ตอนที่ 6 อันลู่ซาน
ขุนนางทั้งหมดตะลึง
พวกเขาจะส่งกองทัพไปโจมตีอาณาจักรโม่จริงเหรอ?
แม้อาณาจักรโม่จะเสียทหารไปสองแสนและม้า พวกเขาก็ยังมีทหารเหลืออีกสี่แสน ซึ่งมากกว่าอาณาจักรเซี่ยอีก!
เอาทหารสองแสนนายของตัวเองไปสู้กับทหารสี่แสนนาย นี่ไม่เท่ากับการเอาไข่ไปกระทบหินเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งอาณาจักรกำลังเสียหาย ถ้าไปยั่วยุเขา นั่นไม่เท่าเอาตัวเองไปให้ยำเหรอ?
ถ้าประชาชนไม่ระบายกับเจ้า แล้วจะไประบายใส่ใคร?
นี่คือสิ่งที่สมองมนุษย์จะคิดได้?
“ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาด!”เหล่าขุนนางพูดด้วยความกลัว
หลินเป่ยฟานขมวดคิ้ว“ทำไม?”
ขุนนางเฒ่ายืนขึ้น“ฝ่าบาท แม้อาณาจักรโม่จะเสียทหารไปสองแสน มันก็ยังแข็งแกร่ง เรากำลังจะไปยั่วยุพวกเขา มันไม่ฉลาดที่จะโจมตี โปรดคิดให้ถี่ถ้วนด้วย ฝ่าบาท!”
หลินเป่ยฟานยิ้ม“แม้ศัตรูจะแข็งแกร่งและเราอ่อนแอกว่า การป้องกันของอาณาจักรโม่ก็ว่างเปล่า ประตูเมืองเปิดกว้าง มันถึงเวลาที่กองทัพเราจะฉวยโอกาสนี้เข้าไป!ถ้าเราไม่ส่งกองทัพไปครั้งนี้ แล้วเราจะรอเมื่อไร?”
แม่ทัพคนหนึ่งยืน“ฝ่าบาท อาณาจักรโม่เสียทหารแค่สองแสน และคนทั้งอาณาจักรจะต้องไว้ทุกข์!ถ้าเราส่งทหารไปเวลานี้ เพื่อสงครามที่ไม่ยุติธรรม เราจะอ่อนแอก่อนการต่อสู้! และพวกมันจะต้องเปลี่ยนความเศร้าเป็นความโกรธ และขวัญกำลังใจเราจะสั่นคลอน ถ้าเราอยากเอาชนะอาณาจักรโม่ โอกาสเราบางเบามาก โปรดคิดให้ถี่ถ้วนด้วย ฝ่าบาท!”
หลินเป่ยฟานยิ้มเหยียด“สงครามที่ไม่ยุติธรรมอะไร?พวกมันฝังทหารสองแสนนายในเหมืองเหล็กของตัวเอง มันคือการลงทัณฑ์ของพระเจ้าชัดๆ สวรรค์ไม่เข้าข้างพวกมัน!ดังนนั้น เราจึงเป็นกองทัพแห่งความยุติธรรม!เราจะผงาด เพื่อลงโทษผู้ไม่บริสุทธิ์ในนามของสวรรค์ ศึกนี้เราจะชนะ!”
แม่ทัพอีกนายยืน“ฝ่าบาท พลังของชาติเราอ่อนแอ ถ้าเราทำสงครามแบบบุ่มบ่าม ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราจะเสียหายหนัก!เมื่อพลังชาติเราลดลง อาณาจักรอื่นจะฉวยโอกาสและมันจะสายเกินเสียใจ!ฝ่าบาท โปรดคิดให้ถี่ถ้วน!”
หลินเป่ยฟานตะโกน“มันเพราะพลังของชาติเราอ่อนแอข้าถึงอยากสู้!ถ้าเจ้าโค่นอาณาจักรโม่ได้ พลังชาติเราก็จะแกร่ง ทำไมเจ้าไม่เข้าใจความเป็นจริงง่ายๆ?”
“ฝ่าบาท…”
..
ขุนนางนับร้อยเปิดปากเพื่อโน้มน้าว
หลินเป่ยฟานโบกมือ พูดด้วยความโกรธ“หยุดพูด ข้าตัดสินใจแล้ว!ถ้าใครยังกล้าพูดอีกสักคำ ข้าจะไล่ออก!”
