1089 - ต้นกำเนิดแสง
1089 - ต้นกำเนิดแสง
“คนเลวทรามนี้ได้เรียนรู้ทักษะขั้นสูงสุดของคนอื่น แต่สุดท้าย เขากลับเคารพเพียงตัวเองเท่านั้น และแม้แต่พุทธะก็ยังถูกทำลาย”
“ไม่เคารพดิน ไม่เคารพฟ้า เชื่อในตัวเอง นี่เป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามนี่ยังคงเป็นหนทางที่ไร้สาระอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณก็ยังมีใครบางคนที่ให้พวกเขาเคารพ”
หลี่เทียนและเอี๋ยนอี้ซีต่างก็พึมพำเช่นนี้
ในท้ายที่สุด แสงของพุทธะทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนโดยเย่ฟ่าน และภาพธรรมของพระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็กลายเป็นเทพอสูรที่ดูสง่างามแต่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด
ปัง!
สุดท้ายทั้งระฆังโบราณและพระพุทธรูปที่อยู่ในห้องโถงก็แหลกสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองที่กระจัดกระจายไปทั่วเท่านั้น
เย่ฟ่านยืนอยู่กลางห้องโถงอย่างสง่างาม ภาพธรรมของเทพอสูรที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทองเจิดจ้า จากนั้นร่างของมันก็จมหายเข้าไปในแผ่นหลังของเย่ฟ่านและทำให้แสงทั้งหมดหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เย่ฟ่านใช้เก้าญาณวิเศษลึกลับเพื่อกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มากกว่าปกติถึงสิบเท่า จากนั้นก็หยิบยืมตัวตนของตัวเองในอนาคตมาเปลี่ยนแปลงทักษะนี้ให้กลายเป็นทักษะของเขาเอง
เพื่อค้นหาหนทางที่จะอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้ นี่คือคำสัญญาของเขาที่มีต่ออันเหมียวอี้และเขาจะทำลายอุปสรรคทั้งหมดที่ขัดขวางไม่ให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้!
…
“เจ้าอยู่ที่ไหน ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ ข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
บนดินแดนหนานหลิงสัตว์อสูรอายุน้อยตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามดังก้อง มันคือมังกรโบราณที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด
หวังเถิง ฮั่วอวิ๋นเฟย หลี่เสี่ยวม่าน บุตรแห่งเทพและเทพธิดาแห่งศาลสวรรค์ก็รอเย่ฟ่านอยู่ที่หนานหลิงเช่นกัน
…
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุดเย่ฟ่านได้ท่องไปทั่วเป่ยหยวนเพื่อค้นหาตู้เฟยแต่ล้มเหลว ชนเผ่ามากมายในโลกนี้ต่างบอกว่าไม่เคยพบเห็นบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว
กว่าสิบปีผ่านไป ตามหลักเหตุผลตู้เฟยควรจะกลับไปที่ตงหวงได้ตั้งแต่แรก ต่อให้เขาทำได้เพียงเดินเท้าก็ตาม
“ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ที่เป่ยหยวน เป็นไปได้ไหมว่าเขาถูกส่งไปที่อื่น หรือว่าเขาตกอยู่ในโลกหิมะซึ่งอยู่ทางเหนือของเป่ยหยวน?”
สถานที่แห่งนั้นคือโลกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ไม่มีอย่างอื่นนอกจากหิมะ ทุกที่ล้วนขาวโพลนราวกับขี้เถ้า ว่ากันว่าทุกแสนปีจะมีแสงแห่งความเป็นอมตะสาดส่องขึ้นหนึ่งครั้ง
และผู้ใดที่มีโอกาสได้มองเห็นแสงนั้นมันจะทำให้พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแห่งความเป็นอมตะทันที
หนึ่งแสนปีก่อนร่างศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหวังมีโอกาสได้สัมผัสกับแสงนี้และมันทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะทันที
จากนั้นตระกูลหวังจึงเก็บเศษเสี้ยวแสงแห่งความเป็นอมตะนี้ไว้ เพื่อนำมาขัดเกลาอัจฉริยะของตระกูลโดยหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะบ้าง
อย่างไรก็ตามเมื่อแสงเหล่านี้ถูกใช้ไปครั้งแล้วครั้งเล่าพลังของมันก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลให้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาตระกูลหวังไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอมตะปรากฏตัวขึ้นเลย
ข้าควรจะไปหามันหรือเปล่า? เย่ฟ่านรู้สึกว่ามีโอกาสค่อนข้างสูงที่ตู้เฟยจะติดอยู่ในโลกน้ำแข็ง ไม่เช่นนั้นเขาคงปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
“ในเมื่อช่วงนี้ยังไม่มีอะไรทำพวกเราก็ควรไปเสี่ยงโชคสักครั้ง บางทีเราอาจจะได้รับแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นและกลายเป็นผู้อมตะที่แท้จริงก็ได้” หลี่เทียนแนะนำ
หลีเทียนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างโลกจากทุ่งดวงดาวโบราณจื่อเว่ย ในความเป็นจริงเขามาที่โลกอำพรางสวรรค์ก็เพื่อท่องเที่ยวให้สุขใจเท่านั้น
แน่นอนว่าการเดินทางขึ้นเหนือเพื่อกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะย่อมมีความน่าสนใจกว่าการเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงในหนานหลิงโดยไม่จำเป็น
“คิดว่าตอนนี้คงมียอดฝีมือจำนวนมากหลั่งไหลไปที่หนานหลิง ข้ารู้ว่าพี่เย่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่การที่เจ้าจะกลับสู่หนานหลิงด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ย่อมไม่สามารถเอาชนะศัตรูทั้งหมดได้ ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าไปเสี่ยงโชคที่ดินแดนน้ำแข็งดีกว่า”
เอี๋ยนอี้ซีกล่าว เขามีเหตุและผลมากกว่าหลี่เทียน ดังนั้นเขารู้ดีว่าภายใต้การปิดล้อมสังหารของยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน การกลับสู่หนานหลิงในตอนนี้ไม่แตกต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
“ไม่สำคัญว่าระยะทางจะไกลแค่ไหน เราสามารถสลักค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลได้เรื่อยๆ และต้นกำเนิดของเราก็มีอย่างไม่จำกัด ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วเราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นเย่ฟ่านก็หยิบหินต้นกำเนิดออกมา จากนั้นเขาก็เริ่มขีดเขียนอักขระโบราณมากมายลงไปบนพื้นเพื่อสร้างเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลตามที่จักรพรรดิดำสอน
หลังจากนั้นพวกเขาก็หายตัวไปจากจุดเดิมและเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ พวกเขาเคลื่อนย้ายทางไกลครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งไปถึงดินแดนที่ปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง
ในที่สุดพวกเขาก็เหยียบย่ำทุ่งหิมะสีขาวที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็ง สถานที่แห่งนี้หนาวเหน็บอย่างน่าขมขื่น
แม้แต่เย่ฟ่านที่เป็นเซียนเทียมระดับสองขั้นสูงสุดก็ยังรู้สึกว่าการเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
“นั่นอะไร?”
