องการฆ่านาง มันคงเป็นเรื่องง่ายแล้วในตอนนี้
ผลลัพธ์ชัดเจนเมื่อมองแวบเดียว เฟิงซินหยูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
การต่อสู้กับกลุ่มหมาป่านั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าพวกมันร่วมมือกันและมุ่งเน้นไปที่จุดอ่อนของศัตรู ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันจะมากอย่างยิ่ง
“ปล่อยข้าออกไป รอบนี้ไม่นับ เป็นเพราะข้าประมาทเอง หลินเป้ย! เจ้ามันช่างน่ารังเกียจจริงๆ เจ้าปล่อยสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณมากมายมาจัดการกับข้า มันไม่ยุติธรรม ข้าไม่ยอมรับมัน!” เฟิงซินหยูแพ้ หลังจากนั้นนางก็ตะโกนแสดงความไม่พอใจต่อไป
นางจะแพ้หลินเป้ยได้อย่างไร?
แม้ว่าตอนนี้หลินเป้ยจะสามารถบ่มเพาะได้ แต่เขาเป็นเพียงนักรบแท้จริง 4 เท่านั้น ถ้าเขาไม่มีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณ เขาก็จะไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
ดังนั้นเฟิงซินหยูจึงไม่เต็มใจที่จะแพ้มากนัก
ผู้ชมบางคนมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ เมื่อเห็นเฟิงซินหยูเป็นเช่นนี้ นางช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวผู้หยิ่งยโสเช่นนี้ จะปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของนาง
“เจ้าแพ้แล้วแต่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ตระกูลเฟิงนี่ไร้ยางอายขนาดนี้เลยงั้นหรือ? ด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ เจ้ากล้ามาทำให้ข้าขายหน้า เจ้านี่มันตัวน่าอับอายยิ่งกว่าจริงๆ”หลินเป้ยยิ้มเยาะนาง
“หลินเป้ย! ข้ายอมแพ้ก็ได้ แต่เจ้าไม่สามารถทำให้ตระกูลเฟิงของข้าอับอายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีของเจ้าที่มีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณระดับ 3 มากมาย เจ้าไม่ใช่เป็นคู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน” เฟิงซินหยูพูดขึ้นด้วยความโกรธ
นางถูกรุมทุบตีโดยสัตว์อสูรจำนวนมาก สิ่งนี้มันยุติธรรมไหม?
มันไม่ยุติธรรมเลย
“ตกลง ข้าจะสู้กับเจ้าเอง ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า สิ่งที่เจ้าเรียกว่าขยะและผู้ที่ทำให้บิดาข้าอับอาย หลังจากมันผู้นั้นพ่ายแพ้แล้วจะเป็นเช่นไร!” หลินเป้ยตอบโต้อย่างเย็นชา
หลินเป้ยส่งสัญญาณ และราชาหมาป่าสีครามก็ปล่อยเฟิงซินหยูและกลับมาอยู่ข้างๆ เขา
เฟิงซินหยูได้รับอิสรภาพกลับคืนมา และลุกขึ้นจากพื้นทันที
นางดูเขินอายเล็กน้อย
หลินเป้ยแสดงรอยยิ้มเยาะเย้ย ซึ่งทำให้เฟิงซินหยูโกรธมากขึ้น
ไอ้เจ้าหลินเป้ยผู้นี้ กลั่นแกล้งนางมากเกินไปแล้ว
หลินเป้ยโบกมือ แล้วเสี่ยวเฮยและราชาหมาป่าสีครามตัวอื่นๆ ก็กลับเข้าไปในบ้านสัตว์ประหลาด
หลายๆ คนไม่พบว่ามันเป็นเรื่องแปลก เพราะพวกเขารู้ว่าผู้ฝึกสัตว์จิตวิญญาณมีสมบัติวิเศษสำหรับบรรจุสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณ
“ข้าชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า เป็นเพียงแค่นักรบแท้จริงขั้น 4 ก็กล้าที่จะสู้กับข้า ข้าจะทำให้เจ้าเห็นช่องว่างระหว่างเจ้ากับข้า โดยไม่มีสัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณของเจ้า ว่าเราแตกต่างกันมากแค่ไหน!?” เฟิงซินหยูกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อกี้นางถูกตรึงอยู่กับพื้น ทำให้นางก็รู้สึกอับอายมากที่ต้องพ่ายแพ้เช่นนี้ นางไม่อยากจะยอมรับว่านางแพ้เลยจริงๆ
หากนางพ่ายแพ้และออกจากตระกูลหลินในลักษณะที่น่าสลดใจเช่นนี้ สิ่งนี้มันจะกลายเป็นความอัปยศอดสูของนางเอง
“ลองรับกระบวนท่านี้ดู! กระบวนท่ากระบี่ม่านเทียน” เฟิงซินหยูใช้กระบวนท่ากระบี่ม่านเทียนอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นทักษะต่อสู้แบบกลุ่ม
ปราณกระบี่มากกว่าร้อยเล่มก่อตัวตรงหน้าเฟิงซินหยู จากนั้นปราณกระบี่ทั้งหมดก็โจมตีไปในทิศทางของหลินเป้ย
เมื่อเห็นปราณกระบี่มาจากฝั่งตรงข้าม หลินเป้ยก็ไม่แสดงความกลัวแม้แต่น้อย
“ท่าร่างเงาวิญญาณ” ท่าร่างของหลินเป้ยราวกับภูตผี และจู่ๆ เขาก็หายไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว
ท่าร่างเงาวิญญาณเป็นทักษะต่อสู้ระดับ 3 และหลินเป้ยได้ฝึกฝนจนถึงระดับขั้นการเปลี่ยนแปลงแล้ว
(สำหรับระดับขั้นของการใช้ทักษะต่อสู้ จากต่ำไปสูง มันสามารถแบ่งออกเป็นขั้นเริ่มต้น ขั้นความสำเร็จเล็กน้อย ขั้นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ขั้นสมบูรณ์แบบ และขั้นการเปลี่ยนแปลงในตำนาน)
แน่นอนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือจากระบบนั่นเอง
“เร็วมาก!” หลายคนประหลาดใจที่เห็นหลินเป้ยมีทักษะท่าร่างที่ทรงพลังเช่นนี้ การเคลื่อนไหวของเขาช่างรวดเร็วอย่างมาก
ปรมาจารย์นักรบบางคน แทบจะไม่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ชัดเจน
หลินเป้ยหายไปจากจุดนั้น ทำให้การโจมตีด้วยปราณกระบี่ของนางล้มเหลว!