ขุนนางทั้งหมดปิดปาก มันไม่คุ้มที่จะเอาตำแหน่งไปแลกกับราชาโง่
แต่ มีคนหนึ่งที่ยืนขึ้น
คนคนนั้นคือแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ ไช่หยูหลาง
เขายืนตัวตรง เชิดใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น’ฝ่าบาท ศึกนี้ต้องไม่เบาใจ!ก่อนอื่น แม้อาณาจักรโม่จะเสียทหารไปสองแสน ศัตรูก็ยังแข็งแกร่ง เราอ่อนแอ การใช้กองทัพครั้งนี้จะส่งผลเสียต่อชาติเรา!”
“ประการสอง อาณาจักรโม่ตอนนี้กำลังเสียใจและโกรธ ถ้าเราส่งกองทัพไป มันจะต้องกลายเป็นที่ระบายของศัตรู!ขวัญกำลังใจของศัตรูสูง และขวัญกำลังใจเราต่ำ ศึกนี้ไม่เข้าข้างเรา”
“สาม อาณาจักรเราอ่อนแอและไม่อาจทนความสูญเสียได้!”
“เช่นนั้นแล้ว เพื่ออาณาจักรและประชาชน ฝ่าบาทโปรดถอนคำสั่งด้วย!”
หลินเป่ยฟานโกรธจนหน้าแดง“ดูเหมือนว่าคำพูดข้าจะไม่มีน้ำหนักใช่ไหม?เจ้าคัดค้านกันหมด แม้แต่แม่ทัพที่ข้าไว้ใจสุดก็ด้วย!เช่นนั้นแล้ว ท่านลุงคงเหนื่อยกับการเป็นแม่ทัพ ท่านกลับบ้านไปพักเถอะ!”
แม่ทัพไช่หยูหลางหน้าซีด“ฝ่าบาท ท่าน..”
ขุนนางคนอื่นทั้งหมดตกใจ ฝ่าบาททรงไล่แม่ทัพใหญ่?
แม่ทัพไช่หยูหลางคือหนึ่งในสองเสาหลักของอาณาจักรเซี่ย และเขากับอัครเสนาบดีเซียวกั๋วเหลียงก็คือสองวีรบุรุษของอาณาจักรเซี่ย!
เขาบัญชาการทั้งกองทัพ เป็นแม่ทัพที่ภักดี!
เจ้าขึ้นบัลลังก์ได้อย่างปลอดภัยก็เพราะเขา!
แต่เจ้ากลับไล่เขาโดยไม่ลังเล?
หลินเป่ยฟานยื่นมือออกไป“ท่านลุงไช่ ท่านไม่ใช่แม่ทัพอีกแล้ว ส่งป้ายทหารมา อย่าให้ข้าต้องพูดอีก!”
“ฝ่าบาท ท่านอยากปลดข้าออกจริงหรือ?”แม่ทัพไช่พูดด้วยความตกใจ
“เจ้าคิดว่าข้าพูดเล่นหรือไง?”หลินเป่ยฟานแค่นเสียง
แม่ทัพไช่หลับตาด้วยความผิดหวังและตอนเขาลืมตา เบ้าตาเขาก็เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา เขาใช้มือที่สั่นเทาหยิบป้ายทหารออกมา ประสานมือและพูด“จักรพรรดิอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย!ในเมื่อฝ่าบาทอยากได้ป้ายทหารคืน ข้าก็จะเชื่อฟัง!แต่ ข้ายังมีอีกสิ่งที่อยากพูด ศึกนี้ไม่ควรเบาใจ ไม่งั้นทั้งอาณาจักรจะตกอยู่ในอันตราย โปรดคิดทบทวนด้วย ฝ่าบาท!”
“ท่านลุง ท่านไม่ใช่แม่ทัพอีกแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง ท่านกลับไปและดูแลตัวเองเถอะ!”
หลินเป่ยฟานรับป้ายทหารมา มองเหล่าขุนนางและทหารของราชวงศ์ และพูด“ศึกนี้ไม่อาจเลี่ยง!ใครในหมู่พวกเจ้าที่มีความสามารถและมั่นใจพอจะช่วยข้าในศึกนี้ เสนอตัวมา!”
ขุนนางทั้งหมดมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้ายืนขึ้น
เหนือสิ่งอื่นใด โอกาสชนะเบาบางมาก ถ้าแพ้ ไม่เพียงจะแ พ้ แต่ชีวิตยังหายไปด้วย
พวกเขาคือจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนัก พวกเขาจะไม่เอาชีวิตมาล้อเล่น
ครั้งนี้ แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้น และพูดด้วยความตื่นเต้น“ฝ่าบาท ข้าเต็มใจนำทัพเพื่อเปิดดินแดนให้ฝ่าบาท!”
“นักรบผู้กล้า!”หลินเป่ยฟานมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ“ข้าชื่นชมเจ้ามาก เจ้าชื่อแซ่อะไร?”
“เรียนฝ่าบาท ผู้น้อยชื่ออันลู่ซาน!”