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาลงสู่ทุ่งน้ำแข็ง พวกเขาก็เห็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะมีบางอย่างปิดผนึกอยู่ข้างใน
เย่ฟ่านตะโกนเบาๆ จากนั้นเขาได้สะบัดแขนเสื้อเพื่อใช้กระแสลมพัดพาหิมะที่ปกคลุมก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ออกไป
“นี่เผ่าพันธุ์อะไร?” หลี่เทียนอุทาน
“จากชั้นน้ำแข็งที่หนาถึงขนาดนี้พวกมันน่าจะถูกแช่แข็งมานับแสนปีแล้ว”
“ยักษ์โบราณ!”
เย่ฟ่านคิดถึงบันทึกโบราณตั้งแต่ที่เขาอาศัยอยู่ในหลินซู่ตงเทียน มีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่บนดินแดนน้ำแข็งนี้ พวกมันมีความสูงนับร้อยวา ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์นั้น
“บูม บูม…”
ในระยะไกล มีเสียงระเบิดดังขึ้น ธารน้ำแข็งเบื้องหน้าของพวกเขากำลังแตกและรอยแตกขนาดใหญ่นั้นกำลังลุกลามมาอย่างรวดเร็ว
“นั่นมันลิงยักษ์หรือ!” หลี่เทียนอุทาน
ในขณะนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายกับลิงยักษ์สีขาวกำลังเดินมาในทิศทางของพวกเขา มันมีความสูงหลายร้อยวาและกำลังอุ้มปลาวาฬตัวใหญ่อยู่บนหลัง
“ยักษ์โบราณ ข้านึกว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว?” เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้น่ากลัว เป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่เกิดขึ้นมาก็รู้วิธีการบ่มเพาะรวมทั้งยังสามารถดูดกลืนแสงจันทร์และแสงอาทิตย์มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้
เนื่องจากพวกมันมีร่างกายที่ใหญ่โตดังนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันดึงดูดเข้าสู่ร่างกายตัวเองย่อมมีมากกว่ามนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า ดังนั้นในเผ่าพันธุ์นี้จึงมีสิ่งมีชีวิตอมตะอยู่มากมาย
“นี่เป็นเพียงยักษ์ธรรมดาเท่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ของมันเทียบได้กับผู้บ่มเพาะอาณาจักรสี่สุดขั้วและยังห่างไกลจากความเป็นอมตะ”
ทุ่งน้ำแข็งแดนเหนือมีขนาดเล็กกว่าห้าภูมิภาคเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหากคิดจะเดินค้นให้ทั่วดินแดนแห่งนี้จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีอย่างแน่นอน
เมื่อกลุ่มของเย่ฟ่านเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ พวกเขาก็พบเห็นบ้านเรือนที่ถูกสร้างขึ้นจากยักษ์น้ำแข็ง บ้านแต่ละหลังมีขนาดใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อ
ตลอดเส้นทางพวกเขาเห็นก้อนน้ำแข็งที่ปิดผนึกซากศพของยักษ์น้ำแข็งไว้มากมาย
อย่างไรก็ตามหลังจากเดินมาเป็นเวลานานพวกเขาก็พบเห็นยักษ์น้ำแข็งที่มีชีวิตเพียงสองตัวเท่านั้น ดูเหมือนพวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มทีแล้ว
หลังจากใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลอีกสองครั้งในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้ใจกลางของขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นทุ่งน้ำแข็งที่มีความหนาวเหน็บอย่างถึงที่สุด
พื้นที่ส่วนกลางของดินแดนน้ำแข็งนี้กว้างใหญ่และไร้ขอบเขต แม้แต่แสงที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าก็ยากที่จะทำให้สถานที่แห่งนี้สว่างไสวได้
“ทะเลสาบนั้นคืออะไร? มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าร้อยลี้และดูเหมือนจะทอดยาวไปจนสุดแผ่นดิน”
เย่ฟ่านจ้องมองทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นถึงขนาดนี้ไม่ว่าทะเลสาบจะมีน้ำมากมายเพียงใดมันจะต้องถูกแช่กลายเป็นน้ำแข็งอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้คือน้ำในทะเลสาบยังคงเป็นของเหลวอย่างชัดเจน
นี่อาจเป็นต้นกำเนิดของแสงอมตะแห่งแดนเหนือหรือเปล่า?