มีคนเห็นหลินเป้ยวนเวียนรอบเฟิงซินหยูหลายครั้งก่อนที่จะหยุด
เฟิงซินหยูเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหลินเป้ยอย่างระมัดระวัง หากเขากล้าโจมตี นางก็จะสวนกลับทันที แต่น่าแปลกที่หลินเป้ยไม่ได้ต่อสู้กับนางโดยตรงเลย
เมื่อหลินเป้ยหยุด ทุกคนก็พบว่ามีธงค่ายกลจำนวนหนึ่งถูกจัดเรียงไว้
เฟิงซินหยูอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยธงค่ายกลหลายสิบธง ธงค่ายกลเหล่านี้ล้วนถูกวางลงโดยหลินเป้ย เมื่อเขาวิ่งไปรอบๆ เฟิงซินหยู
หลายๆ คนไม่รู้ว่าธงนี้ใช้ทำอะไร
แต่คนในตระกูลหลิวรู้ว่าหลินเป้ยกำลังจัดตั้งค่ายกล เพราะพวกเขารู้ว่าหลินเป้ยเป็นปรมาจารย์ค่ายกล
แน่นอนว่า หนิงเสวี่ยวและหมิงหลานก็รู้เช่นกัน
“เปิด!” หลินเป้ยตะโกนอย่างเย็นชา
เห็นธงค่ายกลหลายสิบอันสว่างไสว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มเฟิงซินหยูไว้ข้างใน
เฟิงซินหยูจะไม่รู้ถึงความแปลกประหลาดของธงค่ายกลนี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นเฟิงซินหยูจึงอยากจะวิ่งออกจากพื้นที่นั้น แต่นางก็ช้าเกินไป
ในตอนนี้ ปราณจิตวิญญาณที่ควบแน่นเป็นสายโซ่ยาวมากกว่าหนึ่งโหล เชื่อมธงค่ายกลทั้งหมดเป็นรูปแบบ มันล้อมเฟิงซินหยูไว้ตรงกลาง และปิดกั้นนางในทุกทิศทาง
จากนั้นสายโซ่พลังงานอันโกรธเกรี้ยวยาวก็ผูกเข้ากับตัวเฟิงซินหยูโดยตรง เพื่อขัดขวางไม่ให้นางเคลื่อนไหว
การแสดงออกของเฟิงซินหยูเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่คือค่ายกลกับดัก
เฟิงซินหยูต้องการดิ้นลนหลุดพ้นจากอิสรภาพ แต่นางเป็นเพียงปรมาจารย์นักรบขั้น 7 เท่านั้น นางจะสามารถทะลวงผ่านห่วงโซ่ปราณจิตวิญญาณกว่าสิบโซ่ได้อย่างไร!?
นี่คือค่ายกลระดับ 3 ซึ่งจัดเป็นค่ายกลกับดัก หน้าที่หลักคือการดักจับและจำกัดการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย
แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในขอลเขตมหาปรมาจารย์นักรบ แต่ค่ายกลค่ายกลขนาดใหญ่นี้ สามารถดักจับเจ้าได้มากกว่าสิบลมหายใจ ไม่ต้องพูดถึงปรมาจารย์นักรบเลย
ที่สำคัญ ค่ายกลกับดักนี้ยังคงเป็นเวอร์ชันที่ย่อขนาดลง ซึ่งถ้าเป็นเวอร์ชันจริง ไม่มีปัญหาสำหรับค่ายกลบนี้ที่จะดักจับปรมาจารย์นักรบได้หลายสิบคน
ตอนนี้เวอร์ชันที่เล็กกว่า ก็มากเกินพอที่จะดักจับเฟิงซินหยูได้!